112 - ฮ่องเต้เยี่ยมราษฎร
112 - ฮ่องเต้เยี่ยมราษฎร
หลี่ซื่อหลงโกรธจนแทบจะคุมอารมณ์ไม่อยู่
"ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ เจ้าจะมีเวลาแค่หนึ่งปี แต่อย่าได้คิดว่าข้าจะไม่สนใจเจ้าในปีนี้ ทุกสามวันเจ้าต้องเข้าวังมารายงาน หากข้ารู้ว่าเจ้าขี้เกียจเมื่อไร ข้าจะจับเจ้ามาทำงานในวังทันที!"
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างพากันมองหน้ากันไปมา “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่การได้เข้าวังกลายเป็นการลงโทษ?”
“คนอื่นๆ เขาพยายามแค่ไหนเพื่อให้ได้โอกาสแบบนี้”
ฉินโม่ลุกขึ้นยืนด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับเอามือจับก้น "ท่านพ่อตา ท่านตีข้าแรงเกินไปแล้ว สุภาษิตบอกว่า ‘บาดเจ็บกล้ามเนื้อกระดูกต้องพักฟื้นร้อยวัน’ ถึงแม้ข้าผิวหนังจะหนา แต่ก็ยังต้องใช้เวลาพักฟื้นสองเดือน อย่างน้อยในช่วงเวลานี้คงเข้าไปรบกวนท่านไม่ได้!"
"ไม่เป็นไร ถ้าเจ้าไม่สะดวก ข้าก็จะให้คนไปหามเจ้ามา!"
หลี่ซื่อหลงยังคงโกรธอยู่ แต่ก็รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตีฉินโม่แรงเกินไป เพราะเขารู้ว่าเด็กคนนี้ดูแลผู้ประสบภัยหลายพันคนด้วยตัวเอง
"พอเถอะ ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า แน่นอนว่าในระหว่างนี้เจ้าจะต้องทำหน้าที่ติงซื่อหลางไปด้วย”
"ว่าอะไรนะ ท่านพ่อตา ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากเป็นขุนนาง!"
ยังไม่ทันที่ฉินโม่จะพูดจบ เกาซื่อเหลียนก็รีบเอามืออุดปากเขาไว้ก่อน "ติงซื่อหลางเป็นตำแหน่งผู้แทนพระองค์ไม่มีหน้าที่เฉพาะ ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?"
ฉินโม่ตาเป็นประกาย “ตำแหน่งผู้แทนพระองค์เช่นนี้ก็มีด้วย” เขารีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ขอบพระทัยท่านพ่อตา ขอให้ท่านพ่อมีอายุยืนหมื่นปี!"
หลี่ซื่อหลงเห็นฉินโม่ยอมรับตำแหน่งอย่างดีใจก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก "ออกไปให้พ้นหน้าข้า ข้าเห็นเจ้าแล้วข้าหงุดหงิด!"
แต่เมื่อเห็นฉินโม่เดินกะเผลกจากความเจ็บปวด เขาก็ใจอ่อนลง "เกาซื่อเหลียน เจ้าพาเขากลับบ้าน เจ้าสาระเลวนี้รู้จักยั่วโมโหจริงๆ!"
"รับด้วยเกล้า พ่ะย่ะค่ะ!" เกาซื่อเหลียนตอบรับ และพยุงฉินโม่ออกไป
หลังจากออกจากกรมโยธาและการเกษตร เกาซื่อเหลียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า "หลานชาย เจ้าก็รู้ว่าฝ่าบาทใส่ใจเจ้าแค่ไหน ข้าอยู่รับใช้ข้างกายฝ่าบาทมาสี่สิบปียังไม่เคยเห็นผู้ใดได้รับพระเมตตาถึงขนาดนี้มาก่อน!"
ฉินโม่บ่นว่า "ข้าจะเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร ข้าเป็นลูกเขยของเขานี่!"
