MDB ตอนที่ 499 จิตวิญญาณแห่งภาพวาด
การใช้น้ำหมึกจักรวาลเป็นด้ายทำให้เข็มสามารถปักตราประทับบนแขนเสื้อของหลินจินได้สำเร็จ
หลังจากเปิดใช้งาน หลินจินก็รับรู้ถึงพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ ซึ่งมีขนาดเท่ากับห้องกว้างหนึ่งห้อง ตามที่ผู้ประเมินซูได้กล่าวไว้
เขาใช้แขนปัดม้านั่งหินข้างตัวหายไป จากนั้น ม้านั่งก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้น้ำหมึกจักรวาลดูเหมือนว่าจะเล็กลงเล็กน้อยกว่าเมื่อก่อน แต่เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับวาดภาพหนึ่งภาพ
หลินจินยังคงยึดมั่นในข้อตกลง เขาบอกให้ผู้ประเมินซูรอเขาก่อน จากนั้น เขาก็กระดาษออกมาเพื่อจดบันทึกวิธีการฝึกฝนของเทคนิคการค้นหาชีพจร โดยเนื้อหาของมันมีความยาวหลายพันตัวอักษร และหลินจินใช้เวลาสองชั่วโมงในการถอดข้อความ
ทันทีที่เขาเขียนเสร็จ เขาก็ส่งมันให้ซูเสี่ยวหลัว
ราวกับว่าเขาเพิ่งได้รับสมบัติล้ำค่า เขาเริ่มอ่านคู่มือทันที ตอนนี้ข้างนอกเริ่มดึกแล้ว หลินจินครุ่นคิดก่อนจะถามว่า
“ผู้ประเมินซู ชื่อเต็มของคุณคือซูเสี่ยวหลัวใช่หรือไม่?”
ซูเสี่ยวหลัวตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“เจ้ารู้แล้วงั้นเหรอ?”
หลินจินพยักหน้า เขาเพิ่งทราบชื่อของอีกฝ่าย เมื่อตอนที่พวกเขาถูกส่งตัวไปยังชั้นสี่ของศาลาประเมินอสูรเมื่อก่อนหน้านี้ แผ่นป้ายที่แขวนอยู่เหนือภาพวาดที่เขาเห็น มันเขียนๆว้ว่า
'ซูเสี่ยวหลัว'
หลินจินจึงคิดว่านั่นต้องเป็นภาพวาดของเขา
“มีเด็กผู้หญิงสวมชุดคลุมสีเขียวอยู่ในภาพวาด เธอเป็นใคร? ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่?” หลินจินถามอีกครั้ง
คำถามนี้เกิดจากความอยากรู้ล้วน ๆ เพราะหลินจินมั่นใจว่าเธอเป็นนักเรียนหญิงที่เข้าฟังการบรรยายของเขาสองวันติด นิสัยชอบหายตัวไป และโผล่มาอีกครั้งของเธอช่างคล้ายกับซูเสี่ยวหลัวไม่มีผิด
“นั่นคือข้าเอง” ซูเสี่ยวหลัวยอมรับอย่างว่าง่าย
รอยยิ้มของหลินจินเริ่มแข็งทื่อในทันใด
เขาไม่ได้คาดหวังคำตอบนี้
ไม่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าไม่เชื่อข้าอย่างงั้นเหรอ?” ซูเสี่ยวหลัวเงยหน้าจากคู่มือขึ้นมามองหลินจิน จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวก่อนจะหายวับไปในอากาศ ไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กสาวในชุดคลุมสีเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ เธอถือคู่มือเทคนิคค้นหาชีพจรที่หลินจินเพิ่งส่งไปให้ซูเสี่ยวหลัวเมื่อกี้นี้
“ตอนนี้เจ้าเชื่อข้าแล้วหรือยัง?” หญิงสาวชุดเขียวยิ้ม รูปร่างของเธอช่างงดงามจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่มีความสามารถที่จะชื่นชมความงามของเธอได้ เหงื่อเย็นเริ่มปกคลุมหน้าผากของเขาขณะที่เขาครุ่นคิด
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?’
