84 - ข้าช่วยเจ้าขัดตัว
84 - ข้าช่วยเจ้าขัดตัว
“ลูกไม่กล้า ลูกเสียสติไปชั่วขณะ เหมือนถูกภูตผีโดนใจ พระบิดาโปรดประทานอภัยด้วย!”
ไท่จื่อตกใจพร้อมกับโขกศรีษะจนหน้าผากแตก
หลี่เยว่เมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงขอร้องด้วย “พระบิดา ไท่จื่อไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ในชีวิตของผู้คนยากที่จะไม่ทำความผิดสักครั้ง? พระบิดามักสอนเราเสมอว่าหากทำผิดต้องรู้จักแก้ไข ตอนนี้ไท่จื่อสำนึกผิดแล้ว พระบิดาโปรดพระราชทานอภัยโทษ!”
เกาซื่อเหลียนเองก็ช่วยขอร้อง “ฝ่าบาทไท่จื่อยังเยาว์วัย ถูกคนร้ายยุยง ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณา!”
แม้แต่ฉินโม่เองก็รู้สึกตกตะลึงกับคำพูดของหลี่ซิน
นี่ไม่กลัวตายกันจริงๆหรือ!
อย่างไรก็ตาม คำพูดของหลี่ซินแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่พอใจหลี่ซื่อหลงอย่างมาก
มันก็ไม่แปลก หลี่ซินตอนนี้อายุยี่สิบแล้ว ขณะที่หลี่ซื่อหลงยังอยู่ในวัยรุ่งเรือง บิดาและบุตรมีอายุห่างกันไม่ถึงสามสิบปี หลี่ซื่อหลงมีพรรคพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เขาอาจจะยังคงนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้อยู่ไม่ต่ำกว่าสามสี่สิบปี หากหลี่ซื่อหลงอายุยืนยาว หลี่ซินอาจเสียชีวิตก่อนได้เป็นฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
ด้วยพฤติกรรมของหลี่ซินที่แสดงออกมาในตอนนี้จะให้ฮ่องเต้คิดเห็นอย่างไร?
ฉินโม่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนรีบคุกเข่าลง “ท่านพ่อตา อย่ากริ้วท่านลุงเลย ข้าเชื่อว่าพวกกงซุนหมวกเขียวพวกนั้นต้องยุยงท่านลุง ข้าไม่อยากให้ท่านลุงต้องขอโทษแล้ว แค่ให้เขาชดใช้ข้าก็พอ
ร้านไห่ตี้เหลาของข้าทำเงินได้หนึ่งหมื่นเก้าพันตำลึงเมื่อวาน วันนี้คงได้อีกเกินสองหมื่นตำลึง ให้ท่านลุงชดใช้ข้าสองหมื่นตำลึงก็พอแล้ว!”
บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เปลี่ยนเป็นตลกขบขันทันที
“เจ้าโง่หยุดพูดได้แล้ว ข้ากำลังสั่งสอนไท่จื่อ นี่มันเรื่องของเจ้าหรือ สติของเจ้าคงลุ่มหลงไปกับเงินทองจนหมด?”
หลี่ซื่อหลงยกมือขึ้นทำท่าจะเคาะหัวฉินโม่ แต่เมื่อเห็นสภาพน่าสงสารของบุตรเขย จึงเปลี่ยนใจตบเบาๆ แทน
แต่ใครจะคิดว่าทันทีที่ตบเบาๆ ไป ฉินโม่ก็เริ่มโอดครวญขึ้นมา “ข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อตา อย่าตีข้า อย่าฆ่าข้า!”
หลี่ซื่อหลงถึงกับหมดคำพูด
ตอนแรกเขาตั้งใจจะสั่งสอนหลี่ซินอย่างจริงจัง แต่เมื่อฉินโม่เข้ามาก่อกวน บรรยากาศในการสั่งสอนก็เสื่อมสลายไปหมด
นอกจากนี้ เขายังตระหนักถึงคำพูดที่หลุดออกไปเมื่อครู่ หากเรื่องนี้แพร่กระจายไป มันจะส่งผลกระทบมหาศาล
“ดูผลงานของเจ้า!”
หลี่ซื่อหลงมองหลี่ซินด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าทำร้ายน้องเขยของตัวเองจนอยู่ในสภาพนี้แล้ว!”
