บทที่ 40
เมื่อกลับถึงบ้าน ซ่งซานเฉินต้องกลับมาเริ่มงานใหม่ที่วุ่นวายอีกครั้ง ตอนนี้ความจำของเขาไม่ดีเท่าตอนที่ยังหนุ่มยังแน่น ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด จึงต้องหยิบโทรศัพท์โทรหาคนขายผึ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่รอบ กว่าจะเริ่มเตรียมอุปกรณ์ได้จริงๆ จังๆ
ขณะที่คุณปู่ซ่งโหย่วเต๋อพอได้ยินว่าหลานสาวจะเลี้ยงผึ้ง เพิ่งทานข้าวกลางวันเสร็จได้ไม่นานก็ต้องรีบมาดูให้เห็นกับตา เมื่อเห็นว่าซ่งซานเฉินยังคงตัดกระเบื้องใยหินอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่น
"ดูสิ ทำไมทำงานอะไรชักช้าอย่างนี้ กล่องเลี้ยงผึ้งไม่ควรวางไว้ก่อนเหรอ! "
ซ่งถานเข้าใจแล้ว ที่พ่อเธอเคยบอกว่าคุณปู่นั้นเรื่องมากและขี้จุกจิก
แน่นอน เมื่อซ่งซานเฉินได้ยินแบบนั้นก็ทำงานไปบ่นไป "พ่ออย่ามายุ่งเลย คนขายผึ้งบอกว่ากล่องเลี้ยงผึ้งต้องมีแผ่นปิดกันฝนด้านบน ฉันตัดกระเบื้องใยหินทั้งแผ่นนี้พอดีเพื่อปิดให้พวกมัน ก็ต้องหยิบขึ้นมาวัดฝาสิ"
"เดี๋ยวนะ แกรู้วิธีเลี้ยงผึ้งเหรอ! เมื่อก่อนฉันก็เคยเลี้ยงนะ กล่องนี้ต้องรองด้านล่างด้วยนะ สูงประมาณสิบถึงยี่สิบเซน"
ซ่งโหย่วเต๋อสั่งการด้วยความมั่นใจ ใบหน้าแก่ๆ ของเขาดูไม่สู้ดี
คราวนี้เขาไม่ได้พูดมั่ว กล่องเลี้ยงผึ้งต้องมีฐานรองด้านล่างจริงๆ ประการหนึ่งเพื่อป้องกันแมลงและความชื้น ประการที่สองเพื่อการระบายอากาศ
ซ่งถานก็ยิ้ม "คุณปู่มีประสบการณ์มากจริงๆ ด้วย"
"ปกติมันต้องทำที่ป้องกันมดไว้ที่กล่องด้วยนะถานถาน พวกแกต้องวางกล่องเลี้ยงผึ้งไว้ด้านนอกของลาน ใกล้ๆ กับที่ดินด้านหลังภูเขาก็ได้"
"เอ้อพ่อ! จะว่าไป ฉันเหมือนเคยได้ยินว่ากล่องเลี้ยงผึ้งต้องวางเรียงกันเป็นชั้นๆ และต้องมีที่กำบังแดดด้วยหรือเปล่า พ่อช่วยฉันดูหน่อยว่าเอาไปวางที่ไหนมันจะเหมาะกว่ากัน"
ผึ้งจีนเป็นแบบนี้ ความสามารถในการจดจำรังของมันค่อนข้างแย่ ดังนั้นกล่องเลี้ยงผึ้งจึงไม่เพียงแต่ต้องวางเรียงกันเป็นชั้นๆ จากบนลงล่างเท่านั้น แต่แต่ละกล่องยังจะต้องมีระยะห่างประมาณหนึ่งอีกด้วย ปากกล่องต้องหันไปทางทิศใต้ แต่ทิศทางของแต่ละกล่องต้องแตกต่างกันเล็กน้อย...
