บทที่ 26 พ่อค้าหน้าเลือด เจ้าพ่อค้าหน้าเลือด!
การออกไปซื้อของครั้งนี้ หลัวเฉินไม่ได้ไปที่ตลาดซานซิ่วสำหรับผู้บำเพ็ญตนอิสระ
เขาเพิ่งซื้อของครั้งใหญ่ไปเมื่อวาน หากวันนี้กลับไปซื้ออีกครั้งคงทำให้เกิดความสงสัยมากเกินไป
อีกทั้งที่นั่นยังเต็มไปด้วยผู้คนและข่าวลือ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากย่านนอกเมือง หากมีใครสนใจสอบถามก็จะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของหลัวเฉินได้ไม่ยาก
ด้วยเหตุนี้ หลัวเฉินจึงกัดฟันไปซื้อของที่หอสมุนไพรแทน
ผลก็คือ เขาต้องจ่ายเงินแพงกว่าเดิมถึงสิบก้อนหินวิญญาณ กว่าจะได้วัตถุดิบทั้งหมดสำหรับปรุงยาได้ครบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ หินวิญญาณในมือเขาก็เหลือเพียงยี่สิบเก้าก้อนเท่านั้น
หากหลังจากนี้ต้องซื้อข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงซื้อฟืนไม้ เขาก็ต้องเสียเงินอีกสี่ก้อน
สรุปแล้วจะเหลือเพียงยี่สิบห้าก้อนเท่านั้น!
เมื่อคืนนี้ เขายังมีหินวิญญาณอยู่เกือบหนึ่งร้อยห้าสิบก้อนอยู่เลยแท้ ๆ
“หินวิญญาณหมดเร็วจริง ๆ”
“เงินแค่นี้ ยังไม่พอซื้อเคล็ดวิชาควบคุมอาวุธเลย”
หลัวเฉินยืนอยู่กลางสี่แยก มองหอว่านเป่าที่ตั้งตระหง่านด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ ก่อนจะกัดฟันเดินเข้าไปข้างใน
หอว่านเป่าคือธุรกิจของสำนักหลักหกดินแดนแห่งนครเทียนฝาน ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในต้าหอฝาง
การซื้อขายในสถานที่แบบนี้ ผู้บำเพ็ญตนอิสระอื่น ๆ ยากที่จะสืบหาข้อมูลได้
“ท่านลูกค้า สนใจซื้ออาวุธเวทหรือเจ้าคะ?”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในหอว่านเป่า ก็มีสาวใช้เดินเข้ามาทักทาย
การมาที่สถานที่ระดับสูงแบบนี้เป็นครั้งแรก ทำให้หลัวเฉินรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เขาบอกว่าขอเดินดูด้วยตัวเองก่อน สาวใช้ก็ถอยออกไป
ไม่มีการรุกเร้าหรือเชิญชวนขายใด ๆ
ก็เพราะระดับการฝึกตนของเขาแค่ขั้นสี่ การแต่งกายก็ยังดูเก่ากึ่งใหม่ แถมขนาดเสื้อผ้ายังไม่พอดีตัว ทำให้ดูคับแน่นมากเกินไป
เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นผู้บำเพ็ญตนอิสระที่ไม่ค่อยมีเงินใช้จ่ายนัก
เดินวนในชั้นหนึ่งที่กว้างขวางอยู่ครึ่งค่อนวัน ความรู้สึกประหม่าของหลัวเฉินก็เริ่มสงบลง
โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นอาวุธเวทชั้นดีที่ตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นวาง เขาก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น
เขาเรียกสาวใช้คนเดิมเข้ามา แล้วพูดตรง ๆ ว่า “ข้าต้องการขายอาวุธเวท ที่นี่รับซื้อหรือไม่?”
สาวใช้พยักหน้าตอบ “รับเจ้าค่ะ แต่ต้องให้ท่านอาจารย์ตรวจสอบก่อน ถึงจะประเมินราคาได้ ส่วนจะรับราคาหรือไม่ ท่านลูกค้าสามารถตัดสินใจได้เอง”
“ไม่คิดค่าตรวจสอบนะ!”
“ฮ่าฮ่า ท่านพูดตลกแล้ว ท่านจะขายของให้เรา ย่อมไม่มีค่าตรวจสอบแน่นอน”
หลัวเฉินยังคงตกใจกับวิธีการทำงานของท่านปู่ซุนจากเมื่อวาน ที่เรียกเก็บค่าบริการมากมายหลากหลายรูปแบบ
ท่านปู่ซุนอยู่ฝ่ายสำนักกระบี่ยุทธหยกติ่ง ส่วนหอว่านเป่าก็อยู่ฝ่ายนครเทียนฝาน หลัวเฉินก็อดกังวลไม่ได้ว่า พวกสำนักใหญ่ที่ทำการค้าเหล่านี้คงไม่ต่างกันสักเท่าไร
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสอง ชายชราผู้หนึ่งนั่งดื่มชาพลางเล่นกับไม้วงกลมสีแดงสองลูกในมือ
“ท่านปรมาจารย์ฉู่ แขกท่านนี้ต้องการขายอาวุธเวทเจ้าค่ะ”
“อืม เจ้าลงไปก่อนเถอะ” ปรมาจารย์ฉู่ยังคงหมุนลูกไม้แดงไปมาในมือ ส่วนมืออีกข้างก็ยื่นออกมา “เอาของมาให้ข้าดูสิ”
เมื่อดาบสั้นเล่มหนึ่งถูกส่งมาในมือ ด้ามดาบนั้นมีรูปร่างคล้ายหางนกนางแอ่น
ปรมาจารย์ฉู่พยักหน้าเล็กน้อย “เป็นอาวุธมาตรฐานของนครเทียนฝาน กระบี่บินรูปนกนางแอ่น ระดับชั้นดี”
หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เขาก็ส่ายหน้า “น้ำหนักเบาไปหนึ่งเหลี่ยง ตัวกระบี่สึกหรอมาก ต้องหลอมใหม่ทั้งเล่ม”
ปรมาจารย์ฉู่ปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปในกระบี่ กระแสพลังเคลื่อนไปทั่วกระบี่ จนกระทั่งปลายกระบี่ บริเวณตัวกระบี่ และที่ด้ามกระบี่ ต่างก็เปล่งแสงออกมา
“ค่ายกลคมเหล็ก”
“ค่ายกลปลดพลังยังเหลือประสิทธิภาพแปดส่วน”
“ค่ายกลเสริมความแข็งแกร่งไม่เสถียร ต้องรื้อโครงสร้างค่ายกลและสร้างใหม่”
“โอ้ เจ้าของกระบี่ยังโง่เง่าไปแกะสลักตัวอักษรไว้บนกระบี่อีก”
พูดจบ ปรมาจารย์ฉู่ก็โยนกระบี่บินเล่มนั้นลงบนโต๊ะ
“หนึ่งพัน หากต้องการขาย หอว่านเป่ายินดีรับซื้อในราคา หนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ”
เมื่อได้ยินจำนวนตัวเลขอันสูงลิ่ว หลัวเฉินเบิกตากว้างขึ้นในทันที!
แต่ไม่ใช่เพราะราคาสูง
แต่เพราะว่าราคานี้มันต่ำเกินไป!
ทุกคนต่างรู้ดีว่า ราคาของอาวุธเวทนั้นเป็นไปตามกลไกตลาด และเหล่าผู้บำเพ็ญตนล้วนรับรู้ถึงราคาดี
อาวุธเวทชั้นต่ำ ราคาจะอยู่ที่หนึ่งร้อยถึงห้าร้อยก้อนหินวิญญาณ
อาวุธเวทชั้นกลาง ราคาจะอยู่ที่ห้าร้อยถึงหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ
ส่วนอาวุธเวทชั้นดี เริ่มต้นที่หนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ
โดยอาวุธประเภทโจมตีมักจะมีราคาต่ำ และอาวุธประเภทดาบกับกระบี่มักจะถูกที่สุด
ขณะที่อาวุธประเภทป้องกันนั้น จะมีราคาสูงกว่าอาวุธประเภทอื่น ๆ มากที่สุด
สำหรับอาวุธประเภทพิเศษหรืออาวุธโบราณแปลก ๆ นั้น ราคาจะถูกประเมินตามประสิทธิภาพของมัน แต่ก็มักจะสูงลิ่วเช่นกัน
ในโลกนี้ไม่มีคำพูดที่ว่า “อาวุธแปลกยิ่งตายเร็ว”
เพราะยิ่งอาวุธพิเศษมากเท่าไร ก็ยิ่งสามารถสร้างผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงได้ ในการต่อสู้หรือสำรวจแดนลับ มันอาจพลิกสถานการณ์ได้ในชั่วพริบตา
หลัวเฉินทำใจไว้แล้วว่าราคากระบี่บินจะต่ำ แต่ไม่คิดว่าจะต่ำขนาดนี้
“กระบี่บินรูปนกนางแอ่นที่ขายในร้านของพวกท่าน ขายตั้งสองพันห้าร้อยก้อนหินวิญญาณนี่นา!”
ปรมาจารย์ฉู่กลับไม่ใส่ใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่า อาวุธเวทมือสอง ที่หอว่านเป่า เรารับซื้อแค่ครึ่งราคาเท่านั้น”
“แต่นี่ก็ไม่ถึงครึ่งราคาเลย!” หลัวเฉินยังคงยืนกราน
พวกคนของสำนักใหญ่อาจจะไม่แยแสกับจำนวนเงินที่ขาดหายไปสักร้อยสองร้อยก้อน แต่นั่นคือเงินทั้งชีวิตของหลัวเฉิน
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเราต้องทำอะไรบ้างกว่าจะนำอาวุธพวกนี้กลับไปขายใหม่ได้?”
ปรมาจารย์ฉู่เริ่มนับนิ้ว “ก่อนอื่นเราต้องส่งกลับไปที่สำนัก ค่าขนส่งก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนหนึ่ง”
“เลือกวัสดุที่เหมาะสมในการซ่อมแซม ก็เป็นค่าใช้จ่ายอีกก้อนหนึ่ง”
“จ้างผู้เชี่ยวชาญด้านค่ายกลมาซ่อมค่ายกลบนอาวุธ ก็นับเป็นค่าใช้จ่ายอีกก้อน”
“ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อรักษามาตรฐานและป้องกันไม่ให้มีคนกล่าวหาว่านครเทียนฝานขายของด้อยคุณภาพ ก็ต้องเชิญผู้บำเพ็ญตนระดับสูงมาทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวังอีกครั้ง”
“สุดท้าย เราต้องออกแรงขนส่งไปตามหอว่านเป่าแต่ละแห่งไกลเป็นพันลี้”
“และค่าใช้จ่ายยิบย่อยอื่น ๆ ข้าก็ยังไม่ได้รวมให้เจ้า”
หลัวเฉินถึงกับปวดกราม
ชายชราคนนี้ไม่มีความใจกว้างแบบผู้บำเพ็ญตนขั้นสร้างฐานเลยสักนิด จู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าปู่ซุนเสียอีก
“ไหน ๆ ก็พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าต้องขอตำหนิพวกเด็กหนุ่มรุ่นใหม่อย่างเจ้าสักหน่อย”
ปรมาจารย์ฉู่ส่ายหัวพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “วัน ๆ เอาแต่สู้รบกันไปมา คิดว่าอาวุธเวทมีไว้เพื่อแสดงอำนาจบารมีหรือ? นี่คืออาวุธที่ใช้ปกป้องเส้นทางฝึกตนของเจ้า ควรจะต้องทะนุถนอมมัน!”
“หลังจากต่อสู้เสร็จก็ควรจะเช็ดล้างมันบ้างไม่ใช่หรือ!”
“เวลาว่างก็ควรใช้พลังวิญญาณหล่อเลี้ยงมัน นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรทำ!”
