ตอนที่ 289 อมตะวิญญาณ (ฟรี)
ตอนที่ 289 อมตะวิญญาณ
เนื่องจากสวีฉางเซิง และลู่ซุนยืนอยู่ห่างไกล ยกเว้นรองหัวหน้ากองทั้งสามของกองดับอมตะ และลู่ไห่จึงไม่มีใครได้ยินการสนทนาระหว่างพวกเขาเลย
“ยังไงก็ตาม ข้ามีสิ่งที่อยากถามเจ้าอีกข้อ” ลู่ซุนมองไปที่สวีฉางเซิงแล้วจู่ๆ ก็ถามออกไป
“ผู้อาวุโสเชิญถาม ผู้น้อยจะตอบตามความจริงทุกอย่าง” สวีฉางเซิงพูดโดยไม่ลังเล
“ในเมื่อเจ้ายังไม่เป็นอมตะ ทำไมเจ้าถึงมีพลังของอมตะ?” จู่ๆ ลู่ซุน ก็ถามหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“ผู้อาวุโสจากสำนักเต๋าได้สร้างหนทางที่จะกลายเป็นอมตะโดยไม่ต้องรอประตูสวรรค์เปิดหรือเข้าสู่โลกอมตะเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของอมตะประเภทนี้เทียบไม่ได้กับอมตะจริงๆ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าอมตะเทียม” สวีฉางเซิงไม่ได้ปิดบังอะไรจากลู่ซุน และได้เปิดเผยเรื่องสำคัญดังกล่าวต่อคนอื่นๆด้วย
นี่เป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักเต๋า และยังเป็นเหตุผลหนึ่งว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถยืนอยู่เหนือกว่าใครๆ ในโลกปาหวงได้
“โอ้? วิธีการนั้นทำยังไง” ดวงตาของลู่ซุนฉายชัดด้วยความประหลาดใจ และเขาก็ถามสวีฉางเซิง
แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ตราบใดที่คิดหาวิธี ปัญหาทั้งหมดก็สามารถแก้ไขได้
“เนื่องจากประตูสวรรค์ปิดอยู่จึงไม่อาจใช้วิธีดั้งเดิมได้ ผู้ฝึกยุทธ์จึงไม่มีทางได้รับกายอมตะ อย่างไรก็ตาม หากได้ดวงวิญญาณผ่านการขัดเกลานับร้อยนับพันครั้ง มันก็จะยังมีโอกาสที่จะรุดหน้า” สวีฉางเซิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดขึ้น
นี่เป็นอีกหนทางหนึ่งในการเป็นอมตะที่สำนักเต๋าคิดไว้เมื่อหลายปีก่อน
น่าเสียดายที่เพราะเขาไม่มีกายอมตะ และมีเพียงจิตอมตะ พวกเขาจึงไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวเทียบกับอมตะจริงๆ ได้ และอายุขัยของพวกเขาแค่เพียงไม่กี่หมื่นปีเท่านั้น
นั้นทำให้เมื่อใกล้สิ้นอายุขัย พวกเขาเลือกที่จะครอบครองศพของศิษย์ที่มีพรสวรรค์บางคนเพื่อยืดอายุขัย
พลังวิญญาณของพวกเขามีมากมายมหาศาล น่ากลัวยิ่งกว่าอมตะจริงๆ เสียอีก!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าบรรพบุรุษ ความแข็งแกร่งของพวกเขายิ่งน่ากลัวยิ่งขึ้น พวกเขาละทิ้งกายหยาบโดยสิ้นเชิง กลายเป็นอมตะวิญญาณ และมุ่งความสนใจไปที่การขัดเกลาดวงวิญญาณของตัวเอง เพื่อให้วิญญาณของพวกเขาแกร่งกล้ายิ่งขึ้น
ตัวตนเหล่านี้ถือเป็นรากฐานที่แท้จริงของสำนักเต๋า และทุกคนนั้นมีพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งพอที่จะสังหารอมตะธรรมดาได้ในไม่กี่กระบวนท่า
“อมตะวิญญาณ?” หลังจากที่ลู่ซุนได้ยินคำอธิบายของสวีฉางเซิง เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดด้วยความประหลาดใจ
ในโลกปาหวงก่อนหน้านี้ ไม่มีแนวคิดเรื่องความเป็นอมตะวิญญาณ แต่เขาเคยเห็นมันในตำนานบางอย่างในชาติก่อน
หากสามารถก้าวข้ามทัณฑ์อัสนีที่น่าสะพรึงกลัวได้ก็จะกลายเป็นอมตะ หากไม่อาจก้าวข้าม ทั้งกายหยาบ และดวงวิญญาณก็จะแตกสลาย นี่คือความโหดร้ายของโลกปาหวง
แต่ตอนนี้ประตูสวรรค์ปิดอยู่ แม้ว่าคนเหล่านั้นจะก้าวข้ามทัณฑ์อัสนีได้ พวกเขาก็ไม่สามารถทะลวงผ่านเป็นอมตะได้
ในท้ายที่สุด จุดจบของพวกเขาก็จะมีสองทาง หนึ่งคือตาย หรือละทิ้งร่างกายของตน หลบหนีออกไปยังความว่างเปล่า และสุดท้ายก็อาศัยอยู่นอกโลกปาหวง
แต่ตอนนี้การปรากฏตัวของอมตะวิญญาณสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งสองนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ในที่สุดผู้ฝึกยุทธ์ก็มีทางเลือกใหม่ทางนอกเหนือจากทางเลือกแรก!
