บทที่ 699 การลงนามในข้อตกลงทางยุทธศาสตร์
เฉินโม่เมื่อได้ตอบตกลงแล้วก็ย่อมไม่ทำท่าทางเกรงใจอีกต่อไป
เขาวางแก้วสุราลง ภายใต้ฤทธิ์ของสุราเงาฝันหญิงสาวผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้า แม้จะมีระดับพลังขั้นปลายของขั้นสร้างรากฐานกลับดูมีเสน่ห์เป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าคงเป็นเพราะสถาบันหลิงหลงจงใจทำเช่นนี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม สุราเงาฝัน สำหรับผู้ฝึกตนระดับขั้นปฐมภูมิเพียงมีจิตอันแข็งแกร่งก็สามารถกลับมามีสติได้ทุกเมื่อ
เฉินโม่ก้าวไปข้างหน้าเช่นกันยกมือขึ้นวางเบาๆบนบ่าของนาง
ครู่ต่อมาร่างกายของหญิงสาวนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
“ผ่อนคลายจิตใจ”
อาจเพราะการทำสัญญากับสัตว์อสูรมากมาย และผ่านการเปลี่ยนเลือดหลายครั้ง ทำให้เฉินโม่สามารถเข้าสู่จิตของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
เพียงไม่นาน หญิงสาวผู้ฝึกตนที่เดิมมีความเย่อหยิ่งเล็กน้อยก็เริ่มทำตามคำแนะนำของเขาโดยเริ่มรับรู้พลังอันแท้จริงและเจิดจ้าระหว่างฟ้าดิน
ทีละเล็กทีละน้อยตรงบริเวณตันเถียนของนาง มีต้นอ่อนหนึ่งต้น “งอก” ขึ้นมา
เมื่อมันแทงยอดขึ้นพ้นดิน ก็เริ่มแผ่กิ่งก้านสาขาออกมา
เวลาผ่านไปเรื่อยๆแม้แต่ผู้บรรลุขั้นเปลี่ยนจิตอย่าง จี้จื่อโยวก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจรอคอยอย่างเงียบๆ
หากนางสำเร็จขึ้นมา อนาคตของสถาบันหลิงหลงจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับฝ่ายนั้นแน่นอน!
สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งนี้สำคัญไม่แพ้การก่อตั้งสถาบันวิจัยการเพาะปลูกเมื่อครั้งก่อนเลยทีเดียว
ในสายตาของพวกเขาพลังวิญญาณรอบกายของเหวินจิ่นค่อยๆเปลี่ยนแปลง
เมื่อพลังวิญญาณจำนวนมากเริ่มมารวมตัวอยู่รอบตัวนางใบหน้าของจี้จื่อโยวและสวีเมิ่งปินก็เปล่งประกายความยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อดอกไม้สีแดงบานในตันเถียนของนางเฉินโม่จึงค่อยๆยกมือออกจากบ่าของอีกฝ่ายแล้วนั่งลงเงียบๆบนเก้าอี้
“ท่านเฉิน...”
“ชู่ว์”
เฉินโม่ทำท่าทางให้เงียบลง จากนั้นยกแก้วสุราขึ้นพร้อมชี้ไปที่ เหวินจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างเป็นสัญญาณให้เงียบและปล่อยให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจถึง ความจริงแท้ก่อนที่จะสำเร็จการก่อกำเนิดแก่นทองคำ
สวีเมิ่งปิน ที่กำลังจะเอ่ยปากจึงพยักหน้าแรงๆแล้วมองไปที่จี้จื่อโยวด้วยความตื่นเต้น
สุดท้ายหลังผ่านไปครึ่งชั่วโมงพลังวิญญาณที่รวมตัวในอากาศก็ไหลเข้าสู่ร่างของ เหวินจิ่นอย่างฉับพลันและในวินาทีนั้นเองนางก็ลืมตาขึ้น
“ยินดีด้วยนะ”
เฉินโม่ยิ้มเล็กน้อย
พูดตามตรงก่อนจะพยายามให้คำชี้แนะฉินซีเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถเช่นนี้
มันเกินความคาดหมายจริงๆ
อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ การก่อกำเนิดแก่นทองคำของตัวเขาเอง ทำให้เห็นว่าพรสวรรค์สามอย่างบนแผงสถานะของเขา น่าจะมีลักษณะเช่นนี้อยู่มิฉะนั้นเขาคงไม่สามารถก่อกำเนิดได้ง่ายเช่นนี้
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเฉินที่ช่วยให้ข้าสำเร็จ!”
