บทที่ 119 มากมาย (7)
[\แปลโดยแฟนเพจ ยักษาแปร\มาติดตามในแฟนเพจ\เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ\]
[\Thai-novel \ลงไวกว่าที่อื่น\ทุกที่ 5 ตอน\แต่จะราคาแพงที่สุด\]
[\หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นอีกครั้ง จะแก้ไขแบบเทียบคำต่อคำให้ตรงตามหลักไวยากรณ์ อ่านแบบเทียบภาษาต้นฉบับคำต่อคำ ซึ่งถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ\100คน\ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ซึ่งถ้ารู้ว่าหลุดจากที่ไหนก็จะไม่แก้ไขตรงเว็บนั้นครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ\]
บทที่ 119 มากมาย (7)
อ่า นี่มันก็แอบแย่อยู่นะ แต่ก็นะอยู่ดี ๆ ก็มีซากสัตว์โผล่มา ฉันก็เลยทำอะไรไม่ได้นี่นา วูจินที่ใบหน้าเรียบเฉยแตกไปชั่วขณะ หันไปมองจางซูฮวานที่วิ่งเข้ามา
สงสัยงั้นเหรอ? ก็ช่วยไม่ได้นี่
‘บอกไปว่าตกใจแบบคนธรรมดานี่แหละ อย่าลืมสิว่าฉันเองก็เป็นมนุษย์นะ’
“เหวอ!” จางซูฮวานเบิกตากว้างมองวูจิน ก่อนจะชูนิ้วโป้งให้ทันที
“เสียงกรี๊ดเมื่อกี้เนี่ย โอ้โห นี่พี่! พี่ลองแสดงบทที่ได้รับรึเปล่าเนี่ย สุดยอดไปเลยครับ เสียงกรี๊ดเมื่อกี้มันดูตื่นตระหนกแบบที่ไม่ใช่พี่เลย!”
“... เอ่อ อืม”
ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ กับคำว่า ‘ตื่นตระหนก’ อยู่บ้าง แต่วูจินก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก จากนั้นวูจินก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาพลางพึมพำ
“ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว”
“ครับผม!”
ระหว่างที่เดินกลับไปที่กองถ่าย วูจินไม่ได้สนใจทิวทัศน์รอบข้างเท่าไหร่นัก สายตาของเขากลับกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อเปรียบเทียบสภาพแวดล้อมกับฉากในบทภาพยนตร์ ตอนนี้ทุกอย่างยังดูสงบราบรื่นดีอยู่หรอก แต่ในไม่ช้านี้ ที่นี่จะต้องเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาด การสังหาร และการฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น
แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วมันคือสเปเชียลเอฟเฟกต์ นั่นแหละ
ว่าแต่การอ่านบทในวันนี้มีทีมงานมามากกว่า 150 ชีวิตเลยนะ ถือว่าเป็นทีมงานขนาดมหึมาสำหรับวงการภาพยนตร์เลยล่ะ ซึ่งในจำนวนนั้นก็มีทีม VFX (ทีมสเปเชียลเอฟเฟกต์) และทีมงานฝ่ายศิลป์เยอะเป็นพิเศษ
นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องทุ่มทุนกับสเปเชียลเอฟเฟกต์มากแน่ ๆ
แล้วแบบนี้ งบประมาณในการสร้างคงมหาศาลน่าดู ยิ่งคิด วูจินก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝัน ที่ได้มารับบทนำในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ระดับนี้
‘มันให้ความรู้สึกเหมือนมีฉันเป็นส่วนเกินในกองถ่าย ยังไงก็ไม่รู้’
ไม่ว่ายังไง วูจินก็กลับมาที่เขตป่าซึ่งเขาเพิ่งเดินเข้าไป เมื่อครู่สายตาของเขาเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล อันที่จริงแล้วมันเป็นทะเลสาบ แต่ในบทภาพยนตร์มันคือทะเล ดังนั้นคังวูจินจึงหยุดอยู่ตรงนั้นชั่วครู่
“······”
เขาจ้องมองไปที่ทะเลสาบอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าดูจริงจังขึ้น
ในตอนนั้นเอง ผู้กำกับควอนกีแท็กซึ่งกำลังยืนสั่งงานทีมงานอยู่ที่ทางเข้าฉากก็เห็นคังวูจิน
“หืม?”