ฉินโม่ลูบก้นแล้วพูดต่อ "ท่านลุง ข้าไม่อยากเป็นขุนนาง ข้าแค่ต้องการหาเงินให้มากๆ วันหนึ่งท่านพ่อตาต้องการเงิน ข้าก็จะจัดการให้ การอยู่ในวังมันมีแต่ข้อจำกัด ถ้าข้าเป็นขุนนางแล้วร่ำรวยขึ้นมาคนภายนอกเขาจะไม่คิดว่าข้าเป็นขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงหรือ"
"ท่านลุง เมื่อกลับไปช่วยบอกท่านพ่อตาด้วยว่า ข้าจะอยู่ข้างนอกทำเงินให้เขาเอง ให้ท่านพ่อตาดูแลสุขภาพและปกครองอาณาจักรไปอีกนับร้อยปี ข้าเห็นฮ่องเต้ในยุคต่างๆ ล้วนเหน็ดเหนื่อยจนเจ็บป่วยเต็มไปด้วยโรคภัย ข้าอยากให้ท่านพ่อตาอายุยืนยาวเคียงคู่อาณาจักรไปตราบนานเท่านาน"
เกาซื่อเหลียนตกใจ แต่ก็หัวเราะเบาๆ พลางมองฉินโม่ด้วยความชื่นชม "ถูกแล้ว หลานชาย เจ้าคิดได้ถูกต้อง คนทั่วไปที่บอกว่าเจ้าโง่ พวกเขาไม่เข้าใจเอง เจ้ามีจิตใจบริสุทธิ์ และมองเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น"
“ตำแหน่งกว๋อกงนั้นถือว่าเพียงพอสำหรับข้าแล้ว และฉินโม่ก็เป็นถึงราชบุตรเขยยังมีอะไรที่ข้าต้องการอีก”
“แทนที่จะเข้าร่วมในราชสำนักจนไม่มีเวลาหาเงิน สู้ทำงานนอกวังดีกว่า หาเงินให้มากๆ ไม่ว่าปัญหาอะไรล้วนต้องแก้ไขด้วยเงินทั้งสิ้น”
ฉินโม่ยิ้มอย่างไร้เดียงสา "ข้ายังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่เข้าใจ ท่านลุงต้องช่วยสอนข้าด้วย!"
หลังจากส่งฉินโม่กลับบ้าน เกาซื่อเหลียนก็กลับไปที่วัง
เมื่อหลี่ซื่อหลงเห็นเกาซื่อเหลียนกลับมา จึงถามทันที "ตอนที่พาเจ้านั่นกลับบ้าน เขาพูดอะไรหรือเปล่า? หรือว่าเขาด่าข้าอีก?"
เกาซื่อเหลียนโค้งคำนับ "ฝ่าบาทคิดผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ราชบุตรเขยฉินไม่ได้ว่าร้ายฝ่าบาทเลย ตรงกันข้าม เขาไม่ได้รับตำแหน่งเพราะเขาห่วงใยฝ่าบาท"
"ฮึ! คำแก้ตัวแบบไหนอีกล่ะ?" หลี่ซื่อหลงหัวเราะเยาะ
เกาซื่อเหลียนเล่าเรื่องที่ฉินโม่พูดให้ฮ่องเต้ฟัง (แต่ปิดเรื่องตำแหน่งกว๋อกงไว้)
หลี่ซื่อหลงขมวดคิ้ว "เจ้าบอกว่านั่นคือสิ่งที่เขาพูดจริงๆ หรือ?"
"ฝ่าบาท กระหม่อมไม่กล้าพูดเท็จ ราชบุตรเขยฉินดูเหมือนจะเป็นคนโง่ แต่แท้จริงแล้ววันๆ เขากลับใช้สมองไปในเรื่องอื่นมากกว่า เขารู้ดีว่าฝ่าบาทต้องการอะไร ดังนั้นเขายอมทำงานที่ดูเหมือนต่ำต้อยเพื่อแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!"