“อาวุธเวทมือสองที่ข้าได้มาแต่ละชิ้น ล้วนผ่านการทารุณกรรมมาแทบทั้งนั้น สภาพพังทลายไร้ซึ่งชีวิต”
“ข้าเห็นแล้วเจ็บใจจริง ๆ!”
พอพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขากลับดูมีความรู้สึกจริงจังมากขึ้น
สายตาที่มองไปยังกระบี่บินรูปนกนางแอ่นนั้น ราวกับเห็นคนรักถูกคนอื่นย่ำยีทำลายจนย่อยยับแล้วถูกส่งคืนมาให้ที่บ้าน
หลัวเฉินรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว
แต่เพื่อทรัพยากรในการฝึกตน เขาจึงกัดฟันพูดว่า “ราคาต่ำเกินไป หากท่านให้ราคานี้ ข้าคงรับไม่ได้ ข้าน่าจะเอาไปขายที่ตลาดซานซิ่ว ขายสักหนึ่งพันห้าร้อยหรือหนึ่งพันหกร้อยก้อนก็ต้องมีคนอยากได้แน่”
พูดจบ หลัวเฉินก็หยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วหันหลังเดินออกไปทันที
“เดี๋ยว ๆ เจ้าหนุ่ม รอก่อน!”
ปรมาจารย์ฉู่รีบร้องเรียกไว้ “หนึ่งพันหนึ่งร้อยก้อน เป็นอย่างไร นี่คือราคาสูงที่สุดในขอบเขตที่ข้าให้ได้แล้ว”
“ก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี”
“ไม่ต่ำแล้วนะจริง ๆ ไม่ต่ำเลย กระบี่บินที่มีสภาพดีกว่านี้ข้ายังไม่เคยให้ราคานี้เลย”
ปรมาจารย์ฉู่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกอย่าง กระบี่บินที่มีตัวอักษรสลักอยู่อย่างนี้ ผู้บำเพ็ญตนอิสระทั่วไปคงไม่กล้าซื้อหรอก เจ้าว่าไหม!”
“หนึ่งพันหนึ่งร้อย นี่คือราคาสุดท้าย หากเจ้าตั้งใจจะขาย หอว่านเป่าของเรายินดีรับซื้อ และรับปากว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลการขายของเจ้าให้ใครรู้เป็นอันขาด!”
หลัวเฉินยืนอยู่กับที่ สีหน้าแสดงความลังเล
สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ตกลง ข้าขาย”
สักพักหลังจากนั้น หลัวเฉินเดินออกมาจากหอว่านเป่า
เขาสบตากับแสงแดดจ้าที่สาดส่องมา แล้วก็ก้มลงบ้วนน้ำลายลงพื้นอย่างไม่เกรงใจ
“บัดซบ พ่อค้าหน้าเลือด!”
หญิงสาวผู้บำเพ็ญตนที่เดินผ่านไปมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม
คนบ้าอะไรกัน ไม่มีมารยาทเอาซะเลย!
ภายในหอว่านเป่า
ปรมาจารย์ฉู่ยิ้มแย้มพลางยื่นกระบี่นกนางแอ่นเล่มนั้นให้ชายร่างกำยำเปลือยท่อนบน
“เอาตัวอักษรบนกระบี่ออก แล้วเสริมพลังเหล็กกล้าเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นก็นำไปวางขายที่ชั้นหนึ่งได้เลย!”
ชายร่างกำยำรับกระบี่มาแล้วเกาศีรษะ
“สภาพยังดีมากเลยนะครับ แทบไม่ได้เสียหายอะไร ท่านปรมาจารย์ซื้อมาราคาเท่าไรหรือครับ?”
“พอไหว หนึ่งพันหนึ่งร้อย ยังพอมีช่องทางทำกำไรอยู่”
ปรมาจารย์ฉู่พูดพลางยิ้ม จากนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“พวกเด็กหนุ่มในสมัยนี้นะ ขี้งกกันมากขึ้นทุกที แม้แต่หินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนก็ยังต้องคอยเถียงข้า แบบนี้จะสำเร็จบำเพ็ญตนจนถึงที่สุดได้อย่างไร!”
จบบท