บทที่ 30 เครื่องดูดควันแห่งโลกผู้บำเพ็ญเพียร!
เช้าวันถัดมา หลัวเฉินตื่นขึ้นตามธรรมชาติของร่างกายอย่างเคยชิน
เขารับรู้ถึงสภาพพลังภายในร่างกาย แล้วก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อคืนก่อนนอน เขาได้หมุนเวียนเคล็ดวิชาชังชุนเพื่อฟื้นฟูลมปราณ จากนั้นก็กลืนยาเสริมลมปราณไปหนึ่งเม็ด
ระดับการบำเพ็ญเพียรในขั้นฝึกลมปราณชั้นที่สี่ ขยับขึ้นมาเล็กน้อย จากจุดเริ่มต้นหนึ่ง ขยับขึ้นมาเป็นสอง
“สุดท้ายแล้ว นี่มันเหมือนแถบความก้าวน้าพลัง ไม่ใช่ระดับความชำนาญจริง ๆ”
หลัวเฉินยืนยันข้อสันนิษฐานของตัวเองอีกครั้ง อายุขัยและระดับการบำเพ็ญเพียรพลังจะแสดงเป็นแถบความก้าวหน้า
ส่วนเคล็ดวิชา คาถา และทักษะต่าง ๆ จะแสดงผลเป็นระดับความชำนาญ
“ถ้าเป็นแบบนี้ ข้ากลืนยาเสริมลมปราณทั้งห้าขวดที่ซื้อมานี้หมด ก็คงดันแถบความก้าวหน้าไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง”
แม้จะดูเหมือนขยับขึ้นช้า แต่ถ้าเข้าคู่กับเคล็ดวิชาชังชุนที่สมบูรณ์และเส้นลมปราณขั้นแรก แถบความก้าวหน้าน่าจะขยับขึ้นได้มากกว่านี้
เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วในการบำเพ็ญเพียรที่เหมือนเต่าคลานในก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้นับว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งใหญ่
หลัวเฉินคำนวณอยู่เล็กน้อย แล้วก็ไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีกต่อไป
เขาหยิบหางสุนัขเพลิงสี่สิบเส้นออกมาจากถุงเก็บของ แล้วก็เริ่มลงมือเตรียมการ
ส่วนวัตถุดิบอื่น ๆ เนื่องจากได้มาจากป๋ายเฉ่าถัง ทำให้เขาประหยัดเวลาในการเตรียมไปมากมาย มาถึงตอนนี้ขอแค่จัดการกับวัตถุดิบหลักอีกเล็กน้อย ก็สามารถเริ่มการหลอมยาเม็ดจงเหมี่ยวได้แล้ว
เวลา ก็คือหินวิญญาณ!
ได้เวลาลงมือแล้ว!
ประมาณยามเฉิน (ช่วงเวลาตีเจ็ดถึงเก้าโมงเช้า) พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้น หลัวเฉินก็เตรียมน้ำยาสมุนไพรเสร็จเรียบร้อย
จากนี้ก็เพียงแค่แช่หางสุนัขเพลิงในน้ำยา ทิ้งไว้สามวันสามคืน รอจนมันอ่อนนุ่มก็ใช้ได้
หลัวเฉินนำหางสุนัขเพลิงทีละเส้นใส่ลงไปในอ่างไม้ กลิ่นเหม็นฉุนก็ฟุ้งออกมาทันที
เขาสวมหน้ากากที่ทำขึ้นเอง และคอยกลับหางสุนัขเพลิงไปมาเป็นครั้งคราว
ขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดการหางสุนัขเพลิง ก็มีเสียงอาเจียนดังขึ้นจากนอกลานบ้าน
“อ๊อกก!”
“เหม็นอะไรขนาดนี้!”
จากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังเข้ามา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
หลัวเฉินเปิดประตูออก ก็เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างคุ้นเคยอยู่ตรงหน้า
“เจ้า...อ๊อกก!”
หญิงสาวหน้ากลมพูดได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกกลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากในห้อง ทำให้เธออาเจียนจนพูดต่อไม่ออก
เธอใช้มือข้างหนึ่งพยุงตัวที่ขอบประตู อีกมือชี้ไปที่หน้าต่างเพียงบานเดียวของห้อง
“รีบเปิด...อ๊อกก...ตึกหมอกควันพร่างพรายเร็ว...อ๊วก!”
หลัวเฉินรีบปล่อยพลังลมปราณออกไป กระตุ้นการทำงานของอาคมที่ซุนโส่วให้มา อุปกรณ์เวทนั้นก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ ขึ้นมาในทันที
พร้อมกันนั้น กลิ่นประหลาดภายในห้องก็ค่อย ๆ จางหายไป
ส่วนปลายของอุปกรณ์เวทตึกหมอกควันพร่างพรายเริ่มมีหยดน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากด้านนอกทีละน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวเฉินได้ใช้เจ้าสิ่งนี้ เขาเห็นปฏิกิริยาแล้วก็รู้สึกงงงวย
“นี่มันเครื่องดูดควันเวอร์ชั่นเซียนเหรอ?”
