บทที่ 39 ปลาไฟหยางสุ่ย โอกาสที่ขยายได้
"จริงด้วย..."
เมื่อเห็นว่าแผนได้ผล เล่ยจวินก็เหมือนถือคันเบ็ด เขายกไม้ไผ่ทองคำขึ้นและค่อยๆ ถอยหลังไป
ทั้งคู่เหมือนถูกเชื่อมต่อด้วยสายเบ็ดที่มองไม่เห็น
ปลาที่ว่ายในเปลวไฟนั้นสะบัดตัวดิ้นรนพยายามหนี
เล่ยจวินเห็นดังนั้นเขาก็หยิบพู่กันจูเฟิงออกมา
ตอนนี้เขาไม่ได้ใช้พู่กันเพื่อสร้างยันต์แต่เพียงแค่โบกในอากาศ
ทันใดนั้นก็เหมือนมีสายเบ็ดเส้นที่สองมาจับปลาตัวนั้นไว้
ครั้งนี้เล่ยจวินดึงอีกครั้ง ปลานั้นก็ถูกดึงออกมาจากทะเลเพลิงอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อแสงสีทองอยู่ตรงหน้าเล่ยจวินจึงเก็บพู่กันจูเฟิงแล้วหยิบยันต์ดูดกลืนพลังวิญญาณออกมาเพื่อเตรียมเก็บแสงสีทองนั้น
แต่ไม่ทันคาดคิดเขารู้สึกว่าฝ่ามือร้อนผ่าว
เล่ยจวินรีบสะบัดมือยันต์ดูดกลืนพลังวิญญาณถูกเผาไหม้กลางอากาศกลายเป็นเถ้าถ่าน
ปลาทองที่คล้ายกับแสงทองนั้นพยายามจะหนีกลับไปในทะเลเพลิงอีกครั้ง
เล่ยจวินรีบฟาดไม่ไผ่ทองคำที่ถืออยู่ในมือ
การเคลื่อนไหวของแสงทองช้าลงทันที ราวกับว่าถูกติดอยู่กับไม่ไผ่ทองคำ
ตอนนี้เล่ยจวินจึงมีโอกาสพิจารณาแสงทองนี้อย่างใกล้ชิด
แสงทองนั้นไม่ใช่ปลาแท้ๆและไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ
แต่เป็นกระแสแสงที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณคล้ายกับว่ามีชีวิตและความคิดของมันเอง
เมื่อแสงนั้นติดอยู่กับไม่ไผ่ทองคำมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากการเป็นพลังงานที่ไม่จับต้องได้ไปสู่การมีตัวตนเป็นรูปเป็นร่างราวกับเป็นหยกวิญญาณที่กึ่งโปร่งใส
หยกนี้ใสบริสุทธิ์เป็นสีแดงเหมือนไฟตรงกลางดูเหมือนมีของเหลวหยกไหลเวียนและเปล่งประกายสีทอง
เมื่อมองโดยรวมแล้ว มันคล้ายกับปลายินหยางของสัญลักษณ์ไท่จี๋ ครึ่งหนึ่งของปลานั้นแผ่พลังหยางบริสุทธิ์และร้อนแรงออกมา
[ปลาไฟหยางสุ่ย]
ในหัวของเล่ยจวินเกิดความเข้าใจขึ้นในทันที
นี่แหละคือโอกาสระดับสี่ที่เซียมซีระดับสูงสุดกล่าวถึง
เมื่อมองไม้ไผ่ทองคำที่ยึดปลาไฟหยางสุ่ยไว้ เล่ยจวินก็นึกขึ้นมาว่าเพียงแค่มีโอกาสยังไม่พอต้องสามารถจับมันมาได้จริงๆถึงจะเป็นของตัวเอง
ครั้งนี้ต้องขอบคุณอาจารย์หยวนโม่ไป๋
ที่วันนี้เขาสามารถ "ตก" ปลาไฟหยางสุ่ยตัวนี้ได้ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอาจารย์หยวนโม่ไป๋ได้เตรียมบางอย่างไว้ตั้งแต่การมาเปิดถ้ำสวรรค์เสวียนหยาง
ทั้งไม้ไผ่ทองคำและพู่กันจูเฟิงล้วนมาจากอาจารย์หยวนโม่ไป๋
ด้วยความช่วยเหลือของสมบัติเหล่านี้ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปลาไฟหยางสุ่ยโดยกำเนิดเล่ยจวินจึงสามารถจับสิ่งนี้มาได้
แน่นอนหากครั้งนี้เขาไม่เลือกมาที่สำนักแยกหยางซาน แต่กลับอยู่เฉยๆที่สำนักอาจจะไม่มีโอกาสได้รับสิ่งนี้เลยก็เป็นได้
"ตอนนี้ปัญหาคือการเก็บรักษา"
เล่ยจวินใช้พลังของตัวเองเรียกพลังวิญญาณของไม้ไผ่ทองคำออกมา
ไม้ไผ่ทองคำที่ดูมืดหม่นก่อนหน้านี้ เริ่มส่องแสงวิญญาณสีทองอ่อนๆที่ไม่หายไปเหมือนครั้งแรกแต่กลับส่องแสงอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้พลังวิญญาณของไม้ไผ่ทองคำ ปลาไฟหยางสุ่ยกลับกลายเป็นแสงวิญญาณสีทองอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่หนีไปไหนแต่ค่อยๆถูกห่อหุ้มไว้ในไม้ไผ่ทองคำ
เล่ยจวินค่อยๆใช้พลังของตัวเองเพื่อรักษาสภาพนี้ไว้จนสามารถเก็บปลาไฟหยางสุ่ยได้สำเร็จ
ขณะที่เขากำลังยุ่งอยู่กับสิ่งนี้ ฉวี่หย่งที่หมดสติอยู่ข้างๆก็ฟื้นขึ้นมา
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น? เอ๊ะ…เหมือนมีคนลอบทำร้ายข้า...”
