บทที่ 30 ร่วมงานเลี้ยงตระกูลใหญ่
“คุณชายเจ๋อ เรื่องที่คุณสั่งผมจัดการเรียบร้อยแล้วครับ แต่ไอ้หนุ่มนั่นปากแข็งมาก ไม่ฟังอะไรเลย” หลังจากที่ชายร่างใหญ่เดินออกมาได้สักพัก เขาก็โทรศัพท์หาเจ้านายของตนเอง
เขาเป็นบอดี้การ์ดที่ตระกูลหลี่จ้างมา แน่นอนว่าเขาจะไม่กล้าทำอะไรโดยพลการ การที่เขาไปข่มขู่ฟางเสิ่นนั้นก็เพราะมีคนเบื้องหลังคอยบงการและให้สินบนเขา
ปลายสาย ฟางเจ๋อขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
วันนั้นฟางหางหยวนพูดเล่น ๆ ว่าเขาสนใจน้องสาวคนเล็กของหัวหน้าตระกูลหลี่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาพูดออกมาลอย ๆ หรือพูดจริง ยกเว้นแต่ฟางเจ๋อในฐานะผู้ช่วยคนสนิทที่ต้องเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
ฟางเจ๋อใช้ความพยายามสืบข้อมูลเกี่ยวกับน้องสาวคนเล็กของหัวหน้าตระกูลหลี่เพิ่มเติม เมื่อได้ข้อมูลมาก็ทำให้เขาตกใจมาก
น้องสาวคนเล็กของหัวหน้าตระกูลหลี่มีเรื่องทะเลาะกับครอบครัวจนออกจากบ้านด้วยความโกรธ และตอนนี้อาศัยอยู่ในบ้านพักเล็ก ๆ กับชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นเลย คือฟางเสิ่น ลูกหลานที่ถูกเฉดหัวออกจากตระกูลฟางในวันนั้นนั่นเอง
ไอ้หมอนี่ไปสนิทสนมกับคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลี่ได้อย่างไร?
ในใจฟางเจ๋อรู้สึกไม่สบายใจนัก เขารู้ดีว่าหากฟางหางหยวนรู้เรื่องนี้เข้า มีหวังได้เดือดดาลแน่นอน ลูกหลานตระกูลฟางที่ถูกขับออกไปกลับได้ใกล้ชิดกับคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลี่ขนาดนี้ มันคงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หลี่เหยียนไม่ใช่คนที่จะยอมสนิทสนมกับใครได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีใครได้ยินว่าเธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหนุ่มคนไหนในวงการมาก่อนเลย
ต้องหยุดพวกเขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของตระกูลฟางจะเสียหายมากเกินไป
ฟางเจ๋อจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จากนั้นจึงใช้เงินจำนวนมากซื้อตัวบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันหลี่เหยียนคนหนึ่ง ให้คอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวของทั้งสอง แต่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ฟางเสิ่นมักเก็บตัวอยู่บ้านและไม่ค่อยออกไปไหน พวกเขาจึงไม่มีโอกาสลงมือ
งานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลหลี่จะถูกจัดขึ้นเร็ว ๆ นี้ หลี่เหยียนในฐานะคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลี่ยังไม่ได้ส่งบัตรเชิญให้ใครเลย ยกเว้นเพียงคนเดียว คือฟางเสิ่น นั่นหมายความว่าในงานเลี้ยงนี้ หากฟางหางหยวนรู้เรื่องนี้เข้า เขาต้องโมโหจนแทบระเบิดแน่ ๆ และถึงแม้ว่าเรื่องนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น ฟางเจ๋อก็ยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้
“ห้ามให้เขาไปร่วมงานเลี้ยงเด็ดขาด” ฟางเจ๋อพูดเสียงเย็นชา พลางส่งคำสั่งไปยังชายร่างใหญ่ “นายพาคนไปสักกลุ่มหนึ่ง แล้วจัดการฟางเสิ่นให้ได้… เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งลงมือในบ้านพักนั่น รอจนเขาออกไปที่งานเลี้ยงก่อนแล้วค่อยจัดการ ถ้าจำเป็น จะใช้วิธีรุนแรงแค่ไหนก็ได้”
“ไม่ต้องห่วง จัดการเรื่องนี้ได้ ไม่มีใครจะยื่นมือมาช่วยลูกหลานที่ถูกขับออกจากตระกูลฟางหรอก คราวนี้ฉันจะโอนเงินมัดจำให้ก่อนครึ่งหนึ่ง พอเรื่องเรียบร้อยแล้วจะจ่ายที่เหลือ” ฟางเจ๋อพูดอย่างละเอียด จนแน่ใจว่าชายร่างใหญ่เข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาจึงวางสายด้วยความรู้สึกเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความอิจฉา
“เป็นลูกหลานสายตรงแล้วไง…”
….
เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปสองวัน
ก่อนออกจากบ้าน ฟางเสิ่นได้นำหินตรึงวิญญาณติดตัวไปด้วย พร้อมทั้งปล่อยพลังอาฆาตจำนวนมากออกมาจากมันจนกระจายปกคลุมทั่วทั้งบ้านพัก ตอนนี้หินตรึงวิญญาณไม่เหมือนกับเมื่อสองเดือนก่อนอีกแล้ว ทุกค่ำคืนมันดูดซับพลังอาฆาตเข้าไปมากมายจนสามารถกักเก็บพลังเหล่านี้ไว้ได้มาก เมื่อฟางเสิ่นปล่อยมันออกมา มันก็เพียงพอที่จะทำให้บ้านพักแห่งนี้กลายเป็นนรกบนดินชั่วคราว
หากมีใครกล้าบุกเข้ามา พวกเขาจะตกเข้าสู่ภาพหลอนอันไร้ที่สิ้นสุดทันที ทุกสิ่งที่อยู่ในจิตใจที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวจะปรากฏขึ้นมา ทำให้คนคิดว่ากำลังยืนอยู่ในขุมนรก หากเป็นคนที่จิตใจอ่อนแอ อาจจะเสียสติไปได้ในทันที
ต้องรู้ไว้ว่าสารสำคัญจากไม้คืนวัยส่วนใหญ่ถูกเก็บไว้ในบ้านพักแห่งนี้ ฟางเสิ่นไม่ต้องการให้โจรย่องเบาเข้ามาขโมยของเหล่านี้ไปตอนที่เขาไม่อยู่ คนที่ฟางเสิ่นรู้จักและคุ้นเคยกันก็จะไม่มาเยี่ยมเยียนโดยไม่บอกล่วงหน้าอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวว่าจะมีใครได้รับผลกระทบ ตอนนี้บ้านพักแห่งนี้เรียกได้ว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว
“เขาออกจากบ้านแล้ว” ในบ้านที่อยู่ติดกัน ชายร่างใหญ่ที่เคยนำบัตรเชิญมาให้ฟางเสิ่นขยับกำปั้นเบา ๆ บนพื้นข้างตัวเขามีชายอีกห้าคนนั่งอยู่ ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกน้องที่เขาหามาช่วยงาน
เมื่อหลี่เหยียนกลับไปแล้ว บอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันเธอก็ถูกถอนกำลังออกไป ชายร่างใหญ่จึงอ้างขอหยุดงานแล้วมาดักซุ่มรออยู่ที่บ้านพักแห่งนี้
“ทุกคนเข้าใจแผนแล้วใช่ไหม? อีกสักเดี๋ยว ไต้ปิง นายพาคนเข้าไปในบ้านพัก จัดการทำให้ข้างในเละเทะหน่อย ให้คนอื่นเห็นแล้วคิดว่าไอ้หมอนี่หนีความผิดไป ส่วนคนที่เหลือไปจัดการมันกับฉัน มีใครสงสัยอะไรอีกไหม?” ชายร่างใหญ่ถามพลางมองคนที่อยู่รอบตัว
“ลูกพี่ มันก็แค่ไอ้หมอนั่นเอง ทำไมพี่ต้องพาพวกเราไปตั้งสามคนด้วยล่ะ” ลูกน้องคนหนึ่งถามด้วยความสงสัย
“มันมีอะไรแปลก ๆ นิดหน่อย เรื่องนี้สำคัญมาก ยิ่งมีคนเยอะก็ยิ่งมั่นใจได้มากขึ้น” ชายร่างใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงเครียด เขานึกถึงการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของฟางเสิ่นก็รู้สึกสะท้านในใจ แต่เมื่อเขาล้วงมือไปสัมผัสกับกระเป๋าที่เต็มไปด้วยอาวุธข้างเอว ก็ทำให้เขามั่นใจขึ้นมาทันที
“ถึงตอนนั้นแค่ทำลายแขนขามัน แล้วดูซิว่ามันยังจะหยิ่งอยู่ได้อีกไหม ถ้ายังทำเป็นอวดดีอีก ก็จับมันโยนลงทะเลไปซะเลย” ดวงตาของชายร่างใหญ่เผยความโหดเหี้ยมออกมา
เขาเป็นคนที่เคยฆ่าคนมาแล้ว มือเขามีคดีฆ่าคนอยู่หลายศพ ฆ่าเพิ่มอีกสักศพจะเป็นอะไรไป เมื่อได้เงินจากตระกูลฟางแล้ว ชีวิตนี้เขาก็สุขสบายไปได้ทั้งชีวิต ไม่จำเป็นต้องมารับจ้างเป็นบอดี้การ์ดอีกต่อไป