เมื่อก่อนซ่งถานเห็นคนเลี้ยงผึ้งวางกล่องเรียงกันเป็นแถวๆ เธอก็แอบคิดไปเองว่าจะวางอย่างไรก็ได้
แต่ตอนนี้เมื่อมองดู ก็พบว่าการทำอะไรหลายอย่างก็มีหลักการของมัน
ซ่งโหย่วเต๋อที่ได้รับมอบหมายงานมาจากลูกชาย ทำให้รู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองได้รับการยอมรับมากขึ้น ในตอนนี้จึงสูบไปป์และเดินจากไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
เดินไปรอบๆ ลานบ้าน ซ่งซานเฉินมองลูกสาวแล้วคิดในใจว่าปากของเด็กคนนี้เหมือนแม่ของเธอจริงๆ ส่วนอู่หลานแม่ของเด็กๆ ก็หาจานตื้นๆ หลายใบมาละลายน้ำตาลแล้วนำออกมา
"ให้พวกมันกินกันก่อนสักสองวันดีไหมพ่อ แม่เห็นยอดดอกถั่วม่วงในไร่บางดอกกำลังจะออกดอกแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะบาน ถึงตอนนั้นก็คงเก็บน้ำผึ้งจากมันได้แล้ว"
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เพราะผึ้งหลายตัวบินวนอยู่รอบๆ ทำให้รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ซ่งถานไม่สนใจ เธอรับจานมาอย่างเฉียบขาด พลังลมปราณที่บางเบาก็ซึมเข้าไปในจานอย่างเงียบเชียบ
ทันทีที่วางลง ผึ้งก็บินเข้ามาตอมอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเห็นท่าทางนั้น ซ่งซานเฉินก็ต้องบ่นขึ้นมาอีกครั้ง "ทำไมพวกมันถึงหิวขนาดนี้นะ"
ซ่งถานรู้สึกตื่นเต้น แรงดึงดูดของพลังลมปราณนั้นส่งผลต่อพลังจิตวิญญาณของพวกมันเกินคาดมาก เธอต้องรีบเร่งฝึกวิชาเซียนให้พัฒนาก้าวข้ามไปอีกระดับโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยเพื่อใช้ควบคุมฝูงผึ้งให้ได้มากกว่านี้ ไม่งั้นหากหลายๆ ตัวเข้า และเธอยังควบคุมจิตวิญญาณของพวกมันไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับว่าเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เหรอ
ส่วนเฉียวเฉียวที่ถือโถอยู่ในมือก็เฝ้าดูซ่งซานเฉินทำงานอย่างว่าง่าย เมื่อตัดกระเบื้องใยหินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นถามว่า "พ่อ ของเฉียวเฉียวล่ะ หมีน้อยของเฉียวเฉียวล่ะให้เอาไปไว้ไหน"
"หมีน้อยอะไรของหนู"
ซ่งซานเฉินตกใจ แล้วก็พลันคิดได้…
ผ่านไปนานแค่ไหนกันเชียว ผึ้งตัวนี้แป๊บเดียวก็มีชื่อเสียแล้ว!
"หนูหมายถึงผึ้งนางพญาตัวนั้นให้เอาไปไว้ไหนน่ะเหรอ…"
เฉียวเฉียวพยักหน้า สายตาของเขาก็สอดส่ายไปมาบนพื้นราวกับกำลังเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
ซ่งซานเฉินหัวเราะแล้วก็ชี้ไปที่เพิงเก็บของในลาน "หมีน้อยของหนูจะอยู่กับผึ้งของเราได้หรือเปล่า พ่อยังไม่รู้เลย! ถ้าเลี้ยงไว้เล่นๆ ก็เอาไปไว้ที่มุมเพิงเลย"
"กำบังลมและฝน แมลงก็มีน้อย ปลอดภัยกว่าด้วย"
ผึ้งพวกนี้ที่ตั้งใจเลี้ยงไว้ในลานก็เพื่อให้ใกล้ชิดกับตัวเขาเองให้มากขึ้น! ส่วนผึ้งนางพญาตัวนั้นเอาไปไว้ไกลๆ น่าจะดีที่สุด
เฉียวเฉียวรีบอุ้มกล่องวิ่งไป ไม่นานก็เลือกตำแหน่งได้แล้ว จนถึงตอนนี้ เขามองมาด้วยสายตาเว้าวอนอีกครั้ง "พี่สาว เฉียวเฉียวอยากเปิดกล่องดูหน่อย"
ซ่งถานลองคิดไตร่ตรองดู จึงแอบรวบรวมพลังลมปราณไว้ที่ปลายนิ้วเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงแปรสภาพลมปราณให้กลายเป็นของเหลวอย่างน้ำเชื่อม และถ่ายใส่จานใบเล็กๆ ก่อนจะยินยอมให้น้องชายเปิดโถ
เห็นได้ชัดว่าผึ้งนางพญาอ้วนท้วนบินขึ้นไปโดยไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้นก็พุ่งปรี่เข้าไปในจานอย่างรวดเร็ว ดูดน้ำเชื่อมอย่างใจจดใจจ่อ!
น่าสงสาร เห็นได้ชัดเลยว่ามันหิวโหยมาก และรอที่จะเก็บสารอาหารไว้เพื่อวางไข่โดยเฉพาะ ก้นที่อ้วนกลมของมันเชิดยกสูงขึ้น ขนสีดำและเหลืองเป็นริ้วชัดเจนและสดใส ก้นใหญ่และกลม ขนฟูสั่นระริก ดูแล้วอดไม่ได้ที่จะอยากสัมผัส
เฉียวเฉียวมีหรือจะอดใจไหว…เตรียมที่จะยื่นนิ้วออกไปอีกครั้ง แต่ซ่งถานก็มองมาที่เขา
"มือไม่เจ็บแล้วเหรอ"
เขาเก็บมือกลับไปด้วยความน้อยใจทันที
ขณะที่ซ่งถานมองไปทางซ้ายและขวา ในที่สุดเธอก็วางโถนี้ไว้ในที่ที่สูงกว่าให้พ้นมือน้องชายจอมซน
"อย่าเพิ่งยุ่ง"
ผึ้งนางพญาสามารถขุดรูวางไข่ได้ ดังนั้นเมื่อผึ้งงานฟักออกมาประชากรก็จะเพิ่มขึ้น จากนั้นค่อยดูว่าจะจัดการอย่างไร ยังไงก็ไม่ได้หวังให้พวกมันหาเงินให้อยู่แล้ว ถือว่าเป็นการหาความรักให้เฉียวเฉียว
เธอหวนนึกถึงสัมผัสที่นุ่มฟูและอ้วนท้วน ในขณะที่เฉียวเฉียวหันหลังกลับ เธอก็รีบเปิดโถออกและแอบเอานิ้วไปแตะอย่างแรง!