ฉวี่หย่งที่เพิ่งฟื้นขึ้นมายังคงสับสน แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกขนลุกทั้งศีรษะและรู้สึกเจ็บแปลบที่ท้ายทอยอีกครั้ง
"ป้าบ!"
ก่อนที่เขาจะทันได้ลืมตาชัดเจน เขาก็รู้สึกว่าท้ายทอยของเขาโดนฟาดซ้ำอีกครั้ง เหมือนกับคราวที่แล้ว!
"ใครกันแน่ที่ทำร้ายข้า?!"
ฉวี่หย่งนอนหมอบอยู่กับพื้น ตาพร่ามัวและพยายามจะลุกขึ้น
“ป้าบ!”
ท้ายทอยของเขาถูกฟาดอีกครั้ง
“อื้อ...” ฉวี่หย่งล้มลงไปหมดสติอีกครั้ง
เบื้องหลังของเขา เล่ยจวินวางไม้เท้าลงด้วยมือซ้าย แล้วกลับไปสนใจที่ไม้ไผ่ทองคำในมือขวาของเขา
หลังจากพยายามอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเล่ยจวินก็สามารถเก็บปลาไฟหยางสุ่ยด้วยไม้ไผ่ทองคำได้สำเร็จ
ปลาไฟหยางสุ่ยสามารถเปลี่ยนระหว่างสถานะจริงและพลังงานวิญญาณได้
ตอนนี้มันได้กลายเป็นพลังหยางบริสุทธิ์และซึมเข้าไปในไม้ไผ่ทองคำ
เมื่อเล่ยจวินต้องการใช้งานเขาก็สามารถดึงปลาไฟหยางสุ่ยออกมาจากไม้ไผ่ทองคำอีกครั้ง
สภาพแวดล้อมภายนอกยังไม่แน่นอน เล่ยจวินจึงไม่รีบกลั่นพลังของปลาไฟหยางสุ่ยและจะรอจนกว่าสถานการณ์จะสงบลง
“จำได้ว่าเฉินอี้ได้รับสมบัติจากศิษย์พี่ใหญ่ ซึ่งก็มาจากถ้ำสวรรค์เสวียนหยางและชื่อว่าไฟหยางสุ่ยหรือไม่?”
เล่ยจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไฟหยางสุ่ย…ปลาไฟหยางสุ่ย...”
ถ้าเฉินอี้มาที่สำนักแยกหยางซานและเข้าไปในถ้ำสวรรค์เสวียนหยางพร้อมกันทั้งคู่ "ตกปลา" ด้วยกันคงต้องมาดูกันว่าใครมีเบ็ดและเหยื่อที่ดีกว่า
มองในแง่นี้โอกาสระดับสี่ที่เซียมซีระดับสูงสุดพูดถึงในครั้งนี้ เฉินอี้ก็คงมีโอกาสดีเช่นกัน
แต่เพราะเฉินอี้เลือกจะเข้าไปพัวพันกับการเมืองภายในสำนักเทียนซือแทนที่จะวางตัวเป็นกลางเหมือนเล่ยจวิน สุดท้ายเขาจึงพลาดโอกาสนี้ไป
อย่างไรก็ตาม ไม่อาจพูดได้ว่าเฉินอี้ตัดสินใจผิดเพราะเขาก็ได้รับประโยชน์จากการวางตัวในหลายฝ่ายก่อนจะพลาดครั้งนี้
แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ เล่ยจวินคิดว่าเฉินอี้อาจมีความสามารถพิเศษในการตรวจจับสถานการณ์หรือข้อมูลในทันที แทนที่จะมีความสามารถในการทำนายล่วงหน้า
ยกเว้นแต่ว่าการที่เฉินอี้ถูกกักตัวโดยผู้อาวุโสเหยาหยางในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาเอง
เล่ยจวินสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป
เขาเก็บไม่ไผ่ทองคำและกำจัดไม้เท้าที่ได้มาจากศิษย์ลัทธิอสูรเหลืองฟ้า จากนั้นอุ้มฉวี่หย่งที่หมดสติไปที่ทางเข้าถ้ำ
ทางเข้าถ้ำยังคงถูกปิดกั้นโดยเปลวไฟใต้ดินซึ่งแยกภายในออกจากภายนอก
เล่ยจวินไม่รีบร้อน เขาวางฉวี่หย่งลงและติดยันต์ป้องกันเพิ่มให้ตัวเองก่อนจะนั่งสมาธิฝึกฝน
ไม่นานนักฉวี่หย่งก็ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เขายังไม่รู้สึกตัวเต็มที่แต่ร่างกายก็ยกมือขึ้นจับที่หัวทันที
"ศิษย์พี่ฉวี่?"