คังวูจินมองไปรอบ ๆ ป่าอันรกครึ้ม ก่อนจะหันกลับมามองทะเลสาบอีกครั้งด้วยสายตาแน่วแน่ บรรยากาศรอบตัวเขาช่างดูจริงจังและเคร่งขรึม
ผู้กำกับควอนกีแท็กจึงหลุดขำออกมา
“อินกับฉากหลังและอารมณ์ของตัวละครแล้วเหรอ?”
ผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถามขึ้น
“ครับ?”
“โน่นไง วูจินน่ะ”
“อ๋อ”
“ดูสีหน้าสิ ตอนนี้ที่นั่นไม่ใช่ฉากถ่ายทำสำหรับเขาแล้วล่ะ แต่เป็น ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ต่างหาก”
ตอนนี้วูจินกำลังจินตนาการให้ที่นี่กลายเป็นโลกของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ผู้กำกับควอนกีแท็กค่อนข้างมั่นใจกับความคิดนี้ ใบหน้า แววตา และอ่อร่าของเขา มันเหมือนกับตอนที่อยู่ที่กองถ่าย ‘นิติจิตวิทยา’ ไม่มีผิด
‘อัจฉริยะแบบนั้น แล้วยังพยายามขนาดนี้อีก เป็นแบบนี้จะไม่ให้เป็นอสูรรุ่นต่อไปได้ยังไง?’
แต่ไม่ใช่แบบนั้น คังวูจินแค่จ้องมองไปที่ทะเลสาบอย่างไม่ใส่ใจ พร้อมกับอธิษฐานอยู่ในใจ
‘ไม่สนแล้วว่าจะเป็นทะเลหรือทะเลสาบ นี่มันนานแค่ไหนแล้วนะเนี่ย หา โอ้ย อยากเล่นน้ำชะมัด’
ตอนนี้เขาอยากจะกระโดดลงไปเล่นน้ำใจจะขาด ครั้งสุดท้ายที่ได้เล่นน้ำคือตอนไหนนะ? พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก มันนานมากจนเลือนลางเต็มที
‘บานาน่าโบ๊ท บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหลังเล่นน้ำเสร็จ โอ้ย’
ในฤดูร้อนอันแสนสดใส ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะกับการเล่นน้ำเสียจริง และแล้ววินาทีนั้นก็มาถึง
“วูจิน”
เสียงทุ้มคุ้นหูของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง พอหันกลับไปมองก็พบกับรอยยิ้มของชเวซองกุนที่มัดผมทรงหางม้า
“ไปกันเถอะ การอ่านบทสำหรับฉากต่อไปจบแล้วล่ะ”
“...ครับ”
คังวูจินเดินตามไปพร้อมกับความรู้สึกเสียดายเล็ก ๆ ขณะที่ชเวซองกุนพึมพำเบา ๆ ว่า
“จริงสิ เรื่องนั้นมันกำลังเริ่มขึ้น”แล้วนะ
‘หา? อะไรเริ่มขึ้นวะครับ?’
วูจินไม่เข้าใจในทันที แต่เขาก็ยังคงทำหน้าตายไว้
“งั้นเหรอครับ?”