หลี่ซินก้มหน้าลง แต่ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แค่เพียงชั่วพริบตา เขาที่เคยหวาดกลัวก็เต็มไปด้วยความเครียดแค้นอย่างหนัก
ท้ายที่สุดก็เพราะเขาอ่อนแอเกินไป
เขาต้องอดทน รอวันที่แข็งแกร่งพอถึงจะลงมือโจมตีครั้งสุดท้ายได้!
“พระบิดา ลูกไม่ควรฟังคำของขุนนางชั่วเช่นเฉินว่านชิง จนทำให้คุณนางผู้ซื่อสัตย์ต้องได้รับความเจ็บปวด!”
ขณะกล่าว เขาหันไปมองฉินโม่ด้วยความรู้สึกผิด “ฉินโม่ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรตีเจ้า หากเจ้ายังโกรธอยู่ เจ้าตีข้าคืนได้ ข้าจะไม่โกรธเลยสักนิด!”
ฉินโม่ยิ้มแห้งๆ และเกาหัว “ท่านลุง เราทุกคนเป็นคนในครอบครัว จะมาตีกันทำไม? อีกอย่าง ท่านเป็นถึงไท่จื่อ เป็นตัวแทนของอาณาจักรต้าเฉียน การที่ข้าตีท่านก็เหมือนกับตีอาณาจักร หรือกระทั่งตีท่านพ่อตาด้วย!”
แต่ในใจเขากลับคิดว่า หลี่ซินเป็นคนที่รู้จักปรับตัวได้ดีมาก
ความแค้นนี้ถูกก่อขึ้นแล้ว เขาไม่คิดว่าไท่จื่อจะยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ
ประวัติศาสตร์ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด การตอบแทนบุญคุณไม่แน่ว่าจะเกิดขึ้น แต่การล้างแค้นจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพื่อความปลอดภัยในอนาคต ฉินโม่จึงตัดสินใจจะดึงหลี่ซินลงจากอำนาจ และสนับสนุนหลี่เยว่ขึ้นมาแทน
เขามองไปที่หลี่เยว่ แม้เจ้าคนนี้จะดูขี้ขลาด แต่นี่เป็นพี่น้องที่มีน้ำใจสามารถพึ่งพาได้อย่างแน่นอน
ถ้ามีหลี่เยว่คุ้มครองเขา อนาคตก็จะใช้ชีวิตภายในตาเฉียนได้อย่างราบรื่น
แต่การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการแย่งชิงอำนาจของราชสำนัก หากพลาดพลั้งแม้เพียงเล็กน้อยอาจจะประสบกับความวิบัติได้เลย
แต่ถ้าไม่ยุ่งเกี่ยว ตอนหลี่ซินขึ้นครองอำนาจ เขาต้องตายโดยไม่อ่านหลีกเลี่ยง
ฉินโม่ที่ศึกษาประวัติศาสตร์มาอย่างเชี่ยวชาญรู้ดีว่ามีเพียงการลงมือก่อนจึงจะป้องกันเรื่องเลวร้ายได้!
หลี่ซื่อหลงแค่นเสียงอย่างเย็นชา "ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง!"
หลี่ซินยังคงคุกเข่ากับพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา
“พวกเจ้า นำตัวฉินโม่ออกไป ให้หมอหลวงรักษา คืนนี้พักที่ตำหนักอันหนาน หลี่เยว่ เจ้าดูแลฉินโม่ด้วย!”
หลี่เยว่ตกใจทันที ขุนนางที่ไม่ใช่พระราชโอรสกลับจะได้พักในวัง?
แม้ไม่รู้ว่าราชวงศ์อื่นเป็นอย่างไร แต่สำหรับต้าเฉียน นี่เป็นกรณีแรก
เขารีบก้าวไปข้างหน้า “ลูกรับพระบัญชา!”
หลี่ซินในใจยิ่งโกรธเคืองมากขึ้น นี่เป็นการมอบพระมหากรุณาธิคุณให้ฉินโม่ อีกทั้งยังทำให้คนอื่นเห็นถึงพระเมตตาด้วย
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งเกลียดชัง
ในตอนแรก เขาแค่อยากใช้ฉินโม่เป็นเครื่องมือในการโจมตีหลี่เยว่ หวังว่าบางทีอาจดึงตัวฉินเซียงหรูเข้ามาเป็นพวกได้
แต่เรื่องราวกลับเกินความคาดหมายของเขาไปหมด
หลี่ซื่อหลงกวาดตามองทุกคน “เรื่องในวันนี้ ใครกล้าพูดออกไปแม้แต่คำเดียว ข้าจะประหารเก้าชั่วโคตร!”
