บทที่ 67: ขอเจ้าส้ม
“ดี!” มู่เทียนฉงปรบมือด้วยความสนใจ “ทหาร เตรียมห่วงไฟให้องค์หญิงหก เราอยากจะรู้ว่าเสือที่ไม่มีใครสามารถฝึกให้เชื่องมาก่อนจะกระโดดลอดห่วงไฟได้อย่างไร”
“ตกลง!” มู่ไป๋ไป่ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน โดยคิดว่าคราวนี้เธอจะยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อเจ้าส้มดูสักตั้ง
“ท่านจ้าวอสูร?!” เสือตัวใหญ่รู้สึกกังวลขึ้นมา มันเดินงุ่มง่ามไปมาอยู่ด้านหลังกรง “เอ่อ… ข้ากระโดดลอดห่วงไฟไม่ได้ และข้าก็กลัวไฟด้วย”
เด็กหญิงเดินเข้าไปในกรงเสือ ในขณะที่คนอื่นกำลังเตรียมการ เธอก็รีบสั่งสอนหลักสูตรเร่งรัดให้กับเจ้าเสือ “เจ้าเป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง เจ้าจะกลัวเพียงเปลวไฟเล็ก ๆ แค่นี้ไม่ได้ มันดูถูกเจ้าเกินไป!”
“แต่...” เสือโคร่งยังคงส่งเสียงคร่ำครวญ มันนอนลงบนพื้นพลางตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “ข้าเป็นราชาแห่งป่า ข้าเป็นราชาแห่งป่า…”
มู่ไป๋ไป่มองดูท่าทางเศร้าสร้อยของมันด้วยความรู้สึกขบขัน พอคิดว่าเสือก็ไม่ต่างจากแมว เธอจึงเลียนแบบวิธีการหยอกล้อเจ้าส้มโดยการเกาคางของมันครู่หนึ่ง
มันเป็นไปตามที่เธอคาด เสือตัวใหญ่ทำท่าเคลิบเคลิ้มทันที
คนตัวเล็กจึงถือโอกาสนี้พูดกับมันว่า “เจ้าเสือ ช่วยข้าสักครั้งเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ครั้งหน้าข้าจะเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้เจ้าเป็นการตอบแทน”
“มีของอร่อยด้วยหรือ?” เสือโคร่งถามขึ้นมา ในขณะที่มันเกือบจะนอนราบกับพื้นและยื่นพุงใหญ่ ๆ ให้มู่ไป๋ไป่เกา
“ใช่” เด็กน้อยขมวดคิ้วใช้ความคิด เสือตัวใหญ่เช่นนี้จะต้องกินอะไรกัน? เพราะอาหารที่เธอเคยคิดว่ามันน่ากินคงจะไม่มีความหมายสำหรับมัน
อ๊ะ ใช่แล้ว!
ครั้งล่าสุดที่ต้นโสมขอน้ำตาของเธอ มันอาจจะมีผลลัพธ์พิเศษบางอย่างกับสัตว์พวกนี้
“น้ำตาของข้าไง!” พอคิดถึงเรื่องนี้มู่ไป๋ไป่ก็พูดออกไปตามตรง “ถ้าเจ้าตกลงที่จะช่วยข้า ข้าก็จะมอบน้ำตาของข้า 1 หยดให้เจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“จริงหรือ!?” ดวงตาของเสือเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “ท่านจ้าวอสูรยินยอมที่จะมอบน้ำตาของท่านให้แก่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเด็กหญิงได้รับคำตอบจากเสือ เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดกับอีกฝ่ายพร้อมกับลูบคางมันเบา ๆ ว่า “เรามาทำสัญญาเป็นพันธมิตรกันเถอะ”
จากนั้นฝ่ามือของเสือตัวใหญ่ก็แตะกับมือเล็กอย่างระมัดระวัง และมนุษย์ 1 คนกับเสือ 1 ตัวก็ได้ทำสัญญาต่อกัน
เวลานี้ห่วงไฟขนาดใหญ่อันแล้วอันเล่าได้ถูกจุดขึ้นในพื้นที่ลานกว้าง มู่ไป๋ไป่นั่งมองพลางกลืนน้ำลายลงคออย่างประหม่า แม้ว่าเจ้าเสือตัวนี้จะตอบตกลง แต่พ่อของเธอก็พูดถูก มันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ต่อให้มันได้รับการฝึกซ้อมแล้ว แต่มันก็ไม่อาจกระโดดข้ามห่วงไฟได้โดยง่าย
“เจ้าเสือ เอาเลย!” เด็กหญิงกำหมัดแน่นพร้อมตะโกนให้กำลังใจเสือตัวโต
ขณะเดียวกัน เธอก็เห็นเสือในกรงส่งเสียงคำรามดังก้องก่อนที่มันจะวิ่งแล้วกระโดดไปที่ช่องว่างระหว่างห่วงไฟ
จากนั้นทุกคนก็ได้แต่เบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า เพราะเสือตัวใหญ่ไปหยุดอยู่ที่ปลายอีกด้านของห่วงไฟ