เหวินจิ่นคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมทำความเคารพแบบศิษย์
สำหรับนางแล้วการชี้แนะครั้งนี้เปรียบได้กับการมอบชีวิตใหม่
ทำให้นางเห็นอนาคตที่เคยคลุมเครือชัดเจนขึ้นและสามารถเดินตามเส้นทางแห่งการฝึกตนได้อย่างที่ใจหวัง
“ขอบคุณท่านเฉินมาก” จี้จื่อโยวยกแก้วสุราขึ้นพร้อมกล่าว
“เมื่อครู่ท่านผู้อำนวยการสวี ได้ตกลงแล้วว่าเหล่าสัตว์อสูรนั้นจะให้ฟรีทั้งหมด!”
“ฮ่าๆแน่นอนๆ!”
“เหวินจิ่น เจ้าไปพักผ่อนก่อน”
“เจ้าค่ะ ท่านปู่”
เหวินจิ่นก้มตัวคำนับเล็กน้อยก่อนเดินออกจากศาลาอย่างไม่ลังเล
ในตอนนี้เองเฉินโม่จึงเพิ่งทราบว่านางคือหลานสาวของ ผู้อำนวยการจี้ ...แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
จี้จื่อโยวสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามขึ้นว่า
“ท่านแม่ทัพเฉินยินดีจะร่วมมือกับสถาบันหลิงหลงหรือไม่?”
“ข้ามิได้ร่วมมือกับท่านอยู่แล้วหรือ?”
เฉินโม่ย้อนถาม
“ไม่ใช่ความร่วมมือแบบนั้น ข้าใช้คำของแดนล่าง ว่าการร่วมมือทางยุทธศาสตร์”
“...”
เฉินโม่รู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อยขณะฟัง
อย่างไรก็ตามสวีเมิ่งปินกลัวว่าเขาจะไม่เข้าใจจึงอธิบายเพิ่มเติม
“ดังนั้นเราจะเซ็นข้อตกลงกัน โดยให้สำนักส่งศิษย์สิบคนมาเรียนที่สถาบันหลิงหลงทุกปีและหากพวกท่านต้องการทีมวิจัยของเราก็จะเดินทางไปยังผิงตูโจวเพื่อสร้างเมืองให้ท่าน…” อีกฝ่ายพูดถึงข้อดีมากมายแต่ไม่ได้เอ่ยถึงข้อเรียกร้องเลย
“แล้วข้าต้องทำอะไร?”
ในเมื่อเป็นข้อตกลงมันเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายให้เพียงอย่างเดียวโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน
สวีเมิ่งปินหยุดพูดแล้วหันไปมองที่จี้จื่อโยว
เวลานี้ผู้อำนวยการจี้เป็นผู้ตัดสินใจ
“รบกวนท่านแม่ทัพเฉินช่วยชี้แนะนักเรียนปีละหนึ่งคนและคัดลอก วิชาพรสวรรค์เพิ่มผลผลิตเพิ่มอีกหนึ่งฉบับท่านคิดเห็นเช่นไร?”
สิ่งที่หายากนั้นย่อมมีค่า
สถาบันหลิงหลงขาดไม่ใช่ประสบการณ์ไม่ใช่เทคนิคและยิ่งไม่ใช่ทรัพยากร
กล่าวได้ว่าสำหรับพวกเขาแล้วสำนักมั่วไถไม่มีสิ่งใดที่ดึงดูดความสนใจ
การปรากฏตัวของเฉินโม่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาอยากลงนามในข้อตกลง
ทุกสิ่งล้วนเกิดจากบุคคลตรงหน้านี้!
แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้ตัวแต่สำหรับสถาบันหลิงหลงเขาคือสมบัติล้ำค่า
ด้วยเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ เฉินโม่ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
เขาคิดไปถึงขนาดจะทิ้งปีศาจงูแดงและงูเขียวไว้ที่นี่ เพื่อศึกษาวิชาการหลอมยาและการหลอมอาวุธ
สิบคนต่อปีถือว่าไม่น้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถซื้อสูตรยาและอาวุธวิเศษ รวมถึงหุ่นเชิดของสถาบันหลิงหลงได้โดยตรงอีกด้วย!