“ใช่ ฉันเคยบอกนายแล้วไม่ใช่เหรอว่าวิธีรับมือกับข่าวฉาวที่ดีที่สุดก็คือกลบมันด้วยข่าวฉาวข่าวอื่น นายคงเห็นข่าวที่นักข่าวปล่อยออกไปแล้ว สินะ”
ชเวซองกุนคงหมายถึงข่าวที่ว่าด้วยเรื่องบุคลิกสองด้านของเขา นอกจากนั้นก็ยังมีข่าวอีกสองสามข่าวที่ถูกปล่อยออกมา คงเป็นอย่างที่ชเวซองกุนบอกบนรถจริง ๆ สินะ นักข่าวบางคนพยายามขุดคุ้ยอดีตอันลึกลับของวูจินเพื่อใช้เป็นข่าว วูจินพยักหน้าอย่างเชื่องช้าเมื่อเขาเข้าใจในสิ่งที่ชเวซองกุนพูด
“ครับ ผมเห็นแล้ว มีคนมาคอมเมนต์เยอะเหมือนกัน”
“ใช่ ปล่อยมันไปแบบนี้ก็น่ารำคาญอยู่หรอก แต่ไม่เป็นไร พวกนั้นไม่มีเวลาให้มันลุกลามหรอก”
“...”
ชเวซองกุนเห็นว่าคังวูจินเลือกที่จะเงียบ จึงยื่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ดู บนหน้าจอปรากฏบทความข่าว คาดว่าน่าจะเป็นข่าวที่เพิ่งออกมา
『[ประเด็นร้อน] เคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น เตรียมปล่อยผลงานชิ้นใหม่ ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ อยู่ ๆ ก็มีข่าวลือเรื่องการแคสติ้งนักแสดงชาวเกาหลี? ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว』
เอ๊ะ? นี่มันประกาศไปได้ยังไง? วูจินคิดในใจพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น ในขณะเดียวกัน ชเวซองกุน ที่เพิ่งวางโทรศัพท์มือถือลงก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“รายละเอียดค่อยคุยกันหลังจากอ่านบทเสร็จแล้ว ยังไงก็เถอะ เรื่องนี้มันกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ญี่ปุ่นไปแล้ว แล้วก็เพราะคีย์เวิร์ด ‘นักแสดงเกาหลี’ มันเลยกลายเป็นประเด็นในประเทศด้วย”
“อ่า ครับ”
หลังจากที่วูจินตอบรับ ชเวซองกุนก็ยื่นบทภาพยนตร์เรื่อง ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูลึกซึ้งขึ้น
“คว้ามันไว้ให้แน่นล่ะ เพราะสัปดาห์หน้าเป็นต้นไป เราจะเหยียบมิดคันแน่”
ชเวซองกุนพูดพลางตบไหล่วูจินเบา ๆ
“หลังจากอ่านบทเสร็จแล้ว เรื่องนี้จะแพร่กระจายไปทั่วประเทศมากขึ้นอีก เพราะฉันจะช่วยผลักดันเอง”
ในตอนนั้นเอง สายตาของคังวูจินก็
-ฉับ!
เปลี่ยนเป็นความมืดมิดในพริบตา เหตุผลน่ะเหรอ? ก็เพราะจู่ ๆ วูจินก็เข้ามาอยู่ในมิติว่างเปล่าอย่างกะทันหันน่ะสิ คงต้องใช้เวลาระงับสติอารมณ์อันสับสนวุ่นวายนี่สักพัก
“โอ แบบนี้มันชักเริ่มใจเต้นแล้วสิ”
เพราะการอ่านบทที่มีเหล่านักแสดงระดับท็อปตบเท้าเข้าร่วมนั้นอยู่ใกล้แค่จมูก คังวูจินหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมกับเดินไปที่หน้าสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีขาวที่เปล่งประกาย และแน่นอนว่าเขาเลือก ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’
-[3/บทภาพยนตร์ (ชื่อเรื่อง: เกาะแห่งผู้สูญหาย) คุณได้เลือกแล้ว]
-[กำลังแสดงรายชื่อตัวละครที่สามารถเข้าร่วมการอ่านบท (ประสบการณ์) ได้]
-[A: สิบโทชเวยูแท B: จ่าสิบตรีโชบงซอก C: สิบเอกนัมแทโอ D: สิบโทจินซอนชอล······]
ชัดเจนยิ่งขึ้น แน่นอนยิ่งกว่าเดิม ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ นั้น เปิดเรื่องด้วย ‘พลทหารคิม’ เพื่อเพิ่มความตึงเครียด ก่อนจะแสดงให้เห็นชีวิตประจำวันที่แสนธรรมดาของตัวละครหลักต่าง ๆ
บทบาทของตัวละครก็เหมือนกับการแนะนำตัว
ในบรรดาบทบาททั้งหมด ‘สิบโทจินซอนชอล’ วูจินได้อ่านบทบาทนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ไม่แปลกที่เขาจะต้องพยายามมากขนาดนี้ เพราะแค่ไม่กี่ก้าวข้างหน้า ในห้องซ้อมมันจะเต็มไปด้วยนักแสดงระดับท็อปทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติที่เขาจะต้องไม่ประมาท แต่สำหรับวันนี้เขาต้องทำตัวให้หนักแน่นเป็นพิเศษ
"ฮู่-"
จากนั้นคังวูจินก็...