“ดี!” มู่เทียนฉงปรบมือส่งเสียงชื่นชม “เก่งมาก”
มู่ไป๋ไป่เองก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างมีความสุขเพื่อกอดเสือโคร่ง ในขณะที่เธอกางมือสั้น ๆ ออกกว้าง เธอก็ได้ยินเสียงเสือตรงหน้าบ่นว่า “ท่านจ้าวอสูร ข้ากลัวแทบตาย ฮือออ ข้ารู้สึกร้อนที่หางมาก ท่านช่วยดูให้หน่อยว่ามันไหม้หรือยัง?”
“...”
ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเสือตัวยักษ์ถึงขี้ขลาดขนาดนี้?
“ไม่หรอก หางของเจ้าไม่เป็นไร” เด็กหญิงเหลือบมองหางหนา ๆ ของเจ้าเสือก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ใช่แค่หางเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเจ้าก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน”
หลังจากเสือตัวโตได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก มันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเริ่มร้องขอรางวัลตามสัญญา
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่เบี้ยวเจ้าหรอก ตอนนี้มีคนจับตาดูเราอยู่มากมาย ข้ายังไม่สะดวกจะมอบมันให้เจ้า” มู่ไป๋ไป่เอ่ยพลางตบหัวเสือเบา ๆ “ข้าจะแอบเอามันมาให้เจ้าในภายหลัง”
พอเสือโคร่งได้ยินคำสัญญาของอีกฝ่าย มันก็มุดหัวเข้าหาเธออีกครั้งอย่างมีความสุข
มู่เทียนฉงที่ได้รับชมการแสดงของเสือตัวใหญ่ก็เกือบจะลืมปัญหาของตำหนักชิงเหอ ก่อนจะเอ่ยปากชื่นชมและเปิดโอกาสให้ลูกสาวได้ร้องขอสิ่งที่ต้องการ
“ไป๋ไป่อยากจะให้ท่านพ่อมอบแมวทรงเลี้ยงอย่างเจ้าส้มเป็นรางวัลเพคะ” มู่ไป๋ไป่คุกเข่าลงกับพื้นในขณะที่เงยหน้าขึ้นเอ่ย ซึ่งรูปร่างเล็กกะทัดรัดของเธอนั้นดูน่าเอ็นดูมาก
แมวส้มที่ถูกขังอยู่ในกรงได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นว่า “มู่ไป๋ไป่ เป็นข้าที่มองเจ้าผิดไป เจ้ายังมีข้าอยู่ในใจจริง ๆ”
ขณะนั้นเด็กหญิงมองเจ้าแมวอ้วนคล้ายให้ความมั่นใจกับมัน
เธอเคยคิดที่จะขอเจ้าส้มจากมู่เทียนฉงหลายครั้งแล้ว เพราะมันถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดสำหรับเธอ อย่างไรก็ตาม ในอดีตเจ้าส้มนั้นดุเกินไป ดังนั้นทุกครั้งที่เธอไปเข้าเฝ้าท่านพ่อ มันจึงไม่สามารถหลบหนีจากการถูกจับเข้ากรงได้
แล้วในบางครั้งเธอก็จะแกล้งทำตัวน่ารักเพื่อที่จะแอบเนียนเอาเจ้าแมวตัวโตออกมา
ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกินไปจนมันทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสะดวกมากนัก
ดังนั้นเธอจึงได้คิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมด
ตราบใดที่มู่เทียนฉงมอบเจ้าส้มให้เธอ มันก็จะเป็นแมวของเธอ ถ้าเธอไม่เอ่ยปาก ก็จะไม่มีใครทำอะไรแมวตัวนี้ได้อีก
“เราขอถามเจ้าหน่อยว่าเหตุใดเจ้าถึงอยากจะแสดงเสือกระโดดลอดห่วงไฟให้เราดู เพราะเจ้าวางแผนเรื่องนี้ไว้แล้วสินะ” รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่สีหน้าของเขาจะดูดุดันขึ้น “มู่ไป๋ไป่ เจ้าก็รู้ว่าเราเลี้ยงแมวตัวนี้มานาน”
เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้เรียกลูกสาวด้วยชื่อเต็ม มันทำให้เด็กหญิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
ขณะที่เธอกำลังจะตอบกลับ เธอก็ได้ยินเสียงเจ้าส้มที่อยู่ในกรงร้องประท้วง
“มู่เทียนฉง เจ้าคนสับปลับ คนที่เลี้ยงข้ามาก็คือนางกำนัลและขันทีในตำหนักของเจ้า เจ้ารู้จักแต่จะขังแมวตัวนี้ไว้ในกรงต่างหาก!”