ในจาน ผึ้งนางพญาเกือบจะถูกสัมผัสนี้ผลักจมลงไปในน้ำเชื่อม มันจึงยื่นเหล็กในตามสัญชาตญาณการปกป้องตัวเอง แต่เมื่อยื่นออกมาจู่ๆ มันก็หดเหล็กในกลับเข้าไป ในที่สุดก้นก็ขยับและก้มหัวลงไปดูดน้ำเชื่อมต่อ
ในเวลานี้ ผู้ช่วยแพทย์เจินหลี่แห่งมณฑลหนิงเฉิงได้เพิ่มชื่อเสียงเป็นที่กระฉ่อนในโรงพยาบาลอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงผู้นำของโรงพยาบาล แม้แต่ผู้ป่วยก็ยังแห่กันมาสอบถามไม่ว่างเว้น
"ผู้ช่วยเจินครับ ข้าวต้มผักที่คุณทานตอนเที่ยง ทุกคนบอกว่าเป็นผักที่คุณซื้อมาใช่ไหม ผักอะไรเหรอ ซื้อที่ไหน กิโลกรัมละเท่าไหร่ครับ ผู้ป่วยอย่างเราสามารถทานได้บ้างไหม"
ผู้ช่วยเจินเกือบจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ ตื่นเต้น และไม่เชื่อสายตาตัวเอง เหตุการณ์เป็นดังนี้…
ผักเหล่านี้จริงๆ ราคาสูงถึงสามร้อยหยวน ได้มาสิบกิโลกรัม ยังไม่รวมค่าขนส่ง แต่สุดท้ายเมื่อได้รับของแล้ว ตัวผู้ช่วยเจินยังไม่ทันได้เปิดกล่องออกมาดูเลยด้วยซ้ำ พ่อครัวใหญ่ประจำโรงอาหารก็เดินตรงเข้ามาไม่พูดไม่จาใดๆ หยุดอยู่ตรงหน้าเธอทันที
"ผู้ช่วยเจิน คนไข้ส่งผักมาให้คุณอีกแล้วเหรอ"
เจินหลี่รีบโบกมือ "เปล่าๆ ผักนี่ฉันซื้อเองจากตลาดหน้าบ้านค่ะ"
หลังจากที่ได้บทเรียนจากหัวหน้าแผนกพยาบาลเมื่อครั้งก่อน ผู้ช่วยแพทย์จึงตัดสินใจฉลาดขึ้นมาบ้าง นั่นคือการนำผักเหล่านี้ไปให้หัวหน้าที่เคารพรักของเธอเพียงคนเดียว และจะไม่เปิดเผยแหล่งขายให้ใครมีโอกาสไหว้วานเธอซื้อทั้งนั้น!
แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอย่างไร แต่เมื่อเห็นพ่อครัวใหญ่กำลังหยิบผักขึ้นมาดมและดูอยู่ "ผู้ช่วยเจิน…ผมได้ยินมาว่าคุณยังไม่มีแฟนใช่ไหม ยังพักอยู่ในหออยู่เลยเหรอ โอ้โห ชีวิตสาวโสดมันก็แบบนี้แหละ คุณดูสิ ซื้อผักก็ไม่รู้จักประมาณตัว ซื้อมาตั้งเยอะแบบนี้ กินไม่หมดก็ต้องทิ้งไปเปล่าๆ"
ผู้ช่วยเจินหน้าแดงก่ำ เธอคงไม่สามารถพูดได้ว่าตั้งใจเอาไปแบ่งให้ ผอ.ต่างหากล่ะ!
เธอจึงไม่ยอมพูดอะไร พ่อครัวใหญ่ก็จัดการเองเสียเรียบร้อย "ผมได้ยินมาว่าวันนี้คณะกรรมการจากมณฑลใหญ่จะมา ผักโขมของคุณดูดีจัง เอาไปใส่โจ๊กหมูสับให้แขกดีไหม"
"เอ๊ะ! ผักกาดหอมก็ไม่เลวนะ ตุ๋นซุปคงจะอร่อย"
"โอ้โห ต้นหอมนี่สุดยอดเลย หอมมาก เอาไปผัดเนื้อดีกว่า"
"ส่วนผักโขม... ผมว่ามันน้อยเกินไป ทำเป็นกับข้าวจานเดียวคงจะดูน่าเกลียด เอาไปต้มเป็นโจ๊กผักรวมให้พวกคุณตอนเที่ยงไปเลยน่าจะเหมาะ"