พลังอำนาจอันหนักหน่วงทำให้ทุกคนไม่กล้าพูดอะไร
ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก นอกจากพวกเขาไม่ต้องการชีวิตอีกต่อไป
ฉินโม่มองหลี่ซื่อหลง ดูท่าว่าท่านพ่อตาจะมีความคาดหวังต่อหลี่ซินอยู่ไม่น้อย
การจะโค่นหลี่ซินนั้นไม่ง่ายเลย
ในฐานะไท่จื่อ การปลดเขาออกจากตำแหน่งเป็นเรื่องยากมาก ต้องหาวิธีอื่น
ฉินโม่ถูกทหารยกตัวไปยังตำหนักอันหนาน หมอหลวงเข้ามาทายาให้ “ราชบุตรเขยฉิน เป็นเพียงบาดแผลภายนอก ไม่ถึงกระดูก พักฟื้นสองวันก็หายดีแล้ว”
เมื่อหมอหลวงออกไป หลี่เยว่ก็กล่าวด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษนะเจ้าโง่!”
ฉินโม่ที่นอนอยู่บนเตียงกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย “พอเถอะ เลิกเสแสร้งได้แล้ว เจ้าส่งคนไปบอกที่บ้านข้าด้วยว่าข้าปลอดภัยดีก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นคืนนี้บ้านข้าคงนอนไม่หลับกันหมดแน่”
หลี่เยว่ดูเวลา ยังไม่ถึงเวลาปิดประตูวัง จึงรีบส่งคนไปแจ้งข่าวความปลอดภัย
“ตำหนักอันหนานของเจ้าไม่มีผู้หญิงอยู่สักคนเลยหรือ?”
ฉินโม่รู้สึกหงุดหงิด “ไม่ใช่ว่าในวังนี้มีสาวงามมากมาย?”
มองไปรอบๆ มีแต่ขันทีทุกซอกทุกมุม
หลี่เยว่หัวเราะขมขื่น “ก็เพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่น่ะสิ!”
ฉินโม่ก็เข้าใจทันที หลี่เยว่ถึงจะเป็นโอรสก็ยังต้องมีนางกำนัลคอยดูแล บางครั้งถ้าอยากสนองความต้องการก็คงจะพึ่งนางกำนัล
แต่ฉินโม่ไม่ใช่คนในราชวงศ์ หากทำอะไรเช่นนี้ในวังคงถือเป็นความผิดใหญ่ แถมยังเสี่ยงถูกลงโทษ
“ข้าสั่งให้เตรียมน้ำไว้แล้ว เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าขัดตัว!”
“โว้ย! ไสหัวไป!”
ฉินโม่รีบลุกจากเตียง “ข้าเห็นเจ้าดั่งสหาย แต่เจ้ากลับคิดชั่วร้ายกับข้า?”
หลี่เยว่ถึงกับอึ้ง แล้วหัวเราะทั้งโกรธทั้งขำ “เลิกพูดแบบนี้เถอะ ข้าจะอาเจียนแล้ว! ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าขยับตัวไม่สะดวก ข้าจะไม่ช่วยแน่นอน!”
“ไม่ต้อง! ข้าขยับตัวสะดวกมาก!”
ฉินโม่ลุกขึ้นยืน แถมยังโดดได้ด้วย
หลี่เยว่ตะลึง จากนั้นก็มองเขาอย่างเจ้าเล่ห์ “เจ้าโง่ เจ้ากล้าหรอกแม้กระทั่งพระบิดา”
ฉินโม่ทำหน้าซื่อ “เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจสักนิด”
หลี่เยว่ไม่ได้ซักไซ้ต่อ กลับมองเขาอย่างจริงจัง “เจ้าโง่ เจ้านี่ทำให้ข้าต้องทึ่งจริงๆ บอกข้ามาตรงๆ เถอะ ที่เจ้าบอกกับพระบิดาว่าเมื่อวานนี้ทำเงินได้หนึ่งหมื่นเก้าพันตำลึงน่ะ จริงหรือ?”
ฉินโม่มองหลี่เยว่ด้วยสายตาดูถูก “พี่ชายจะโกหกเจ้าไปทำไม? ถ้าท่านลุงไม่มาหาเรื่องเกรงว่าวันนี้คงทำเงินได้กว่าสามหมื่นตำลึงแล้ว!”
…………..