เกาซื่อเหลียนคุกเข่าลงกล่าวว่า "กระหม่อมได้ฟังสิ่งนี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ผู้คนต่างพากันว่าฉินโม่เป็นคนที่ไม่เอาถ่านและโง่เขลา แต่ในสายตาของกระหม่อมแล้ว ฉินโม่คือขุนนางผู้ภักดี สิ่งที่เขายึดมั่นมากที่สุดก็คือความกตัญญูนั่นเอง"
หลี่ซื่อหลงนึกถึงคำพูดของฉินโม่ที่เคยชวนตนทำธุรกิจและให้หลี่เยว่ส่งเงินเข้าวัง เขายังปฏิเสธการรับตำแหน่งขุนนางและยอมถูกตีโดยไม่กล่าวโทษ
ความรู้สึกผิดแล่นผ่านหัวใจของหลี่ซื่อหลง "เด็กคนนี้มีความบริสุทธิ์ใจและภักดีอย่างแท้จริง"
หลี่ซินยังเคยตีฉินโม่มาก่อน แต่เขากลับไม่เคยโกรธเคือง
"เด็กคนนี้ช่างเป็นคนดีจริงๆ"
"ก่อนหน้านี้ ทิเบตเคยส่งบัวหิมะมาเป็นเครื่องบรรณาการ เจ้าก็ให้ขันที ส่งไปให้เขารักษาบาดแผลเถอะ" หลี่ซื่อหลงยืนตัวตรงและกล่าว "ไปเดินเล่นกัน"
เกาซื่อเหลียนดีใจอย่างยิ่งที่เห็นว่าหลี่ซื่อหลงเริ่มรู้สึกผิดเกี่ยวกับฉินโม่ เพราะเมื่อฮ่องเต้รู้สึกว่าตนเป็นหนี้บุญคุณขุนนาง ผลลัพธ์มีอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการชดเชย และสองคือการกวาดล้างเพราะความรู้สึกผิดนั้นหนักหนาเกินไป
แต่ในกรณีนี้ หลี่ซื่อหลงรักฉินโม่มาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผลลัพธ์จะเป็นแบบที่สอง
หลี่ซื่อหลงเปลี่ยนชุดธรรมดาออกสำรวจเมืองหลวงแบบลับๆ โดยมีอู่เช่อซึ่งเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรคอยดูแลความปลอดภัย และรอบตัวยังมีราชองครักษ์อีกหกคนติดตามอยู่ด้วย
"ยิ่งอากาศหนาว คนที่เดินตามท้องถนนก็ยิ่งน้อยลง" หลี่ซื่อหลงถอนหายใจขณะมองราษฎรที่ใส่เสื้อผ้าบางๆ ใจเขาอยากช่วยแต่ทรัพย์สินที่มีอยู่ในมือก็จำกัดอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เขาก็สังเกตเห็นผู้คนจำนวนมากถือจอบและพลั่ว ทำงานขุดลอกถนนและลำคลองอย่างขยันขันแข็ง
“นี่คงเป็นโครงการจ้างงานแบบให้ทำงานแลกอาหารสินะ”
หลี่ซื่อหลงหันไปถามชายชราคนหนึ่งที่กำลังทำงาน "ท่านลุง นี่พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?"
ชายชรากล่าวด้วยสำเนียงภาพตะวันตกเฉียงเหนือเห็นหลี่ซื่อหลงแต่งตัวดีเห็นได้ชัดว่าเป็นคหบดีมั่งคั่ง จึงโค้งคำนับเล็กน้อย "เรียนใต้เท้า พวกเรากำลังทำความสะอาดถนนและลำคลอง นี่เป็นนโยบายขององค์ชายแปดที่จัดให้มีการจ้างงานแบบให้ทำงานแลกอาหาร พวกเราได้รับอาหารสามมื้อต่อวัน และยังได้เงินวันละสิบตำลึงด้วย!"
"สามมื้อต่อวัน เป็นแค่ข้าวต้มใช่ไหม?" หลี่ซื่อหลงถามต่อ
"มื้อเช้าเป็นข้าวต้ม แต่มื้อกลางวันกับเย็นเป็นข้าวสวย เมื่อคืนเรายังได้แบ่งเนื้อคนละชิ้นอีกด้วย!" ชายชรากล่าวด้วยสีหน้ายินดี รอยย่นบนใบหน้าของเขาผ่อนคลายลง
หลี่ซื่อหลงขมวดคิ้ว "ราชสำนักจ่ายไหวหรือ? ข้าวสวยกับเนื้อ มันต้องเสียเงินมากแน่ๆ"
ชายชราหัวเราะ "ราชสำนักลำบาก พวกเราก็รู้ดี การศึกต่อเนื่องหลายปีทำให้คลังหลวงแทบว่างเปล่า แต่เงินที่จ่ายพวกเรามาจากการบริจาคของผู้คนในเมืองหลวง สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง!"
"ตอนข้ามาเมืองหลวง ข้ายังใส่เสื้อผ้าบางๆ เกือบจะหนาวตายอยู่เลย แต่ตอนนี้ดูสิ ข้ามีเสื้อใส่ถึงสามชั้น ต่อให้หิมะตกก็ไม่กลัวแล้ว!"
หลี่ซื่อหลงตกตะลึง "เสื้อผ้าที่เจ้าสวมก็ได้รับบริจาคเหมือนกัน?"
"ใช่แล้วใต้เท้า ผู้คนในเมืองหลวงช่างเมตตายิ่งนัก พวกเขาให้ทั้งอาหาร เสื้อผ้า และเงินพวกเรา พวกเขามองว่าเราเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน!"
ชายชราน้ำตาคลอเบ้า ขอบคุณคนในเมืองหลวงที่ช่วยเหลือ
………….