“ด้วยข้อเสนอที่น่าสนใจเช่นนี้ ข้ามีหรือจะปฏิเสธ?”
“ฮ่าๆ!” สวีเมิ่งปินหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง แก้มอวบอูมบนใบหน้าสั่นสะเทือนให้เห็นอย่างชัดเจน
ขณะที่ชูอี๋ที่ลังเลมานานในที่สุดก็พูดขึ้นว่า
“ท่านแม่ทัพเฉิน หากในภายภาคหน้าท่านบรรลุ วิชาควบคุมสัตว์วิญญาณได้ท่านจะคัดลอกวิชานี้ได้หรือไม่?”
นางรู้ดีว่าวิชาควบคุมสัตว์วิญญาณแม้จะมีความยากพอๆกับวิชาชาวนาวิญญาณแต่ประโยชน์ของมันย่อมแตกต่างกันมากมาย
“แน่นอน”
เฉินโม่ตอบอย่างรวดเร็ว
ยังไงเรื่องนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำให้บรรยากาศไม่ดี
“ขอบคุณมาก!”
หลังจากพูดคุยเรื่องสำคัญเสร็จแล้วทั้งสี่คนก็สนทนากันต่ออีกพักใหญ่
จากนั้น จี้จื่อโยว ซึ่งติดภารกิจจากสถาบันหลิงหลงและเมืองหลิงหลงก็ขอตัวกลับก่อน
เฉินโม่จึงถือโอกาสถามข้อมูลเกี่ยวกับแคว้นเป่ยโจวและเรื่องราวของเก้าตำนานจากสวีเมิ่งปินก่อนที่งานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง
ไม่นานหลังจากนั้น ชูอี๋ ก็ได้รับข่าวว่าฝ่ายผู้ฝึกตนจากผิงตูโจวได้เลือกสัตว์อสูรกันเสร็จสิ้นแล้วและรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วเช่นกัน
ทั้งสามจึงเดินทางกลับไปยังสถาบันวิจัยสัตว์อสูรเมื่อได้พบกับทุกคนอีกครั้ง เนี่ยหยวนจือ เวินห่าวเวิ่น และแม้แต่ฉีเฉินทุกคนมีวงแหวนควบคุมสัตว์วิญญาณสีทองติดอยู่ที่ข้อมือ
แค่เพียงวงแหวนนี้ก็มีมูลค่ามหาศาลในท้องตลาด
สัตว์อสูรที่อยู่ในนั้นก็คงไม่ด้อยไปกว่ากันนัก
“ท่านเจ้าสำนัก!”
เฉินโม่เดินเข้าไปถามไถ่พวกเขา
ทุกคนต่างพากันปล่อยสัตว์อสูรออกมา
เวินห่าวเวิ่นและเถียนซู่ฉินเลือกสัตว์อสูร อสูรเพลิงสายฟ้าอย่างเป็นเอกฉันท์ สัตว์อสูรชนิดนี้ไม่มีใน ผิงตูโจว
เหตุผลที่ทั้งสองเลือกสัตว์ตัวนี้พร้อมกันนั้นก็เกี่ยวข้องกับสถานะของพวกเขาเอง
เพราะการหลอมยาและการหลอมอาวุธสิ่งสำคัญที่สุดคือไฟ!
สำหรับฉีเฉินและจางเหลียงพวกเขาก็เลือกสัตว์อสูรที่ถูกใจเช่นกัน แต่สิ่งที่จางเหลียงเลือกกลับเป็นสัตว์อสูรธรรมดาอย่างเสือแดงเพลิงซึ่งไม่ค่อยมีมูลค่าเท่าไรนัก
เฉินโม่เดาได้ไม่ยากว่าเขาคิดอะไร
ชัดเจนว่าจางเหลียงไม่ต้องการให้เฉินโม่เสียค่าใช้จ่ายมาก
ตามหลักแล้วสถาบันหลิงหลงเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้เขาจึงสามารถให้จางเหลียงเลือกใหม่ได้
แต่ถ้าทำเช่นนั้นคงจะดูขี้เหนียวเกินไป...
(จบบท)