“แล้วยังชอบมาเยาะเย้ยข้าว่าเป็นแมวอ้วนอีก!”
“...” มู่ไป๋ไป่ถึงกับพูดไม่ออก
โชคดีที่พ่อของเธอไม่เข้าใจภาษาสัตว์ มิเช่นนั้นชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าส้มคงไม่เหลือแล้ว
มู่เทียนฉงเห็นมู่ไป๋ไป่หันไปมองแมวที่อยู่ในกรงนิ่ง เขาก็คิดว่าคนร่างเล็กกลัวท่าทีดุดันของเขา ดังนั้นเขาจึงผ่อนคลายตัวเองลงเล็กน้อยและใช้น้ำเสียงที่ใจดีมากขึ้น “แมวก็เหมือนสุนัข มันรักและเคารพเจ้านายเพียงคนเดียวตลอดชีวิต แม้ว่าเราจะตกลงมอบมันให้กับเจ้า มันก็คงไม่อาจเคารพเจ้าในฐานะเจ้านายได้ เจ้ารังเกียจหรือไม่?”
พอเด็กน้อยได้ยินเช่นนี้ เธอก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ จึงรีบตอบไปว่า “ไป๋ไป่รู้ว่าเจ้านายเพียงคนเดียวตลอดชีวิตของเจ้าส้มคือท่านพ่อ ไป๋ไป่ไม่ได้อยากเป็นเจ้านายของเจ้าส้ม ไป๋ไป่แค่อยากให้เจ้าส้มเล่นกับมู่ไป๋ไป่ตลอดเท่านั้น”
คำตอบของเธอนั้นดูเด็กมาก และเธอก็ยังแอบยกยอผู้เป็นพ่อไปในตัว มันทำให้เขารู้สึกพอใจมาก
“เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าคิดอย่างนั้น เราเองก็ไม่มีปัญหาที่จะมอบเจ้าส้มให้กับเจ้า”
แมวตัวโตซึ่งถูกขังอยู่ในกรงกำลังจะโต้กลับว่ามันไม่มีวันยอมรับมนุษย์หน้าโง่เป็นเจ้านายของมันแน่ก็ต้องตกตะลึงนิ่งเงียบไป “เขาเห็นด้วยอย่างนั้นหรือ?”
มู่ไป๋ไป่รีบไปรับกรงของเจ้าส้มออกจากมือขันทีทันทีที่ได้รับอนุญาต แล้วเธอก็ยิ้มกว้างพร้อมกับพูดติดตลก “ดูเจ้าสิ เจ้าคงจะผิดหวังมากสินะ?”
“อะไรกัน ไม่อยากโดนข้าทิ้งหรือ?”
“ไม่เป็นไร ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ได้อยากเป็นเจ้านายของเจ้า”
“บ้าเอ๊ย! อย่ามาพูดไร้สาระนะ แมวตัวนี้ไม่มีเจ้านาย พวกเจ้านั่นแหละเป็นทาสของข้า” เจ้าส้มพูดเย้ยหยัน “รีบปล่อยข้าไปเร็วเข้า ข้ารู้สึกอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว”