บทที่ 41 เทียนซือออกจากการปิดด่าน
ปลาไฟหยางสุ่ยตัวนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นจริงและความเสมือนนอกจากจะบำรุงแท่นพลังและร่างกายของเล่ยจวินแล้วยังส่งผลต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย
หากมีปลาน้ำหยินสุ่ยซึ่งเป็นคู่ตรงข้ามกับมัน และเมื่อหยินและหยางรวมกัน จะสามารถช่วยเพิ่มพูนความเข้าใจของผู้ฝึกตนได้หรือไม่?
จากนี้ไปเขาต้องคอยสืบหาข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้
เล่ยจวินเกิดความสนใจแม้จะยังไม่มีเบาะแสใดๆในตอนนี้แต่เขาก็ไม่เร่งรีบอาศัยปลาไฟหยางสุ่ยและหินหมึกเขียวช่วยฝึกฝนตนเองไปก่อน
จนกระทั่งเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกวนใจเขาอย่างกะทันหัน
และไม่เพียงแค่เล่ยจวินที่ถูกรบกวน แต่ทั้งสำนักเทียนซือต่างก็สั่นสะเทือน
เพราะว่า...ท่านเทียนซือผู้ปิดด่านฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ออกจากการปิดด่านแล้ว
วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก
แต่รอบๆภูเขาหลงหูกลับมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่น
แสงสายฟ้าสาดส่องจากยอดเขาพุ่งขึ้นฟ้าเป็นเสาแสงขนาดใหญ่สว่างไสวไปทั่วสารทิศ
เล่ยจวินและศิษย์สำนักเทียนซือคนอื่นๆได้ยินเสียงคำรามของมังกรและเสือผสมผสานกัน
สักพักเสียงฟ้าร้องค่อยๆ สงบลงแต่แสงสายฟ้าบนยอดเขากลับยังคงส่องสว่างอยู่อย่างยาวนาน
“ท่านอาจารยเทียนซือออกจากการปิดด่านแล้ว”
เล่ยจวินและหวังกุยหยวนมองไปทางยอดเขาด้วยกัน
เสียงของหยวนโม่ไป๋อาจารย์ของเขาดังขึ้นอย่างนุ่มนวลจากด้านข้าง
“ตามข้าไปที่ตำหนักเทียนซือ”
เล่ยจวินและหวังกุยหยวนจึงรีบตามอาจารย์ของตนไปทันที
เมื่อมาถึงที่หมาย พวกเขาเห็นเหล่าผู้อาวุโสและศิษย์หลักของสำนักที่อยู่ในภูเขามารวมตัวกันเกือบทั้งหมด
หยวนโม่ไป๋พยักหน้าให้ลูกศิษย์ทั้งสองก่อนเดินออกไปข้างหน้า
เขายืนอยู่แถวหน้าร่วมกับผู้อาวุโสคนอื่นๆที่สวมเสื้อคลุมสีม่วง
ผู้อาวุโสหลี่ซงผู้เป็นลุงของเทียนซือคนปัจจุบัน
หลี่หงอวี่สตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเทียนซือและเป็นอาจารย์ลำดับที่สองของเล่ยจวิน
หลี่จื่อหยางผู้เป็นน้องชายแท้ๆ ของเทียนซือและเป็นอาจารย์ลำดับที่สามของเขา
ผู้อาวุโสเหยาหยางอาจารย์ลำดับที่สี่
และผู้อาวุโสซั่งกวนหนิงอาจารย์ลำดับที่ห้า
รวมถึงหยวนโม่ไป๋และหลี่เจิ้งเสวียนศิษย์เอกล้วนอยู่ที่นั่นรวมทั้งหมดเจ็ดคน
นอกจากศิษย์พี่ใหญ่สวี่หยวนเจินที่ยังไม่กลับจากการเดินทางไกล ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักเทียนซือต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ทั้งหมด
ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงนี้ได้รับการขนานนามว่า "ผู้บำเพ็ญผู้ทรงคุณวุฒิ" ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังการฝึกฝนหรือสถานะพวกเขาล้วนมีอำนาจเหนือกว่าผู้อาวุโสคนอื่นๆ
เบื้องหลังพวกเขาคือกลุ่มของศิษย์ระดับสูงที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มและศิษย์ระดับกลางอย่างเล่ยจวินที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองอ่อน
ไม่นานนักท่านเทียนซือคนปัจจุบันหลี่ชิงเฟิง สวมเสื้อคลุมเก้าสี เดินขึ้นไปยังแท่นบูชาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
“ข้าหมกมุ่นอยู่กับการฝึกตนจนลืมเวลาขอบคุณท่านลุงและทุกท่านที่ช่วยดูแลในช่วงที่ผ่านมา”