เมื่อได้ยินเสียงเรียก ฉวี่หย่งก็ตกใจและค่อยๆรู้สึกตัวขึ้นมาทีละน้อยก่อนจะหันไปเห็นเล่ยจวินที่ดูอ่อนแรงอยู่ในแสงไฟ
"ศิษย์น้อง...เล่ยจวิน?" ฉวี่หย่งพูดขณะที่กำลังกุมศีรษะเขามองไปรอบๆแล้วรีบจับที่ท้ายทอยด้วยความเจ็บปวด
เล่ยจวินพูดขึ้น
“ศิษย์พี่ฉวี่ อย่าเพิ่งขยับมาก ท้ายทอยของท่านบาดเจ็บข้าไม่มียาสำหรับรักษาที่เหมาะสม จึงได้ทำแผลให้ชั่วคราว”
ฉวี่หย่งกุมศีรษะพลางพูด
“ใช่...ข้าถูกลอบทำร้าย! มีคนฟาดข้าที่หัว!”
เล่ยจวินสีหน้าไม่เปลี่ยน
“ตอนที่ข้ามาถึง ศิษย์พี่ฉวี่นอนหมดสติอยู่แล้วมีศิษย์ลัทธิอสูรเหลืองฟ้าสองคนยืนอยู่ด้านหลังโชคดีที่ท่านไม่เป็นอะไร”
“สองคน...ใช่ พวกมันสองคนลอบโจมตีข้า มิฉะนั้นข้าคงไม่พลาดข้าตั้งใจเตรียมยันต์ทองคำไว้แล้ว!”
ฉวี่หย่งลูบศีรษะตัวเองที่มีรอยบวมสามจุด
สามจุดเหมือนรอยตี...มันช่างไร้สาระสิ้นดี!
เมื่อคิดถึงศิษย์ลัทธิอสูรเหลืองฟ้าคนนั้นที่ถือไม้เท้า ฉวี่หย่งก็ระบุตัวผู้ร้ายได้ทันที และรู้สึกโกรธจนแทบระเบิด
“พวกมันยังคิดจะทำร้ายท่านต่อ ข้าจึงต้องรีบเข้าขวาง”
เล่ยจวินพูดต่อ
“แต่ข้าสู้กับพวกมันสองคนพร้อมกันไม่ไหว โชคดีที่อาศัยเปลวไฟใต้ดินในถ้ำสวรรค์เสวียนหยางจัดการพวกมันได้”
ฉวี่หย่งถอนหายใจด้วยความโล่งอกจากนั้นก็เหลียวมองไปรอบๆ
“ข้าหมดสติไปเจ้าพาข้ามาที่นี่หรือ?”
เล่ยจวินพยักหน้า
“บริเวณนี้เปลวไฟอ่อนกว่า ข้าจะได้ดูแลท่านสะดวก”
ฉวี่หย่งรู้สึกอายเล็กน้อย
“ขอบคุณศิษย์น้องเล่ย ถ้าไม่มีเจ้าข้าคงถูกพวกนั้นฆ่าหรือไม่ก็ถูกไฟเผาตายไปแล้ว”
เล่ยจวินตอบ “ศิษย์พี่อย่าได้กล่าวเช่นนั้นพวกเราเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน”
ขณะที่ทั้งสองคุยกันเปลวไฟในถ้ำสวรรค์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
เมื่อเปลวไฟที่ปิดทางเข้าถ้ำสวรรค์เริ่มลดลงในที่สุดก็มีคนอื่นเข้ามาในถ้ำได้
เล่ยจวินและฉวี่หย่งมองไปที่ผู้มาใหม่ พบว่าเป็นศิษย์จากสำนักเทียนซือไม่ใช่ศัตรูจากลัทธิอสูรเหลืองฟ้า
"พวกท่านไม่เป็นอะไรนะ?"
ผู้ที่เดินนำหน้ามาสวมชุดผู้บำเพ็ญสีแดงเข้ม ท่าทางเคร่งขรึมและจริงจัง เขาคือหลี่เซวียนบุตรชายคนโตของผู้อาวุโสจื่อหยางหนึ่งในศิษย์ชั้นสูงของสำนักเทียนซือ
(จบบท)