“ไปกัน” ชายร่างใหญ่พูดพร้อมกับนำลูกน้องอีกสามคนเดินออกจากบ้านไป เมื่อเห็นฟางเสิ่นขึ้นรถแท็กซี่คันหน้า พวกเขาก็ขับรถตู้เก่า ๆ คันหนึ่งตามไปอย่างช้า ๆ
ตระกูลหลี่ครอบครองพื้นที่ภูเขาลูกหนึ่งในเขตชานเมืองของเมืองหมิงจู ซึ่งมีชื่อว่า “เขาชิงเสิน” และได้สร้างคฤหาสน์สุดหรูหราขึ้นบนภูเขานั้น งานเลี้ยงวันเกิดครั้งนี้จะจัดขึ้นในคฤหาสน์แห่งนั้น
ฟางเสิ่นเคยไปที่นั่นเมื่อตอนเด็ก ๆ เขาจึงคุ้นเคยกับเส้นทางนี้ดี เขาชี้ทางให้คนขับรถออกจากตัวเมืองหมิงจูและมุ่งหน้าไปยังเชิงเขาชิงเสิน แต่พอถึงจุดนี้ คนขับรถกลับไม่ยอมขับต่อขึ้นไป
ฟางเสิ่นไม่ได้ทำให้เรื่องยากขึ้น เขาจ่ายค่าโดยสารแล้วจึงลงจากรถและเดินขึ้นเขาเอง
บนเขาชิงเสินมีถนนสายหนึ่งที่ทอดยาวขึ้นไปยังยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหลี่ ฟางเสิ่นค่อย ๆ เดินไปตามถนนสายนี้ เป็นระยะก็จะมีรถหรูแล่นผ่านเขาไป บางครั้งก็มีคนที่มองมาด้วยสายตาประหลาดใจ โชคดีที่เป็นช่วงกลางคืนจึงไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของฟางเสิ่นได้ชัดเจน แต่ก็ไม่มีใครหยุดรถเพื่อรับเขาไปด้วยเช่นกัน สถานการณ์นี้ทำให้ฟางเสิ่นนึกอยากจะมีรถสักคันขึ้นมาอีกครั้ง
การไม่มีรถทำให้หลาย ๆ ครั้งเขารู้สึกไม่สะดวกเอามาก ๆ
ตอนนี้เขายังไม่มีเงินมากพอ เงินหลักแสนหยวนที่มีอยู่ต้องเก็บไว้สำหรับใช้ในการโปรโมทต่อไป แต่หลังจากที่เขาทำธุรกิจครั้งแรกได้สำเร็จแล้ว เขาคิดว่าน่าจะสามารถซื้อรถได้สักคัน
ที่เชิงเขา รถตู้เก่า ๆ คันหนึ่งค่อย ๆ แล่นเข้ามา
ท่ามกลางความมืด ฟางเสิ่นหันกลับมามองทันทีพร้อมกับส่งสายตาเย็นชาไปที่รถคันนั้น แล้วก็เห็นเงาคนสี่คนก้าวลงมาจากรถ จากนั้นก็เริ่มเดินตามเขาขึ้นไปตามถนนบนภูเขา
ฟางเสิ่นแสยะยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างเย็นชา
เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ารถคันนี้แอบตามเขามา เพียงแต่ยังไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้ต้องการอะไร จึงไม่สนใจ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นพวกเขาตามมาถึงเขาชิงเสินแล้ว ฟางเสิ่นก็เข้าใจทันที คนพวกนี้มาเพื่อตนอย่างแน่นอน อีกทั้งยังรู้เส้นทางและจุดหมายของเขา จึงตามมาอย่างไม่รีบร้อนและยังไม่ลงมือ
การจะลงมือในตัวเมืองหมิงจูนั้นไม่ง่าย แต่จากเขาชิงเสินขึ้นไปจนถึงคฤหาสน์ตระกูลหลี่ยังมีถนนบนภูเขาอีกยาวไกล ในเวลากลางคืนเช่นนี้ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คงไม่มีใครรู้ได้ทันที พวกเขาคงคิดจะจัดการกับเขาตรงนี้อย่างแน่นอน
ฟางเสิ่นเดินไปตามถนนบนภูเขาอย่างไม่รีบร้อน พอแน่ใจว่าทั้งสี่คนตามมา เขาก็เปลี่ยนเส้นทางทันที เขาเดินเลี้ยวออกจากถนนสายหลักแล้วเข้าไปในป่ามืดทึบของเขาชิงเสิน
จบบท