หลังจากที่ทุกคนทำความเคารพท่านเทียนซือก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม เสียงของเขาสดใสแจ่มใส
ผู้อาวุโสหลี่ซงกล่าวขึ้นก่อน “ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าสำนักที่ฝึกฝนจนสำเร็จและออกจากการปิดด่าน”
ผู้อาวุโสหลี่หงอวี่ทำความเคารพในตอนแรก แต่จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีกเพียงแค่ยืนอยู่เงียบๆ
ผู้อาวุโสหลี่จื่อหยางก้มศีรษะลงพูดว่า
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าและพี่น้องต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของสำนักต้องมัวหมอง แม้จะมีมรสุมบ้างแต่ก็ยังถือว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักออกจากการปิดด่านอย่างสำเร็จ ทำให้สำนักของเรากลับมาเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”
“พลังแห่งฟ้าดินกำลังทวีขึ้น นี่เป็นสัญญาณของยุคทองแห่งการฝึกตน คนรุ่นใหม่จะเป็นผู้สืบทอดความยิ่งใหญ่ของสำนักเทียนซือในอนาคต” เทียนซือกล่าวพร้อมรอยยิ้มมองไปยังศิษย์รุ่นเยาว์
ผู้อาวุโสหลี่จื่อหยางยิ้มและพูดว่า
“ในช่วงที่ท่านปิดด่านสำนักของเราได้รับศิษย์ฝีมือดีจำนวนมาก”
เขาหันหลังและส่งสัญญาณให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ รวมถึงเล่ยจวินออกมาข้างหน้า
ท่านเทียนซือได้ปิดด่านไปเป็นเวลากว่าสิบปี ในช่วงนั้นมีการจัดพิธีบรรพชาศิษย์ใหม่ทั้งหมดสี่ครั้ง
ศิษย์ใหม่ทั้งสี่รุ่นที่ยังคงอยู่บนภูเขาในตอนนี้ต่างก็เรียงแถวกันออกมาและทำความเคารพต่อท่านเทียนซือ
เล่ยจวินไม่เคยพบกับหลี่ชิงเฟิงเทียนซือคนปัจจุบันมาก่อน นอกจากเคยเห็นภาพวาดของเขา
เมื่อมองดูตัวจริงแล้วก็พบว่าท่านดูไม่ต่างจากภาพวาดเลยแม้แต่น้อย แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วแต่รูปลักษณ์ของท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
เทียนซือดูเหมือนชายวัยสี่สิบปี มีหนวดเครายาวสามเส้นใบหน้าสง่างามดูมีอำนาจและสงบเสงี่ยม
เขากล่าวให้กำลังใจศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยถ้อยคำที่อบอุ่นทำให้เหล่าศิษย์ตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
หลังจากนั้นศิษย์รุ่นเยาว์อย่างเล่ยจวินก็ถูกส่งตัวออกไป เหลือเพียงเหล่าผู้อาวุโสทั้งเจ็ดและกลุ่มศิษย์ระดับสูงเท่านั้นที่ยังคงอยู่
“ไม่เห็นศิษย์พี่น้อยเลยนะ?”
เมื่อออกมาข้างนอกแล้วเล่ยจวินจึงถามหวังกุยหยวน
หวังกุยหยวนตอบว่า
“ศิษย์น้องถังปกตินางค่อนข้างซุกซน แต่เรื่องการฝึกตนนั้นนางจริงจังอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงปิดด่านนางทุ่มเทจนเรียกได้ว่าจิตใจจดจ่ออยู่กับการฝึกตนอย่างแท้จริง
แม้แต่การที่ท่านเจ้าสำนักออกจากการปิดด่านที่สร้างความสั่นสะเทือนขนาดนี้ นางก็ยังไม่รู้สึกตัว แสดงว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงสำคัญของการฝึกตนของนางพอดี”
เขามองกลับไปที่ตำหนัก
“ไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่แค่อาจารย์ของเรา แต่ผู้อาวุโสคนอื่นๆรวมถึงศิษย์พี่ใหญ่ของเราก็จะรายงานเรื่องของศิษย์น้องถังให้ท่านเจ้าสำนักทราบเป็นคนแรก”
เล่ยจวินพยักหน้า
สำหรับถังเสี่ยวถาง สำนักเทียนซือเคยผ่อนปรนกฎให้นางมาหลายครั้งแล้ว
ด้วยความสามารถของนางคงไม่มีปัญหาหากท่านเจ้าสำนักจะยกเว้นพิธีบรรพชาและรับนางเป็นศิษย์ทันที
แต่...
