บทที่ 59: องค์หญิงใหญ่ถูกปลด
ในตำหนักเย่าเจิ้ง เทียนภายในถูกจุดจนสว่างไสว
ตำหนักที่ถูกตกแต่งอย่างงดงามนั้นมีผู้คนคุกเข่าอยู่ภายในมากมาย แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัดและความกดดันก็แผ่ไปทั่ว
มู่เทียนฉงกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าของเขามืดมนจนทำให้คนที่พบเห็นแทบจะหลั่งน้ำตา
ขณะนี้ดวงตาเย็นชาของเขากำลังกวาดมองไปที่มู่เชียน ตลอดไปจนถึงนายน้อยหลัวผู้ซึ่งหวาดกลัวมากจนไม่อาจคุกเข่าได้
“ฝ่าบาท นี่คือทั้งหมดที่เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ยืดหลังขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้พยานกำลังถูกคุมตัวอยู่ในคุกหลวง ฝ่าบาทสามารถสอบปากคำได้ตลอดเวลา”
“นายน้อยหลัวผู้นี้ยอมรับทันทีว่าหลังจากองค์หญิงใหญ่ร่วมมือกับเขา ก็มีฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ล่อให้องค์หญิงหกไปที่สวนด้านหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งทำหน้าที่ผลักองค์หญิงตกน้ำ”
“เพียงแต่มีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นทำให้จู่ ๆ องค์หญิงหกปลีกตัวออกไป ดังนั้นคนที่ถูกผลักตกน้ำก็คือหลัวเซียวเซียว”
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่ได้ทำอย่างที่เขาพูดนะเพคะ!” หลังจากมู่เชียนได้ยินคำพูดที่น่าตกใจของผู้บัญชาการ ในที่สุดนางก็ทนไม่ไหวที่จะออกมาพูดปฏิเสธ
เด็กหญิงคลานเข่าไปข้างหน้าและมองดูมู่เทียนฉงด้วยสายตาอ้อนวอน “ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาลูกได้คิดทบทวนความผิดตัวเอง และลูกก็ตาสว่างแล้ว เช่นนี้ลูกจะไปทำร้ายน้องหกได้อย่างไร”
“ยิ่งไปกว่านั้น ลูกยังได้ขอโทษน้องหกต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยงเมื่อวานนี้ด้วย”
“ถ้าเสด็จพ่อไม่เชื่อ พระองค์สามารถส่งคนไปสอบสวนเรื่องนี้ได้เลยเพคะ”
“เสด็จพ่อ ได้โปรดเชื่อใจลูกสักครั้งเถิด เสด็จพ่อ…”
มู่เชียนร้องขอความเมตตาเสียงดังเพราะความตื่นตระหนก
นางไม่คิดมาก่อนเลยว่านายน้อยหลัวจะถูกจับได้รวดเร็วขนาดนี้ และอีกฝ่ายก็ขี้ขลาดถึงขั้นสารภาพความผิดทั้งหมดออกไปโดยตรง
“ฝ่าบาท เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดพ่ะย่ะค่ะ!” เจียงเช่อที่คุกเข่าอยู่นานก็รีบคลานออกมาพูดเช่นกัน “มันคงจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหากจะลงโทษองค์หญิงใหญ่เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเด็กอย่างนายน้อยหลัวผู้นี้..”
“ท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านคิดว่าศาลต้าหลี่ของเราจัดการคดีนี้อย่างไม่เหมาะสมเช่นนั้นหรือ?” ผู้บัญชาการพูดขัดจังหวะอย่างไม่พอใจ
เจียงเช่อตัวแข็งทื่อไปทันที เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องทราบดีว่าศาลต้าหลี่นั้นมักจะจัดการคดีต่าง ๆ อย่างเข้มงวดเสมอมา
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่มีทางเลือก หากมู่เชียนถูกตัดสินลงโทษอีกครั้ง นางคงไม่อาจหลบหนีความตายไปได้
“นั่นไม่ใช่ความหมายที่ข้าต้องการจะสื่ออย่างแน่นอน” เจียงเช่อกัดฟันแล้วตัดสินใจพูดออกมา “ข้าแค่เชื่อว่าหลังจากสอบสวนเพียงแค่วันเดียว มันอาจจะเร็วเกินไปที่ผู้บัญชาการจะค้นพบความจริง”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงขององค์หญิงใหญ่ และความเป็นความตายขององค์หญิงหก เรายิ่งควรระมัดระวัง”
“ฝ่าบาท ตามความเห็นของกระหม่อม เราควรจะควบคุมตัวนายน้อยหลัวเอาไว้ก่อน..”
มู่เทียนฉงส่งเสียงเยาะเย้ยขัดจังหวะ ในขณะที่ใบหน้าหล่อเหลาของเขายิ่งเย็นชามากขึ้น “แล้วรอให้นายน้อยหลัวตาย คราวนี้พยานและหลักฐานทั้งหมดก็จะหายไปใช่หรือไม่?”
อัครมหาเสนาบดีตัวสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ ซึ่งเขาก็มีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัว
แต่เรื่องแบบนี้จะรอดพ้นสายตาของบิดาแห่งแผ่นดินไปได้อย่างไร
“หลักฐานเป็นที่ประจักษ์แล้ว” มู่เทียนฉงยืนขึ้นแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินลงจากบัลลังก์มาหยุดอยู่ต่อหน้าเจียงเช่อ “ใต้เท้าเจียง เราเคยเตือนท่านแล้วว่าหากมู่เชียนก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกครั้ง เราจะไม่ปรานีอีก”
“เสด็จพ่อ!” ในขณะนี้องค์หญิงใหญ่ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและตื่นตระหนกมาก
อย่างไรก็ตาม มู่เทียนฉงไม่เคยชายตามองนางเลยตั้งแต่ก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งอย่างไม่แยแส
“ถึงจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หากฝ่าฝืนกฎหมายก็ต้องได้รับโทษแบบเดียวกับคนทั่วไป มู่เชียนมีความผิด ทหาร นำตัวองค์หญิงใหญ่ไป และมอบนางให้ศาลต้าหลี่จัดการตามกฎหมาย”
ในแคว้นเป่ยหลง การฆ่าผู้อื่นถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง นี่ยังไม่ได้นับรวมถึงว่านางตั้งใจจะฆ่าพี่น้องของตัวเองเป็นครั้งที่ 2 อีก!
หลังจากได้ยินประกาศก้อง มู่เชียนกับเจียงเช่อก็หัวสมองว่างเปล่า
จนกระทั่งองครักษ์เข้ามาดึงตัวเด็กหญิงออกไป อัครมหาเสนาบดีก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท โปรดละเว้นองค์หญิงใหญ่ด้วย พระนาง..” ชายหนุ่มเปล่งเสียงร้องขอความเมตตาอย่างสิ้นหวัง
“นางทำไมหรือ?” มู่เทียนฉงถามขึ้นเสียงเย็น
เขาพยายามเก็บกดความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้ แต่มันก็ยังคงหลุดออกมาตามน้ำเสียงบ่งบอกให้รู้ว่าคนพูดกำลังพยายามระงับอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่แล้ว “นางเป็นบุตรสาวของเราเช่นนั้นหรือ? แล้วแม่ของนางก็ตายไปตั้งแต่ยังเด็ก”
“เสด็จพ่อ ได้โปรดไว้ชีวิตลูกด้วย” มู่เชียนไม่ยอมแพ้ นางรีบคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก พร้อมกับสะบัดองครักษ์ที่พยายามจับตัวนางออกไปเต็มที่
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าผู้เป็นพ่อไม่สนใจตนเลย นางก็ทำได้เพียงหันไปหาเจียงเช่อ “ท่านลุง ช่วยข้าด้วย ข้ายังไม่อยากตาย! ข้ายังไม่อยากตาย!”
ในตอนนี้เสด็จพ่อไม่ต้องการนางอีกต่อไป นอกจากเจียงเช่อแล้ว นางก็ไม่เหลือใครให้พึ่งพาอีก
มู่เชียนทั้งไม่พอใจและไม่ยินยอม แต่นางไม่ได้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำไปเลย
นางแค่เกลียดนายน้อยผู้โง่เขลาแห่งตระกูลหลัวที่ผลักคนผิดแทนที่จะเป็นมู่ไป๋ไป่ที่ต้องจมน้ำตาย
“ฝ่าบาท!” เจียงเช่อไม่สังเกตเห็นหลานสาวที่พยายามคลานมาขอร้องเขา และคลานเข่าไปข้างหน้าเพื่อปกป้องนางไว้ด้านหลัง
จากนั้นเขาก็หลับตาลงพร้อมกับถอดหมวกขุนนางบนศีรษะออกด้วยมือที่สั่นเทา
ก่อนที่เขาจะหมอบคำนับอยู่บนพื้นแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นขุนนางมา 15 ปีแล้ว กระหม่อมพยายามต่อสู้อยู่ทุกวัน กระหม่อมทุ่มเททุกอย่างทั้งหัวใจเพื่อเป่ยหลง”
“ตอนนี้องค์หญิงใหญ่ได้ทำผิดอย่างใหญ่หลวง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกระหม่อมไม่อบรมดูแลพระนางให้ดี กระหม่อมก็ควรต้องรับผิดชอบ”
“ขอพระองค์ทรงลงโทษกระหม่อมแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ปัง! มู่เทียนฉงตบฝ่ามือลงบนโต๊ะเต็มแรง
แรงตบนั้นทำให้กระดานไม้หนา ๆ แทบจะถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน
แล้วทุกคนในห้องโถงก็รีบคุกเข่าลงไม่มีใครกล้าหายใจ
“ฝ่าบาท ได้โปรดทรงลงโทษกระหม่อมเถิด”
เจียงเช่อไม่กล้ามองหน้ามู่เทียนฉง เขาถอดหมวกขุนนางของตัวเองออกและตั้งใจจะรับความตายนี้เอง