-สวบ
เลือกบทวายร้ายที่เขาจะได้รับอย่างไม่ลังเล
[ “‘D:สิบโทจินซอนชอล’ กำลังเตรียมตัวอ่านบท······” ]
[ “······พร้อมแล้ว บทภาพยนตร์มีความสมบูรณ์แบบมาก ระดับการนำไปสร้าง 100% เริ่มอ่านบทได้” ]
ในไม่ช้า วูจินก็ถูกดึงเข้าไปในโลกของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’
หนาวจัง
ความรู้สึกแรกที่คังวูจินสัมผัสได้หลังจากที่ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยเป็นสีเทากลับคืนสู่สีสัน นี่เป็นอุณหภูมิที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความหนาวเย็นและความเย็นสบาย
สิ่งที่เขาเห็นส่วนใหญ่ขาดสีสัน
สีเงิน สีขาว และสีดำ
เขายืนอยู่ นั่นคือระดับสายตาของเขา คังวูจินค่อย ๆ กลอกตาไปรอบ ๆ เห็นสีเงินสี่เหลี่ยมเรียงรายกันเป็นแถว ในไม่ช้า วูจินก็รู้ได้ว่า
ห้องดับจิต นี่มันห้องดับจิตนี่
จากจุดนี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างของ ‘สิบโทจินซอนชอล’ ก็เริ่มไหลบ่าเข้าสู่คังวูจิน ราวกับมีบางสิ่งพุ่งทะลวงเข้ามาในอกของเขา ทั้งอารมณ์และความรู้สึกทั้งห้า ‘สิบโทจินซอนชอล’ และคังวูจินได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ที่นี่คือชีวิตของ ‘สิบโทจินซอนชอล’
สิ่งที่เขารู้สึกได้เป็นอย่างแรกก็คือ
"อา- เอ่อ"
ความตื่นตระหนกและความประหม่าโถมเข้าใส่ ประกอบกับความขี้ขลาดและอาการประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้า ความมั่นใจและความภาคภูมิใจในตัวเองต่ำเตี้ย แม้จะลืมตาอยู่ แต่ดวงตากลับจ้องมองต่ำลงไปเสมอราวกับเป็นสัญชาตญาณเป็นนิสัยที่แก้ไม่ตก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขาดตกบกพร่อง ทั้งอ่อนแอและไร้เรี่ยวแรง ความรู้สึกขาดแคลนตั้งแต่กาลสร้างโลกฝังรากลึก แม้แต่ในใจจะมีคำพูดมากมายก็ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้อย่างเต็มที่
เพราะกังวล เพราะหวาดกลัว
ดังนั้นเขาจึงได้แต่สังเกตสีหน้าและคอยระวังท่าทีของคนรอบข้าง ไม่มีความเด็ดขาด ลังเล อืดอาด ยึกยัก ไม่มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว มีแต่ความรู้สึกโหยหา วูจินแอบมองไปรอบ ๆ ห้องเก็บศพ ก่อนจะหันไปมองร่างของตัวเอง
เขาสวมชุดทหาร
ยศสิบโท ทว่าชุดทหารที่เขาสวมใส่นั้นกลับดูเก่าโทรมและยับยู่ยี่ ราวกับว่าชุดที่สวมอยู่กำลังสะท้อนถึงตัวตนของเจ้าของ
ในตอนนั้นเอง
“จะ...ดูไหมครับ?”
เสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้วูจินที่กำลังหลบสายตาคนอื่นราวกับคนมีปัญหาทางจิตใจชะงักไป ก่อนจะหันไปมองชายร่างสูงตรงหน้า ชายคนนั้นยืนกุมมือไว้ข้างหน้า นิ้วชี้ชี้ไปที่โต๊ะโลหะสีเงินซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเขาและวูจิน
ไม่สิ มันไม่ใช่แค่โต๊ะโลหะสีเงินธรรมดา
เบื้องล่างผ้าคลุมสีขาวปรากฏเป็นเงาร่างของมนุษย์นอนอยู่ มันคือศพเป็นศพจริง ๆ สถานที่แห่งนี้คือห้องเก็บศพ การมีศพอยู่จึงเป็นเรื่องปกติ ทว่าวูจินกลับมีท่าทีลังเล ไม่กล้าตอบรับออกไป
เสียงแผ่วเบาของจิตสำนึกดังก้องอยู่ในใจ
‘ตอบ...ดีไหมนะ? ไม่ ๆ ไม่เอาหรอก พูดไม่ออก ถ้าเกิดข้างในนั้นเป็นแม่ของฉันจริง ๆจะทำยังไงดี? แต่ว่า...ฉันก็ต้องดูนี่นา ทำยังไงดี?’
วูจินเม้มริมฝีปากแน่น เขารู้สึกสับสน ว้าวุ่นใจ และร้อนรน ทว่าก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ จนกระทั่งพนักงานห้องเก็บศพเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“จะเอายังไงดีครับ ถ้าลำบากใจ...”
ในตอนนั้นเอง
“ดู ดูครับ”
วูจินผ่อนลมหายใจเบา ๆ ริมฝีปากสั่นระริก เอ่ยเสียงแผ่ว
“ขอผมดูหน่อยครับ”
“เชิญครับ”
- ซ่าาา
พนักงานค่อย ๆ ดึงผ้าขาวที่คลุมส่วนศีรษะออก ใบหน้าของผู้เป็นมารดาปรากฏขึ้น ชวนให้สับสนว่าสีขาวซีดนั้นเป็นสีของผ้าหรือสีผิวกันแน่ คังวูจินรู้สึกราวกับความหนาวเหน็บแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์ เพียงแค่สัมผัสก็อาจทำให้มือแข็งจนเป็นน้ำแข็งได้ เสียงของจิตใต้สำนึกดังก้องกังวานขึ้นภายใน ใจเขาตะโกนร้องว่า'แม่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม? ทำไมหน้าซีดแบบนี้ครับ แม่ ตอบผมหน่อยสิครับ แม่'
ความรู้สึกจุกแน่นแล่นปราดจากส่วนลึกของท้องน้อย ไล่ขึ้นมาจนถึงศีรษะ คังวูจินรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
“แม่... แม่ครับ”
ทำไมต้องเป็นตอนที่ผมอยู่ในกรมด้วย ทำไมครับแม่ คังวูจินทรุดตัวลงคุกเข่าเข่าอ่อนจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ รู้สึกราวกับว่าสติและโลกทั้งใบได้พังทลายลงต่อหน้าต่อตา น้ำตาไหลอาบแก้มมือที่สั่นเทายกขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ผม... ผมขอจับมือแม่หน่อยได้ไหมครับ”
“...”