ขัดเกลาดวงวิญญาณ เพื่อให้ได้รับจิตอมตะและกลายเป็นอมตะเทียมในโลกมนุษย์ จากนั้นเมื่อใกล้สิ้นอายุขัยก็สามารถละทั้งกายหยาบเป็นอมตะวิญญาณได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจะสามารถมีชีวิตยืนยาวในโลกปาหวง และไม่ต้องกังวลกับความตายอีก
“เจ้ากลายเป็นอมตะวิญญาณหรือเปล่า?” ลู่ซุนมองไปที่สวีฉางเซิงสักพักหนึ่งแล้วถามออกมาดัง ๆ เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเขามีเนื้อและเลือด ไม่เหมือนอมตะที่ไร้ร่าง
“ข้าเริ่มฝึกฝนวิถีอมตะเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้ข้าถูกมองว่าเป็นอมตะเทียม และด้วยวิชาชะตาอมตะของข้า อายุขัยหาใช่ปัญหา ข้าจึงไม่เลือกที่จะกลายเป็นอมตะวิญญาณ” ความดูถูกฉายชัดในดวงตาของสวีฉางเซิง แม้ว่าเขาจะขัดเกลาดวงวิญญาณด้วย แต่จริงๆ แล้วเขาดูถูกอมตะที่ละทิ้งร่างกายของตนเหล่านั้น
แน่นอนเขาแค่พูดให้ดูดี ถ้าเป็นเหมือนคนพวกนั้นที่จะใกล้จะตายเมื่อไรก็ได้เขาคงจะเลือกหนทางนั้นเหมือนกัน
แต่ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ด้วยพลังทางสายเลือดจากบรรพบุรุษ และวิชาที่เขาฝึกฝน เขามีอายุขัยยืนยาวกว่าคนอื่นๆ มาก จึงยังไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องที่ยังไม่มาถึง
“ภายในอีกไม่กี่ปี ประตูสวรรค์จะถูกเปิดออก” ลู่ซุนพูดกับสวีฉางเซิง
“อะไรนะ?” หลังจากที่สวีฉางเซิง ได้ยินคำพูดของลู่ซุน เขาก็ตกใจ และรีบถามเพื่อยืนยันความถูกต้องของข่าวนี้
ประตูสวรรค์ถูกปิดมาเป็นเวลาแสนปี แล้วตอนนี้จะเปิดอีกครั้งได้อย่างไร?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายคนหวังว่าประตูสวรรค์จะเปิดอีกครั้ง แต่เวลาก็ผ่านไปถึงหนึ่งแสนปี และคนเหล่านั้นก็กลายเป็นกระดูก และฝุ่นผงจากการรอคอยอันยาวนาน
หากไม่สิ้นหวังจริงๆ คงจะไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าอมตะเทียม และอมตะวิญญาณเกิดขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว ในสำนักเต๋า การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตและความตายเป็นสิ่งต้องห้าม ผู้ที่เลือกเดินบนวิถีแห่งอมตะวิญญาณได้รับการพิจารณาว่านอกรีต และถูกสำนักเต๋าปฏิเสธและรังเกียจ
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เมื่อปรมาจารย์เต๋าก็ใกล้ถึงจุดจบของชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินบนเส้นทางนี้ที่พวกเขาเคยรังเกียจ แต่ก็ไม่ได้ประสบชะตาชีวิตแบบเดียวกันกับผู้คนก่อนหน้าที่ถูกดูหมิ่น
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนหัวแข็งบางคนในสำนักเต๋าที่รู้สึกว่าวิถีแห่งอมตะวิญญาณนั้นเป็นหนทางที่ชั่วร้าย
พวกเขาอยากจะเฝ้าดูอายุขัยของตนค่อยๆ หมดลง และหวนคืนสู่โลก ดีกว่าเป็นอมตะวิญญาณที่ไร้ร่างกาย
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเต๋าคือใคร? ความแข็งแกร่งของเขาโดยประมาณคือเท่าใด?” ลู่ซุนถามสวีฉางเซิงหลังจากเงียบไปสักพัก
“มันควรจะเป็นบรรพบุรุษของหยวนเซินเต๋า เขาเป็นศิษย์สายตรงของบรรพบุรุษที่บุกเบิกวิถีแห่งอมตะวิญญาณ ว่ากันว่าเขารอดชีวิตจากทัณฑ์อัสนีมาแล้วทั้งหมด 17 ครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มีข่าวลือว่าแค่มองก็สามารถสังหารอมตะได้” หลังจากที่สวีฉางเซิงคิดอย่างรอบคอบอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดกับลู่ซุนด้วยความตกตะลึงในดวงตา
ระดับพลังยุทธ์ของสวีฉางเซิงควรเทียบเท่ากับอมตะวิญญาณขั้นสอง แต่เพียงเท่านี้ เขาก็แข็งแกร่งพอที่จะสามารถบดขยี้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตมหายานได้อย่างง่ายดาย
สำหรับอมตะวิญญาณขั้นสิบเจ็ด ต้องแข็งแกร่งแค่ไหน?
เป็นเรื่องที่จินตนาการไม่ถึงจริงๆ สำหรับสวีฉางเซิง มีการประเมินว่าแม้ในโลกอมตะ อีกฝ่ายก็ควรจะเป็นหนึ่งในยอดฝีมือชั้นนำ!
ท้ายที่สุด ทุกครั้งที่ก้าวข้ามทัณฑ์อัสนีได้ ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อเวลาผ่านไป ทัณฑ์อัสนีก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีผู้รอดชีวิตมาได้น้อยลงเรื่อยๆ
“อมตะวิญญาณขั้นสิบเจ็ด?” ลู่ซุนยิ้มเล็กน้อย รู้สึกตื่นเต้นมากในใจ