แม้ว่าเขาจะต้องแลกมาด้วยชีวิต เขาจะต้องปกป้องมู่เชียนเอาไว้ให้ได้ เพราะนี่เป็นคำมั่นสัญญาที่เขาให้กับน้องสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว
อีกทั้งนี่ยังเป็นศักดิ์ศรีของตระกูลเจียง
ปัจจุบันภายในตำหนักเย่าเจิ้งเกิดความเงียบสงัด ในขณะที่มู่เชียนกำลังรอคอยคำตอบของเสด็จพ่อ ซึ่งเป็นคำตอบที่ตัดสินความเป็นความตายของนางเอง
“ดี! ดีจริง ๆ” มู่เทียนฉงหัวเราะด้วยความโกรธ “ในเมื่อท่านยอมแลกหมวกขุนนางกับเรื่องนี้ มันคงจะใจร้ายเกินไปหากเราไม่เห็นด้วย”
เมื่ออัครมหาเสนาบดีรู้ว่าฮ่องเต้หนุ่มกำลังพูดประชดประชัน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก เขาทำเพียงแค่ก้มศีรษะต่ำลงเท่านั้น
“ไม่จำเป็นต้องส่งตัวมู่เชียนไปที่ศาลต้าหลี่แล้ว”
คำพูดนั้นทำให้เจียงเช่อและมู่เชียนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ
จากนั้นมู่เทียนฉงก็กล่าวเสียงเยือกเย็น “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป มู่เชียนจะถูกขับไล่ออกจากวังหลวง ถูกปลดออกจากตำแหน่งองค์หญิงเป็นสามัญชน ในเมื่อท่านต้องการจะปกป้องนาง ก็ให้ท่านพานางกลับไปอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดีในฐานะบุตรสาวของท่าน”
ถ้อยคำที่เอ่ยจากปากบิดาของแผ่นดินนั้นบาดใจคนฟังจนขาดสะบั้น
พากลับไปอยู่ที่จวนอัครมหาเสนาบดี…
ในฐานะลูกสาว…
หลังจากมู่เชียนทบทวนคำพูดของผู้เป็นพ่อแล้ว ใบหน้าของนางก็ถอดสี
“ไม่! เสด็จพ่อ! เสด็จพ่อ! ไม่ได้นะ เสด็จพ่อ!”
มู่เทียนฉงแค่นเสียงในลำคอ ในขณะที่มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น
“หากไม่มีราชโองการจากเรา นางจะไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีไปตลอดชีวิต”
ความนัยของคำพูดนี้ก็คือนางจะถูกจองจำอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีไปตลอดชีวิต แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรักษาชีวิตของนางเอาไว้ได้
เจียงเช่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา”
ตราบใดที่นางยังมีชีวิตอยู่ มันย่อมมีหนทางเสมอ
อย่างไรก็ตาม มู่เชียนกลับมีความคิดที่แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
หลังจากเด็กหญิงได้ยินคำประกาศของมู่เทียนฉงว่านางจะไม่สามารถก้าวออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีไปตลอดชีวิต นางก็หลั่งน้ำตา
“เสด็จพ่อ ได้โปรด เชียนเชียนผิดไปแล้ว ได้โปรดอย่าขับไล่เชียนเชียนออกจากวังเลยเพคะ” นางยังคงร้องขอความเมตตาต่อไป
“เชียนเชียนจะไปขอโทษมู่ไป๋ไป่ พระองค์จะกักบริเวณเชียนเชียน 1 ปี 2 ปี หรือ 10 ปีก็ได้ ขอแค่อย่าได้ขับไล่เชียนเชียนออกจากวังหลวงเลยเพคะ”
เพราะวังหลวงแห่งนี้คือบ้านของนาง หากนางถูกขับไล่ออกไป นางก็จะไม่เหลือบ้านเป็นของตัวเองอีก
“มู่เชียน เจ้าอย่าได้เรียกเราว่าพ่ออีก เราไม่มีลูกสาวอย่างเจ้า!” มู่เทียนฉงหันหลังกลับอย่างเฉยเมยก่อนจะพูดว่า “เจียงเช่อ พาตัวนางออกไป”
คราวนี้ไม่ว่ามู่เชียนจะร้องไห้หนักเพียงใด สุดท้ายแล้วนางก็ถูกท่านลุงพาตัวออกจากวังหลวงไป
ปัจจุบันเหลือเพียงนายน้อยหลัวที่กำลังตกใจกลัวกับลี่เฟยที่ดูไม่พอใจมากเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนัก
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นะเพคะ” ลี่เฟยกัดฟันและตัดสินใจเอ่ยปากออกมา “หากข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ผู้บัญชาการกล่าว หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรจะโต้แย้งอีก”
“ท่านอา!” นายน้อยหลัวเคยเห็นลี่เฟยแสดงต่อหน้าตนมาก่อน แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกแย่กับการกระทำของนาง “ท่านไม่ได้บอกว่าจะปกป้องข้าอย่างนั้นหรือ?”