พนักงานไม่ตอบ คังวูจินปล่อยความเศร้าโศกเอ่อล้นไปที่ปลายนิ้วสัมผัสแก้มเย็นเฉียบของมารดา นี่ผิวหนังคนจริงหรือ ทำไมถึงแข็งขนาดนี้ ไม่นะแม่ อย่าเป็นแบบนี้ ได้โปรดแม้จะไม่กล้าร้องไห้โฮออกมา แต่คังวูจินก็โอบไหล่มารดาไว้แน่น ปล่อยเสียงสะอื้นไห้อย่างสะกดกลั้น
“แม่ ฮือ แม่ครับ ผมขอโทษ ผมอยากทำดีกับแม่มากกว่านี้ ผมควรทำดีกับแม่ให้มากกว่านี้ แม่จากผมไปเร็วแบบนี้ ผมจะอยู่อย่างไรครับแม่ ผมขอโทษ”
ท่ามกลางความโกลหาลในหัว เขากลับได้ยินเสียงของแม่ดังก้องอยู่ในใจ
‘ไม่เป็นไรลูก แม่ต่างหากที่ต้องขอโทษ ขอบคุณนะที่เติบโตขึ้นมาอย่างดีขนาดนี้'
เสียงของแม่เลือนรางห่างออกไปทุกที น้ำตาที่เอ่อล้นทำให้วูจินอยากรั้งแม่ไว้ อยากรั้งเท่าชีวิต แต่เขาไม่รู้เลยว่าแม่ของเขาอยู่ที่ไหน หายไปทางใด ความคิดนั้นทำให้เขาร้องไห้ออกมาจนหยุดไม่ได้
"แม่ครับ แบบนี้มัน... จบแล้วจริง ๆ หรอ? แม่ครับ รอสักพัก รออีกสักหน่อยไม่ได้เหรอครับ? แม่... ผมยังไม่พร้อมเลยครับ ขอแค่หนึ่งวัน ไม่สิ ขอแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ได้"
วูจินซบหน้าลงกับไหล่ของแม่ ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาไม่ขาดสาย ภาพนั้นทำเอาเจ้าหน้าที่ห้องดับจิตเริ่มรู้สึกจุกในอก
ทันใดนั้นเอง
'เฮ้ย ไอ้เวร'
ท่ามกลางความรู้สึกที่สับสน คังวูจินกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคย แต่มีน้ำเสียงที่ต่างออกไป ดังขึ้นในหัว
'พอได้แล้ว ไสหัวไปเลยไป๊ จะร้องไห้ทั้งคืนเลยรึไง ไอ้ขี้แพ้'
น้ำเสียงและท่าทีที่ต่างออกไปอย่างชัดเจน บ้าบิ่นและดุดัน มันพยายามที่จะควบคุมร่างกายของเขา คืบคลานเข้ามา วูจินสะอื้นไห้ พยายามต่อต้านอย่างสุดกำลัง
'อึก อย่า... อย่าทำแบบนั้น แม่ของเรา... ท่านจากไปแล้ว นี่ไม่ใช่ที่ของแก'
'แช่งชักหักกระดูกอะไรของแก! ไอ้หมาลอบกัด บอกตรง ๆ ก็ได้ ว่าดีใจที่ยายแก่ตาย ๆ ไปซะที! ถ้ามันไม่ตายซะเอง ฉันก็จะฆ่ามันเองอยู่แล้ว'
'อย่า... อย่าพูดแบบนั้น หยุดเดี๋ยวนี้ ออกไปซะ ปล่อยฉันไว้คนเดียวเถอะ!'
'พูดอะไรของเอ็ง ไอ้บ้า'
เสียงหยาบคายนั้นกลับแฝงไปด้วยความสนุกสนาน
'แกก็คือแก และฉันก็คือแก'
ในชั่วพริบตานั้น ความรู้สึกลังเลทั้งหมดก็หายไปราวกับถูกคลื่นซัดสลาย ทั่วทั้งร่างกายเย็นเยียบราวกับถูกเลือดเย็น ๆ ไหลเวียน ความเฉยชาและเย็นชาเข้าครอบงำ ไร้ซึ่งความลังเล ไร้สิ่งใดให้ต้องหวั่นเกรง
ชิบหาย ทุกอย่างมันช่างน่ารำคาญไปหมด! น่าขยะแขยงสิ้นดี!
