บทที่ 66: เรียกคืนอำนาจ
“ในวันนี้นางกำนัลของตำหนักชิงเหอกล้าแกล้งทำเป็นนอนอยู่บนเตียงของเจ้า พรุ่งนี้พวกนางจะไม่กล้าถึงขั้นปลอมตัวไปนั่งบนบัลลังก์ของเราเลยหรืออย่างไร?”
สิ่งที่มู่เทียนฉงพูดนั้นจริงจังมากจนทำให้ทุกคนในตำหนักกลัวจนต้องคุกเข่าขอโทษ
“ฝ่าบาท…” ลี่เฟยยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอนางเห็นสายตาดุดันของคนตรงหน้า นางก็รู้ได้เลยว่าตนกำลังทำให้ชายผู้นี้โกรธมาก นางจึงรีบหุบปากทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็ได้สบถด่าพวกทาสต่ำต้อยที่ไม่สามารถรั้งฝ่าบาทเอาไว้ได้แม้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วเช่นนี้นางจะเลี้ยงคนเหล่านั้นไว้ทำไม?
“ในเมื่อเจ้าไม่สามารถควบคุมคนรับใช้พวกนี้ได้ เราจะช่วยเจ้าเอง” มู่เทียนฉงพูดเสียงเย็น คนที่รู้จักเขาดีจะรู้ว่าหากเขาใช้น้ำเสียงเช่นนี้ เขาพร้อมที่จะเข่นฆ่าคนและสร้างฉากนองเลือดแล้ว จึงทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“ทหาร มาจับนางกำนัลและขันทีทั้งหมดของตำหนักชิงเหอไปรับโทษโบยคนละ 20 ไม้” ฮ่องเต้หนุ่มหันไปมองนางกำนัลที่ทรุดตัวร้องไห้อยู่บนเตียง ก่อนจะสั่งการเสียงเฉียบขาด “ส่วนคนผู้นี้แกล้งปลอมตัวเป็นลี่เฟย ลากนางไปประหารซะ!”
ดูเหมือนว่านางกำนัลตัวเล็ก ๆ คนนี้จะคาดเดาชะตากรรมของตัวเองได้ นางจึงหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
มู่ไป๋ไป่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้น่าสงสารเพียงใดจึงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นสิ่งที่นางกำนัลคนนี้เลือกเอง แม้ว่าเธอจะช่วยคนผู้นี้เอาไว้ แต่อีกฝ่ายก็คงไม่อาจรอดพ้นไปจากลี่เฟยได้อยู่ดี ท้ายที่สุดแล้ว ทางที่เหลือในชีวิตของนางกำนัลคนนี้มีเพียงทางตันเท่านั้นใช่หรือไม่?
ในไม่ช้าเหล่าองครักษ์ก็ได้ดึงตัวนางกำนัลและขันทีในตำหนักออกไป พร้อมกับเสียงร้องไห้คร่ำครวญที่ดังก้องไปทั่วตำหนักชิงเหอ แต่น่าแปลกที่ไม่มีใครกล้าร้องขอความเมตตาเลยสักคน
พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่พวกตนทำในวันนี้สมควรได้รับโทษยิ่งกว่าการถูกโบย 20 ไม้
หากมีใครกล้าร้องขอความเมตตา มันอาจจะไปทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากยิ่งขึ้น และโทษที่พวกเขาได้รับอาจจะเป็นโทษตายแทน
ทางด้านลี่เฟยหมดเรี่ยวแรงล้มตัวลงไปกองอยู่บนพื้น แต่นางก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะอย่างน้อยนางก็ยังสามารถผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว
“ส่วนลี่เฟย” มู่เทียนฉงที่พามู่ไป๋ไป่เดินไปถึงประตูห้องแล้วจู่ ๆ ก็หยุดและพูดขึ้นมาโดยไม่หันกลับไปมอง “เราเคยมอบวังหลังให้เจ้าดูแลเพราะเราหวังว่าเจ้าจะจัดการมันได้เป็นอย่างดี”
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของหญิงสาวกระตุก นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง นางจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับร้องขอความเมตตา “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าฮ่องเต้หนุ่มจะไม่ได้ยินเสียงร้องขอของอีกฝ่าย และกล่าวต่อไปว่า “ตอนนี้เพียงแค่ตำหนักชิงเหอที่อยู่ในการควบคุมของเจ้ายังตกอยู่ในความวุ่นวาย ดูเหมือนว่าเจ้าคงไม่สามารถดูแลวังหลังทั้งหมดได้แล้ว”