“เครื่องดูดควันอะไรกัน นี่คืออุปกรณ์ขจัดกลิ่นดูดควันระดับหนึ่งที่ถูกพัฒนาโดยนครเทียนฝาน”
หญิงสาวหน้ากลมพูดขึ้น จากนั้นก็จ้องมองหลัวเฉินด้วยความโกรธ “ทำอะไรอยู่แต่เช้าตรู่เนี่ย จะไม่ให้คนอื่นเขานอนกันเลยหรือไง? อ๊ะ! เป็นเจ้า!”
เธอพูดออกมา แล้วจ้องมองหลัวเฉินอย่างลังเล ในที่สุดก็รู้ตัวว่าเธอรู้จักอีกฝ่าย
หลัวเฉินมองใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มเครื่องสำอางของอีกฝ่ายก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาเช่นกัน
แล้วทันใดนั้นเขาก็จำได้
“เจ้าเป็นสาวน้อยไป๋เหมยหลิงจากป๋ายเฉ่าถังนี่นา!”
ไป๋เหมยหลิงขมวดจมูกเล็กน้อย “เจ้าคือหลัวใช่ไหม? เจ้าชื่ออะไรนะ?”
แม้จะดูตัวเล็กน่ารัก แต่ความจริงแล้วนางเป็นผู้บำเพ็ญตนในขั้นฝึกลมปราณชั้นที่เจ็ดที่แท้จริง
หลัวเฉินไม่ได้โกรธเคืองที่อีกฝ่ายพูดจาไม่เกรงใจ ยิ้มอย่างเป็นกันเองและตอบกลับว่า “ข้าคือหลัวเฉิน ขอคารวะท่านไป๋”
“ท่านอะไรกัน ข้าดูแก่ขนาดนั้นเลยหรือ?” ไป๋เหมยหลิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก “แล้วข้าถามเจ้าว่า แต่เช้าตรู่เจ้าทำอะไรอยู่? ไม่รู้หรือว่าที่ลานนี้ยังมีคนอื่นอาศัยอยู่ด้วย แบบนี้มันทำให้คนอื่นเขาร้องเรียนเจ้าเอาได้”
เหมือนจะมีเรื่องแบบนั้นจริง ๆ
ซุนโส่วที่ให้เช่าบ้านกับหลัวเฉินเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน
ค่าธรรมเนียมหนึ่งหินวิญญาณนั้นรวมถึงการจัดการปัญหาความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านด้วย
“ขอโทษ ข้าจะระวังให้มากขึ้น ในการปรุงยาครั้งต่อไป ข้าจะเปิดตึกหมอกควันพร่างพรายไว้ตลอด สาวน้อยไป๋ ครั้งนี้อย่าไปแจ้งเรื่องข้าเลยนะ!”
หลัวเฉินยิ้มขอโทษ เขาสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายดูไม่ถือสาเรื่องที่เขาเรียกเธอว่าสาวน้อยไป๋
แต่กลับรู้สึกว่าเรียก “ท่านไป๋” ดูจะทำให้เธอไม่สบายใจมากกว่า
“ฮึ!”
ไป๋เหมยหลิงส่งเสียงฮึดฮัดเบา ๆ เป็นการยอมให้เรื่องนี้ผ่านไป
ดวงตาของเธอเหลือบมองไปยังอ่างไม้ข้างเตา ก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นแปลก ๆ
“เจ้าใช้วัตถุดิบอะไรแช่อยู่ในนั้น?”
“เอ่อ เป็นความลับทางการค้าน่ะ บอกไม่ได้” นี่คือเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการปรุงยา ที่จะช่วยปลดปล่อยคุณสมบัติทางยาของหางสุนัขเพลิงออกมาได้สูงสุด
ยาเสริมพลังสำหรับผู้บำเพ็ญตนที่ขายอยู่ในท้องตลาด ทำไมราคาถึงแพงขนาดนั้น?
ก็เพราะวัตถุดิบมันแพงนั่นเอง
หลัวเฉินสามารถใช้หางสุนัขเพลิงที่ราคาถูกมาแทนได้ แต่พลังยาไม่ได้ด้อยไปกว่าเลย เคล็ดลับนั้นก็อยู่ที่วิธีการปรุงนี่แหละ
ความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้รับการตอบสนอง ไป๋เหมยหลิงก็เริ่มหงุดหงิด ดวงตาของเธอหมุนเล็กน้อย
“เจ้าเป็นนักปรุงยาใช่ไหม?”
“ข้าคิดว่าใช่!”
ยาพิ่กู่ซ่านพอจะนับว่าเป็นยาเม็ดได้ และยาเม็ดจงเหมี่ยวก็แน่นอนว่าใช่
หลัวเฉินจึงกล้าที่จะพูดว่าเขาคือนักปรุงยา
“แล้วเจ้ากำลังปรุงยาเม็ดอะไรอยู่?”