“ท่านเจ้าสำนักบอกว่าไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ พิธีบรรพชาครั้งต่อไปจะจัดในวันที่ 15 มกราคมปีหน้า ศิษย์น้องถังกำลังปิดด่านฝึกตน ก็ปล่อยให้นางเข้าพิธีในเวลานั้น”
คำพูดของหยวนโม่ไป๋ทำให้เล่ยจวินและศิษย์พี่ของเขาประหลาดใจ
“แม้จะเป็นเพียงพิธีการแต่ก็...”
เล่ยจวินไม่ค่อยเข้าใจลักษณะนิสัยของท่านเทียนซือมากนักจึงไม่วิจารณ์อะไรต่อและเปลี่ยนเรื่องถามว่า
“แล้วศิษย์พี่น้อยล่ะ?”
หยวนโม่ไป๋ตอบ
“ในเมื่อท่านเจ้าสำนักมีการจัดการแล้ว และศิษย์น้องถังกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกตน ก็ปล่อยให้นางฝึกฝนต่อไปโดยไม่ต้องรบกวน”
เล่ยจวินและหวังกุยหยวนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
การที่เทียนซือออกจากการปิดด่านครั้งนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใดๆ
สำหรับเล่ยจวินและศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นๆทุกอย่างยังคงเป็นปกติ
ถ้าจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลง ก็คงเป็นการที่ศิษย์พี่ใหญ่สวี่หยวนเจินซึ่งเดินทางไกลมาตลอดได้รับข่าวการออกจากการปิดด่านของอาจารย์และได้กลับมาที่ภูเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูไม่ค่อยยินดีที่ท่านเจ้าสำนักออกจากการปิดด่าน?” เล่ยจวินถามขณะมองหญิงสาวใบหน้าขาวซีดตรงหน้า
สวี่หยวนเจินไม่ได้ตอบอะไร นางหันหลังเดินไปทันทีเพื่อไปพบท่านเจ้าสำนัก
หลังจากกลับมานางนั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“แต่เดิมแล้วไม่ว่าอาจารย์จะปิดด่านนานแค่ไหนก็ถือว่าปกติ แต่เมื่อสองปีก่อนท่านพูดว่าจะออกจากการปิดด่านตามกำหนดแต่กลับเลื่อนเวลาออกไปซึ่งนั่นไม่ปกติ”
เล่ยจวินหันไปมองอาจารย์ของตน หยวนโม่ไป๋
หยวนโม่ไป๋ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่นตามเดิม
“ท่านเจ้าสำนักคงมีแผนของท่านเอง”
สวี่หยวนเจินพูดว่า
“ข้ากังวลว่าอาจารย์จะคิดมากเกินไป”
นางส่ายหัวแล้วหันมามองเล่ยจวินพร้อมเปลี่ยนเรื่องพูด
“เจ้าเปลี่ยนไปอีกแล้วหรือ?”
สิ่งที่นางพูดนั้นไม่ใช่การเพิ่มขึ้นของพลังฝีมือของเล่ยจวินที่นางสังเกตเห็น
เล่ยจวินพยักหน้า
“ข้าได้วาสนาจากปลาไฟหยางสุ่ย ตอนนี้ข้ากำลังบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณด้วยมัน”
สวี่หยวนเจินหันไปถามหยวนโม่ไป๋
“อาจารย์ท่านคิดว่าอย่างไร?”
หยวนโม่ไป๋ตอบ
“ยังมีโอกาสที่จะก้าวหน้าได้มากขึ้นแต่ต้องขึ้นอยู่กับวาสนา”
สวี่หยวนเจินพยักหน้าและพูดกับเล่ยจวินว่า
“นับแต่อดีตมา การเพิ่มพูนความเข้าใจนั้นยากกว่าการเพิ่มพูนพลังวิเศษ โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็ยิ่งน้อยกว่ามาก
หากเจ้าต้องการใช้ปลาไฟหยางสุ่ยนี้เพิ่มพูนความเข้าใจของตน เจ้าต้องมีปลาน้ำหยินสุ่ยที่เป็นคู่ตรงข้ามกับมัน และต้องหาสิ่งวิเศษที่ช่วยประสานหยินหยางอีกหนึ่งอย่างเมื่อนำมารวมกันจึงจะสามารถลองได้”
(จบบท)
วันนี้ลงแค่นี้ก่อนนะคะ