“เราจะลงโทษเจ้าโดยการริบตราประทับหงส์คืน และให้เจ้ากักตัวอยู่ในตำหนักเป็นเวลา 1 เดือน”
‘ตราประทับหงส์’ เป็นตราประทับของฮองเฮา มู่เทียนฉงได้มอบตราประทับนี้ให้กับลี่เฟยเพื่อคอยจัดการดูแลวังหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่านางอาจจะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาคนต่อไป ด้วยเหตุนี้นางจึงทำตัวไร้ศีลธรรมและหยิ่งผยองในวังหลัง
ทว่าชายหนุ่มได้เรียกคืนตราประทับหงส์ ซึ่งมันไม่ต่างกับการลบความเป็นไปได้ของการเป็นว่าที่ฮองเฮาของลี่เฟยออกไป
ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกกลัวมาก นางไม่สนใจภาพลักษณ์ของตัวเองและคลานเข่าเข้าไปหามู่เทียนฉงโดยหวังจะกอดขาขอร้องเขา
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่นางจะขยับไปถึงตัวชายตรงหน้า อันกงกงก็เข้ามาขวางนางไว้
“พระสนม ฝ่าบาทเพิ่งออกคำสั่งให้พระสนมทบทวนความคิดของตัวเองอยู่ในตำหนักชิงเหอ” อันกงกงยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่มันกลับแตกต่างไปจากปกติ โดยที่มันเป็นรอยยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา
“สำหรับตราประทับหงส์ กระหม่อมจะมารับมันพรุ่งนี้ กระหม่อมหวังว่าลี่เฟยจะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อที่กระหม่อมจะได้นำมันกลับไปให้ฝ่าบาทได้อย่างรวดเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากอันกงกงกล่าวจบ เขาก็ทำสัญญาณมือให้องครักษ์เฝ้าประตูก่อนที่จะเดินออกไป
ขณะนี้มู่เทียนฉงรู้สึกไม่พอใจมากกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตำหนักชิงเหอ เขาจึงไม่มีอารมณ์จะไปจัดการกับราชกิจอีก ดังนั้นเขาเลยพาลูกสาวไปนั่งเล่นตรงลานที่เป็นที่ตั้งของกรงเสือ
มู่ไป๋ไป่เองก็ตอบตกลงอย่างมีความสุข
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่ามันน่าเสียดายที่ปล่อยลี่เฟยให้หลุดมือไปได้ในครั้งนี้ แต่หากคิดดูให้ดีอีกครั้ง พออีกฝ่ายไม่มีอำนาจจัดการดูแลวังหลัง มันก็ไม่ต่างจากการที่นางสูญเสียปีกของตัวเองไป และอำนาจของนางคงจะลดลงไปเยอะมาก
แม้กระนั้น เรื่องนี้คงต้องวางแผนระยะยาว เธอจะมีโอกาสคว้าหางจิ้งจอกของลี่เฟยได้ตลอดเวลา
“แง้ว! เจ้าคนเนรคุณมู่ไป๋ไป่ ลืมแมวตัวนี้ไปแล้วหรืออย่างไร? ข้ายังถูกขังอยู่ในกรงนะ!” เสียงไม่พอใจของเจ้าส้มดังมาจากด้านหลัง “มู่ไป๋ไป่ รีบมาช่วยข้าออกไปเร็ว ๆ เข้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่จบกับเจ้าง่าย ๆ แน่”
“!!!”
ต้องบอกว่าเธอลืมเรื่องของเจ้าส้มไปเสียสนิท
มู่ไป๋ไป่ย่นหน้าเข้าหากัน จากนั้นจึงหันกลับไปขอโทษอีกฝ่าย
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะเธอสั่งให้เจ้าส้มทำเอง ดังนั้นเธอจะต้องหาทางพามันออกมาให้ได้
หลังจากเด็กหญิงกลอกตาพร้อมใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็เกิดความคิดขึ้นในใจแล้วรีบดึงมือใหญ่ที่จับมือเธอเอาไว้ก่อนจะพูดเสียงหวานว่า “ท่านพ่อ ไป๋ไป่มีบางอย่างจะให้ท่านดู”
มู่เทียนฉงเลิกคิ้วพลางแสดงท่าทีขบขัน “ไป๋ไป่จะแสดงอะไรให้เราดู? ท่องบทกวีอย่างนั้นหรือ?”