‘เขาต้องไม่ใช่มนุษย์แน่นอน’
‘มนุษย์ไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนเพศ และอายุได้ตามใจชอบ แต่เขาไม่ใช่สัตว์ปีศาจเช่นกัน หากเป็นเช่นนั้น พิพิธภัณฑ์ควรจะถูกเปิดขึ้นเมื่อฉันได้สัมผัสตัวเขาก่อนหน้านี้’
หลินจินรู้สึกสนใจกับการค้นพบใหม่นี้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของเขาอย่างไรดี
ในทางกลับกัน ซูเสี่ยวหลัวดูสบายใจเป็นอย่างมาก เมื่อเธออยู่ในร่างของชายชรา เธอต้องแสดงกิริยาให้เหมาะสม แต่ตอนนี้ที่เธออยู่ในร่างเด็กสาวแล้ว เธอจึงดูผ่อนคลายมากขึ้น บางทีนี่อาจเป็นซูเสี่ยวหลัวตัวจริง
หลังจากพิจารณาอยู่นาน หลินจินคิดว่าเขาจะถามเธอแบบเปิดเผย
น่าแปลกที่ซูเสี่ยวหลัวไม่ได้พยายามปิดบังอะไร ในขณะที่เธอกำลังจดจ่ออยู่กับเทคนิคการหาชีพจร เธอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“ผู้ประเมินหลิน สัญชาตญาณของเจ้านั้นถูกต้อง ข้าไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์ปีศาจ เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่สถาบันฯสร้างศาลาประเมินอสูร ยอดฝีมือได้พักค้างคืนในหอคอยเพื่อวาดภาพและทิ้งมันไว้ที่นั่น และข้าคือจิตวิญญาณในภาพวาดอันนั้น”
ซูเสี่ยวหลัวพูดจาด้วยท่าทีที่ไร้ความกังวล แต่คำพูดของเธอกลับกระทบหูของหลินจินราวกับสายฟ้าฟาด
‘จิตวิญญาณในภาพวาด’
เธอควรได้รับการจัดประเภทเป็นภูตไม่ใช่หรือ? อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่เคยพบเจอพวกภูตมาก่อน
“ตราบใดที่ภาพวาดยังมีภาพเหมือน ข้าก็สามารถยืมร่างกายนั้นมาใช้ได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจิตวิญญาณของข้าปรากฎขึ้นครั้งแรกในภาพเหมือนของผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าสีเขียวนี้ บุคลิกภาพของข้าจึงได้รับการหล่อหลอมจากสิ่งที่จิตรกรพยายามถ่ายทอดในตอนนั้นออกมา”
จากนั้น ซูเสี่ยวหลัวก็ยกนิ้วสามนิ้วขึ้น
“ภาพวาดมีภาพเหมือนทั้งหมดสามภาพ เจ้าได้พบกับภาพแรก ซึ่งเป็นชายชรา ส่วนตัวข้าเป็นภาพที่สอง และภาพที่สามเป็นชายหนุ่ม ข้าสามารถเลือกรูปลักษณ์ใดก็ได้ตามใจชอบ
ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายมาก ข้าจึงเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับการประเมินสัตว์วิเศษ ซึ่งศาลาประเมินอสูรมีหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อนี้มากมาย และข้าก็อ่านพวกมันมาหมดแล้ว”
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทักษะการประเมินของซูเสี่ยวหลัวจะล้ำลึกขนาดนั้น ด้วยการศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลาห้าร้อยปี มันจึงไม่แปลกที่เธอจะมีความรู้ที่หยั่งรากลึกเช่นนี้
ต่อมา หลินจินได้พบว่าซูเสี่ยวหลัวได้มอบคุณสมบัติสำหรับผู้ประเมินระดับห้าให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอแล้ว เธอก็มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งนั้นจริง ๆ
นอกจากนี้ ชื่อ ‘ซูเสี่ยวหลัว’ ก็เป็นชื่อที่เธอตั้งให้กับตัวเอง เธอเป็นคนเขียนชื่อของเธอลงบนแผ่นโลหะเหนือภาพวาด
นับเป็นครั้งแรกที่หลินจินได้สัมผัสกับจิตวิญญาณแห่งภาพวาด และเขาพบว่ามันช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่าภาพวาดจะสามารถได้รับการตื่นรู้ทางสติปัญญาได้ด้วย
หลินจินนึกถึงภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์ขึ้นมาทันที
ภาพวาดนั้นเต็มไปด้วยสติปัญญาทางจิตวิญญาณ ซึ่งท้ายที่สุดก็สร้างโลกอีกใบขึ้นมา แต่ที่จริงแล้วมันเป็นที่หลบภัยของตู้หลี่ ผู้อมตะ
ตอนนั้นหลินจินไม่ได้สำรวจภาพฉายเทพนิรมิตนิรันดร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน ดังนั้นจิตวิญญาณแห่งการวาดภาพจึงน่าจะถือกำเนิดอยู่ภายในนั้น
ในอีกไม่กี่วันถัดมา หลินจินก็สอนตามปกติ วันของเขาเป็นไปอย่างราบรื่นจนน่าประหลาดใจ นอกจากการสอนแล้ว ซูเสี่ยวหลัวยังมาหาเขาเพื่อพูดคุยทุกวัน พวกเขาจะแข่งขันกันประเมินความรู้หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการฝึกฝน
ตามความเข้าใจของซูเสี่ยวหลัวกับหลินจิน ตอนนี้ทั้งคู่ถือเป็นเพื่อนกันแล้ว
ซูเสี่ยวหลัวบอกหลินจินว่าเขาคือเพื่อนคนแรกของเธอ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็ถามเธอว่ามีใครในสถาบันฯที่รู้จักเธออีกหรือไม่?