ความรู้สึกที่แตกต่างเข้าครอบงำ วูจินลืมตาขึ้นโพลง ดวงตาแปรเปลี่ยน ไร้ซึ่งความหวั่นไหว มีเพียงแววเดือดดาล อีกด้านหนึ่ง เสียงของตัวตนที่ขลาดเขลาเอ่ยขึ้น
‘อย่า อย่านะ ผมต้องพาแม่ไป-- ข ขอเวลาอีกหน่อยเถอะนะ’
คังวูจินเมินเฉย
“หุบปาก นี่มันเวลาของฉัน”
พนักงานห้องดับจิตที่เบิกตาโพลง พูดตะกุกตะกัก
“คะ ครับ? อะไรนะครับ”
วูจินลุกขึ้นยืนปัดชุดทหารราวกับมันเปรอะเปื้อน ก่อนจะจ้องเขม็งไปที่พนักงาน
“เอาผ้าคลุมมาคลุมสิ”
“...”
‘ทำไมพูดไม่รู้เรื่อง’ คังวูจินคว้าผ้าคลุมสีขาวที่หลุดลงมาปิดร่างอย่างหยาบโลน เขาไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ในสถานที่น่าขยะแขยงนี่อีกต่อไป คังวูจินหันหลังเดินออกจากห้องดับจิตทันที
พนักงานมองตามแผ่นหลังของเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“อะไรกัน อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแบบนี้...”
คังวูจินตรงดิ่งไปยังห้องน้ำทันที ไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ เขาเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เสียงของตัวตนที่ขลาดเขลาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
‘น นายจะทำอะไร’
“หุบปากน่า ดูซะก่อน...”
คังวูจินใช้นิ้วเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อเจอสิ่งที่ต้องการ รอยยิ้มที่น่ากลัวผุดขึ้นที่มุมปาก
“หึ ๆ อีสารเลวนี่ ได้เงินประกันเท่าไหร่กันนะ”
‘สิบโทจินซอนชอล’ ไม่ได้มีแค่คนเดียว
•
•
•
•
•
•
บรรยากาศภายในห้องอ่านบทที่อัดแน่นไปด้วยนักแสดงชื่อดังและทีมงานกว่าร้อยชีวิต เต็มไปด้วยความร้อนระอุ ทั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้น รวมถึงสมาธิที่จดจ่ออยู่กับบทบาทที่ได้รับ ทุกคนต่างหายใจแรงขึ้นเมื่อต้องเจอกับบทพูดสุดหินและการแสดงที่ท้าทาย
ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนั้น ‘สิบโทจินซอนชอล’ ปรากฏตัวขึ้นตรงกลางห้อง
ไม่สิ นั่นคือการแสดงของคังวูจินต่างหาก
“หึ ๆ อีสารเลวนี่ ได้เงินประกันเท่าไหร่กันนะ”
การปรากฏตัวครั้งแรกของ ‘สิบโทจินซอนชอล’ สร้างความกดดันให้กับทุกคนในห้องราวกับนักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ได้เพียงครึ่งปีผู้นี้สามารถปิดปากทุกคนได้อยู่หมัด
ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“...”
“...”
“...”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่นักแสดงหน้าใหม่เพียงคนเดียวในห้องทุกคนต่างนั่งตัวตรงขึ้นคังวูจินนักแสดงหน้าใหม่คนนี้สามารถเปลี่ยนท่าทีของเหล่าบุคคลชั้นนำในวงการได้
และมันก็สมเหตุสมผลแล้ว
ไม่เว้นแม้แต่ผู้กำกับควอนกีแท็กที่นั่งอยู่บนหัวโต๊ะ
‘เหมือนไม่ใช่คนเดียวกันเลยสักนิด’
รยูจองมิน ฮายูรา และนักแสดงคนอื่น ๆ รวมถึงทีมงานอีกกว่าร้อยชีวิตต่างก็มองเห็นว่าคังวูจินคือคน ๆ เดียวกันกับ ‘สิบโทจินซอนชอล’ ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
-[บทสิบโทจินซอนชอล / คุณคังวูจิน]
มันราวกับว่าเขามีสองบุคลิกในร่างเดียว
จบ