“วันนี้เราจะไม่ท่องบทกวีเพคะ” คนตัวเล็กโบกมือแล้วชี้ไปที่เสือตัวใหญ่ที่อยู่ในกรง “วันนี้เราจะแสดงเสือกระโดดลอดห่วงไฟ”
“หืม?” ผู้เป็นพ่อรู้สึกตื่นเต้น “ไป๋ไป่ เราเลี้ยงดูเสือตัวนี้มาด้วยตัวเอง เราไม่เคยฝึกให้มันกระโดดลอดห่วงไฟเลย แล้วเจ้าจะทำให้มันแสดงให้เราดูได้อย่างไร?”
“เจ้าตัวแสบ อย่าได้ชะล่าใจนัก ครั้งสุดท้ายที่เสือยอมฟังคำสั่งเจ้าเป็นเพราะโชคช่วยหรอก”
“ระวังครั้งนี้มันจะกัดหัวเจ้าขาด”
ครั้งสุดท้ายที่มู่ไป๋ไป่ทำให้เสือยอมจำนน มู่เทียนฉงยังคิดว่ามันมหัศจรรย์มาก แต่ต่อมาเขาก็คิดว่ามันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
ยิ่งไปกว่านั้น ปัจจุบันเด็กคนนี้สำคัญสำหรับเขามาก เขาจึงไม่กล้าโยนนางเข้าไปในกรงเสืออีก
“ไม่เพคะ” มู่ไป๋ไป่ไม่มีวันยอมบอกอีกฝ่ายว่าเธอพูดคุยกับสัตว์ได้ ดังนั้นเธอจึงส่ายหัวแล้วรีบอธิบายว่า “เจ้าเสือเป็นเด็กดีมาก”
จากนั้นเธอก็วิ่งไปที่ด้านข้างตรงเสือและโบกมือให้กับเสือโคร่งตัวใหญ่ “เจ้าเสือ มานี่!”
เสือตัวใหญ่ที่กำลังนอนหลับพักผ่อนกระดิกหูของมัน ดูเหมือนว่ามันจะได้กลิ่นที่คุ้นเคยจึงหันไปตามต้นเสียง ก่อนจะพบคนตัวเล็กที่มันเคยเห็นมาก่อน
เจ้าเสือยังคงจำมู่ไป๋ไป่ซึ่งมีรัศมีของจ้าวอสูรได้
“กรรซ์” เสือตัวโตลุกขึ้นทันที ก่อนจะโค้งคำนับให้กับเด็กหญิงด้วยความเคารพปนหวาดกลัว จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหานาง แล้วยื่นศีรษะไปที่ใต้ฝ่ามือของนางอย่างเชื่อฟัง
บนหัวเสือนั้นมีขนดูนุ่มฟู แต่ในความเป็นจริงมันหยาบมาก หลังจากลูบหัวมัน 2-3 ครั้ง มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกว่ามันแตกต่างจากขนของเจ้าส้มมาก เธอจึงดึงมือกลับมาก่อนจะยิ้มสดใสให้กับผู้เป็นพ่อที่กำลังมองดูด้วยความประหลาดใจ “ท่านพ่อ ดูสิ ไป๋ไป่บอกแล้วว่าเจ้าเสือเป็นเด็กดีมาก”
“ไป๋ไป่ทำได้อย่างไรกัน?” มู่เทียนฉงรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้น “ดูเหมือนว่าองค์หญิงหกของเราจะมีความสามารถจริง ๆ”
“เจ้าเสือ มาเถอะ” เด็กหญิงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจขณะขยี้หัวเสือตัวใหญ่อีก 2-3 ครั้ง “ท่านพ่อ ถ้าอยากเห็นเสือกระโดดลอดห่วงไฟ เราก็ขอให้เจ้าเสือแสดงให้ดูได้!”
“กรรซ์?” เสือตัวใหญ่สับสน
กระโดดลอดห่วงไฟหรือ?
ห่วงไฟคืออะไร?
ทำไมข้าต้องกระโดดลอดห่วงไฟด้วย?
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: จะทำอะไรก็ไม่ถงไม่ถามเสือก่อนสักคำเนาะ 55555