หลัวเฉินเริ่มปวดหัว ทำไมแค่ภายในวันเดียว ถึงมีผู้หญิงมาถามคำถามนี้ตั้งสองคน!
“พูดยาก หรือว่าไม่กล้าพูด?” ไป๋เหมยหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอย่าบอกนะว่ากำลังปรุงยาเม็ดสายมารอยู่ สำนักกระบี่ยุทธหยกติ่งเป็นสำนักสายธรรมะ ไม่อนุญาตให้ผู้บำเพ็ญตนปรุงยาเม็ดสายมารที่ขัดต่อหลักศีลธรรมเด็ดขาด!”
หลัวเฉินตึงเครียดขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ยาเม็ดสายมารซะหน่อย!”
ไป๋เหมยหลิงตอบกลับว่า “ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมเจ้าถึงพูดตะกุกตะกักแบบนั้น”
หลัวเฉินเริ่มสงสัยว่าเขาตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่มาเช่าห้องชุดสี่เหลี่ยมนี้
ไม่ใช่ว่าเขาหน้าบางไม่กล้าบอกว่ากำลังปรุงยาเม็ดอะไรอยู่
แต่ในตอนที่เขาตัดสินใจไป เขาก็ได้ทิ้งความละอายใจทั้งหมดไว้ข้างหลังไปแล้ว
ต่อหน้าผู้บำเพ็ญตนชาย เขาสามารถพูดได้อย่างมั่นใจ ปากกล้า และอ้างอิงตำรา
เพราะผู้บำเพ็ญตนชายคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเขา
แต่กับผู้บำเพ็ญตนหญิง?
มันก็ช่างน่าอึดอัดใจจริง ๆ
พูดออกไปก็มีแต่จะถูกดูหมิ่น ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
ผู้หญิงคนอื่นก็ไม่เท่าไร แต่ปัญหาคือกู่ฉายอี้และไป๋เหมยหลิงนั้น เป็นเพื่อนบ้านที่จะต้องอยู่ร่วมกันอย่างน้อยอีกสามเดือน
ใครกันจะอยากใช้ชีวิตสามเดือนแบบต้องเจอแต่อีกฝ่ายที่มองด้วยสายตาเหยียดหยามทุกวัน?
“ฮึ! ข้าเองก็พอเข้าใจเรื่องยาอยู่บ้าง ไม่ว่าเจ้ากำลังปรุงยาอะไรอยู่ พอเสร็จแล้วขายให้ข้าสักเม็ด หากเป็นยาเม็ดสายมาร ข้าจะเอาไปแจ้งกับสำนักกระบี่ยุทธหยกติ่งเพื่อรับรางวัลจากการแจ้งความ!”
“ข้าต้องไปทำงานแล้ว ลาก่อน!”
พูดจบ เธอก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป
หลัวเฉินเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่หน้าประตู มีหญิงสาวร่างใหญ่กำยำยืนรออยู่ ดูเหมือนจะรอไป๋เหมยหลิง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน่าจะเป็นเฟิงเซี่ย ผู้ที่พักอยู่ห้องข้าง ๆ และทำงานที่ป๋ายเฉ่าถังร่วมกับไป๋เหมยหลิง
มองสองผู้บำเพ็ญตนหญิงที่เร่งรีบไปทำงาน ไม่รู้ทำไมหลัวเฉินถึงรู้สึกคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
พวกเธอดูมีชีวิตชีวา ไม่เหมือนผู้บำเพ็ญตนคนอื่นในโลกนี้ แต่กลับดูคล้ายพนักงานออฟฟิศหญิงในโลกก่อนหน้านี้ของเขาเสียมากกว่า
บนใบหน้าของพวกเธอไม่มีความกระหายในการบำเพ็ญเพียร ไม่มีความดุร้ายโหดเหี้ยมของผู้บำเพ็ญตนในเขตนอกเมือง
สิ่งเดียวที่มีคือความสุขเรียบง่ายจากการได้ไปทำงานและกลับบ้านทุกวัน
แม้จะสนทนากับหลัวเฉิน ผู้บำเพ็ญตนในขั้นฝึกลมปราณชั้นที่สี่อย่างเขา พวกเธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีห่างเหิน แม้จะไม่สุภาพนัก แต่ก็ไม่มีความรู้สึกว่ากำลังแสดงอำนาจผ่านระดับการบำเพ็ญเพียร แค่พูดคุยเหมือนคนธรรมดาสองคนที่แลกเปลี่ยนความคิดกัน
ในหมู่คนธรรมดา เมื่อไม่มีความต้องการใด ๆ ต่อกัน แล้วใครกันจะต้องแสดงความเคารพให้กันเล่า
“น่าเสียดายที่ป๋ายเฉ่าถังและหลิงหยวนจ้ายพวกบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านี้ รับแต่ผู้บำเพ็ญตนหญิงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไปสมัครทำงานแล้วเหมือนกัน”
หลัวเฉินบ่นพึมพำ แล้วจึงกลับไปยุ่งอยู่กับการจัดการสมุนไพรต่อ
จบบท