ซูเสี่ยวหลัวส่ายหัว
เธอเล่าว่าเคยรู้จักอาจารย์ประจำศาลาประเมินอสูรคนก่อน ซึ่งเขาเคยทำหน้าที่เฝ้าศาลาประเมินอสูรในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมา แต่พวกเขาก็ปฏิบัติต่อเธอด้วยความเคารพและนับถือเสมอ เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว เธอรู้สึกสบายใจกว่ามากเมื่อได้พูดคุยกับหลินจิน
สาเหตุที่เธอไม่มีเพื่อน ส่วนใหญ่เป็นเพราะความรู้และทักษะของเธอ นั่นจึงทำให้อาจารย์ในศาลาประเมินอสูรหลายคนนับถือเธอในฐานะอาจารย์ และผลของความนับถือที่มากเกินไปของพวกเขา มันเป็นเหตุผลของความรู้สึกห่างเหินอย่างทุกวันนี้
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแทบทุกคนในสถาบันฯไม่รู้เรื่องการมีอยู่ของซูเสี่ยวหลัว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่มีใครรู้จักอาจารย์ซูหลังจากที่หลินจินพยายามสอบถามจากคนรอบข้าง
จากการสังเกตของหลินจิน บุคลิกของซูเสี่ยวหลัวค่อนข้างเข้าใจง่าย แม้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่มาห้าศตวรรษแล้ว ก่อนหน้านี้ เธอดูน่ากลัวเล็กน้อยเมื่อแสดงท่าทางเหมือนชายชรา
อย่างไรก็ตาม ซูเสี่ยวหลัวมีนิสัยค่อนข้างตรงไปตรงมา เธอไม่เคยพูดอ้อมค้อมหรือพยายามปกปิดสิ่งที่อยู่ในใจของเธอ
แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าเธอไร้เดียงสาเหมือนเด็ก และเธอไม่ได้มองข้ามธรรมชาติดั้งเดิมของผู้ชายบางคน
วันนี้หลังจากที่หลินจินเดินไปส่งนักเรียนของเขาที่หน้าประตูบ้าน เขาก็ได้ไปประชันความรู้กับซูเสี่ยวหลัวอีกครั้ง
การถกเถียงของพวกเขาครั้งนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการฝึกฝนสัตว์วิเศษเช่นเคย
บุคคลทั้งสองคนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับแนวคิดบางประการ ดังนั้น สิ่งที่เริ่มต้นเป็นการถกเถียงจึงการเป็นเรื่องตามปกติ
แต่จู่ ๆ ก็มีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด ซูเสี่ยวหลัวจึงเงียบไป และชักสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว ดวงดาวบนท้องฟ้าก็หายไป สิ่งที่เข้ามาในสายตาของเธอคือความมืดมิด ราวกับว่าท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆสีดำ พร้อมกับแสงจันทร์ส่องสว่าง
แม้แต่แสงเทียนในเรือนดอกท้อยังหรี่ลงอย่างมาก
“จักรวาลกำลังแสดงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง มีคนเพิ่งร่ายมนตร์คาถาบางอย่างรอบตัวเรา”
ซูเสี่ยวหลัวสรุปด้วยการสังเกตอันเฉียบแหลมของเธอ
หลินจินเองก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเช่นกัน
'นี่อาจเป็นทักษะที่แตกต่างกัน แต่ให้ผลลัพธ์มีคล้ายคลึงกับค่ายกลละอองเมฆา' เขาคิด
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพวกเขาอยู่ในสถาบันเกลียวสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เขาตื่นตัวอย่างแน่นอน หลินจินลุกขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ แต่เมื่อเขาหันกลับไป ซูเสี่ยวหลัวก็หายตัวไปแล้ว
ไม่เพียงแต่เธอจะหายไปจากสายตาของเขาเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวเขายังมืดสนิทอีกด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง หลินจินได้เข้าสู่ความว่างเปล่า เขาไม่สามารถได้ยินเสียงสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านหูของเขาเลย ในทางกลับกัน เขากลับได้ยินเพียงความเงียบงัน หลินจินตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน...