บทที่ 679 การกลับมาอย่างแข็งแกร่ง!
นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่แม่ทัพคนที่สามส่งน้ำท่วมทับสำนักมั่วไถจนทำให้สำนักอยู่ในความหวาดกลัวตลอดมา
แม้ว่าทั้งเนี่ยหยวนจือและจางเหลียงจะยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเรื่องราวได้จบลงแล้และวิกฤตได้ผ่านพ้นไปแต่ศิษย์ในสำนักก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่คือแม่ทัพ!
ผู้ปกครองตัวจริงของผิงตูโจว
นับตั้งแต่มีบันทึกประวัติศาสตร์ของผิงตูโจว ก็มีเพียงเจี้ยนฉือฉีเท่านั้นที่เคยท้าทายอำนาจของแม่ทัพได้สำเร็จ เขาสามารถฝ่าด่านและบรรลุขั้นเปลี่ยนจิตไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังทำให้สำนักที่เขาสังกัดกลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้น
แต่ถึงกระนั้นสิ่งดีๆก็ไม่ได้คงอยู่ยาวนาน
ตำนานของเจี้ยนฉือฉีได้จางหายไปในประวัติศาสตร์แล้ว
แต่ทว่ากองกำลังของแม่ทัพยังคงควบคุมผิงตูโจวทั้งหมดได้อย่างแข็งแกร่ง
ศิษย์ในสำนักมั่วไถยังคงเชื่อมั่นในสำนัก เชื่อมั่นในเจ้าสำนัก แต่หลังจากที่ไม่มีข่าวคราวใดๆมานานกว่าครึ่งเดือนพวกเขาก็เริ่มรู้สึกกังวลและสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ
ความหวาดกลัวเริ่มแพร่กระจายในสำนัก เริ่มจากพวกชาวนาวิญญาณที่อยู่บริเวณตีนเขาพวกเขาซึ่งเคยตั้งใจจะเริ่มต้นใหม่กลับเลือกที่จะหาทางไปที่อื่นแทน
บางคนหอบสัมภาระและออกเดินทาง
บางคนเดินทางไกลไปยังดินแดนอื่น...
และสำนักที่พวกเขาเลือกฝากตัวก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลนั่นคือสำนักเซียนอู่ซึ่งอยู่ใกล้สำนักมั่วไถที่สุด!
“ท่านสหายเหอ สหายโจว สหายข่งก็ออกไปหมดแล้ว พวกเราจะไม่ออกไปบ้างหรือ?” หมิงเฉินถามขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
เหอจือผิงเดินไปมาเขากับหมิงเฉินได้สูญเสียคู่ชีวิตไปในภัยพิบัติครั้งนั้น
ตอนนี้เมื่อพวกเขากลายเป็นคนไร้ที่พึ่งก็ไม่มีสิ่งใดที่ยึดเหนี่ยวพวกเขาไว้แล้ว
เดิมทีสำนักมั่วไถก็นับว่าเป็นที่พักพิงที่ดี
มีพื้นที่ให้ทำการเพาะปลูก มีหินวิญญาณแจกจ่าย พวกเขายังบรรลุขั้นสร้างรากฐานซึ่งพวกเขาไม่เคยกล้าฝันถึงมาก่อน
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ตามเหตุผลพวกเขาควรจะออกจากที่นี่เหมือนกับชาวนาวิญญาณคนอื่นๆ เพื่อหาทางใหม่
แต่เหอจือผิงกลับลังเลไม่สามารถตัดสินใจได้เสียที
“ข้าว่า...”
“ท่านว่ากระไร?” หมิงเฉินถามอย่างร้อนรน
“ข้าว่าเจ้าสำนักของเรามีฝีมือและความสามารถใหญ่หลวงแน่เขาจะต้องหาทางออกได้แน่ๆ”
“แต่เราล่วงเกินแม่ทัพไปแล้วนะ”
เหอจือผิงครุ่นคิดและพูดว่า
“เจ้าคิดดูสิ แม่ทัพเป็นใคร? พวกเขาจะยอมให้สำนักอื่นมาท้าทายหรือ?แต่ดูสิเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วพวกเรายังปลอดภัยดีอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“แต่... หรือว่าท่านเจ้าสำนักอาจจะ...”
“เป็นไปไม่ได้! เจ้าเห็นไหมว่าผู้อาวุโสของสำนักยังอยู่หรือไม่? ข้าเพิ่งเห็นพญางูเพลิงเมื่อวานนี้เอง”
เหอจือผิงพูดด้วยความเชื่อมั่นแน่ชัดว่าเขากำลังให้กำลังใจทั้งตัวเองและหมิงเฉิน
“ท่านหมายความว่าเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือ?” หมิงเฉินถามด้วยความลังเล
“ใช่!” เหอจือผิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“เจ้าสำนักของเราจะต้องกลับมาในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ สำนักมั่วไถของเราจะไม่มีทางเป็นเหมือนสำนักชิงหยางที่ถูกทำลาย”
หมิงเฉินฟังแล้วรู้สึกฮึกเหิม “ใช่แล้ว! อย่างน้อยพวกเราก็ต้องเก่งกว่าเฉินโม่ (陈墨) แน่ๆ!”
“ถูกต้อง!”
แม้ชาวนาวิญญาณในสำนักมั่วไถส่วนใหญ่จะจากไปแล้ว แต่เหอจือผิงและหมิงเฉินกลับเลือกที่จะอยู่ต่อ
บนยอดเขามั่วไถ
ฉินซีนั่งเหม่ออยู่ตรงปลายทุ่งนาใบหน้าของเขาดูห่อเหี่ยว
นับตั้งแต่เข้ามาในสำนัก เขาได้คลุกคลีอยู่กับพืชวิญญาณทุกวัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้พัฒนาพืชวิญญาณธรรมดาหลายชนิดแม้จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ แต่ก็ช่วยสำนักได้ไม่น้อย
แต่แล้วน้ำท่วมก็ได้ทำลายพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดของสำนักมั่วไถ
นั่นทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง
อาจารย์ของเขาหายไปนานกว่าครึ่งเดือนราวกับว่าทั้งสำนักไม่มีเสาหลักอีกต่อไป
ฉินซีปลูกข้าววิญญาณลายไม้บนพื้นที่เจ็ดถึงแปดไร่ เมล็ดพันธุ์ถูกหว่านไปแล้วแต่ยังไม่งอกและเขาก็เริ่มรู้สึกว่างเปล่า
ในบรรดาศิษย์รุ่นที่สามของสำนักมั่วไถจวงฉางซือเป็นคนแรกที่บรรลุขั้นทอง ตอนนี้นางนอกจากจะฝึกฝนวิชาแล้ว ยังมักจะอยู่เคียงข้างฉินซีเสมอหากไม่ใช่เพราะนางช่วยไว้ตอนนั้น ศิษย์คนนี้ของท่านเจ้าสำนักคงตายไปแล้วในเหตุการณ์น้ำท่วม
พวกเขามาจากที่เดียวกัน
หลังจากอยู่ด้วยกันมานานความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เริ่มพัฒนาเป็นความรัก
เดิมทีฉินซีวางแผนจะเลือกวันดีๆเพื่อขอเจ้าสำนักและแต่งงานกับจวงฉางซือ
แต่เหตุการณ์น้ำท่วมกลับทำลายอนาคตของสำนักมั่วไถและดับความหวังของพวกเขาไปด้วย
“ท่านเจ้าสำนักปิดด่านจริงๆหรือ?” จวงฉางซือที่เพิ่งฝึกเสร็จเดินมานั่งข้างๆเขาเอียงศีรษะพิงเขาเบาๆแล้วถาม
“ผู้อาวุโสใหญ่บอกเช่นนั้น คงจะไม่ใช่เรื่องโกหกกระมัง?” ฉินซีตอบแต่เสียงของเขาดูไม่มั่นใจนัก
เขารู้ดีว่าท่านเจ้าสำนักให้ความสำคัญกับพืชวิญญาณมากแค่ไหน!
ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไกลแค่ไหน ท่านเจ้าสำนักจะมาดูแลไร่ด้วยตัวเองเสมอแต่ตอนนี้ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว ที่ดินของสำนักยังคงว่างเปล่าซึ่งทำให้เขาคิดฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลา
แม้จะถามผู้อาวุโสใหญ่หลายครั้ง ผู้อาวุโสก็บอกให้เขาวางใจว่าสำนักมั่วไถจะต้องดีขึ้น
แต่เขาจะวางใจได้อย่างไร?
หากท่านเจ้าสำนักไม่อยู่แล้ว สำนักยังจะเรียกว่าสำนักได้หรือ?
ฉินซีหันไปมองใบหน้าของจวงฉางซือที่ดูสง่างามแล้วพูดต่อว่า
“แต่ถ้าพวกเราไม่เชื่อในตัวท่านเจ้าสำนักแล้ว พวกเรายังสมควรเป็นศิษย์ของเขาอยู่หรือ?”
คำพูดนี้ทำให้จวงฉางซือรู้สึกสะท้านใจ
เพียงชั่วขณะเดียวความลังเลที่นางเคยมีก็ถูกแทนที่ด้วยความแน่วแน่!
นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นแล้วพูดว่า
“ถ้าแม่ทัพมาถามหาความผิด พวกเราก็จะขอตายในสำนักมั่วไถ!”
“ใช่แล้ว! พวกเราจะตายในสำนัก...”
“ตาย? ใครกล้าให้พวกเจ้าตาย?”
ก่อนที่ฉินซีจะพูดจบเสียงหนึ่งที่ดูราวกับผ่านมาจากกาลเวลาพุ่งตรงมาที่หูของเขา
หัวใจที่เคยเต็มไปด้วยความลังเลและสับสนพอได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ก็เริ่มเต้นรัวขึ้นทันที
ฉินซีลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หันไปมองสายฟ้าสีแดงที่พุ่งตรงเข้ามาโดยไม่รู้ตัวมือของเขากำแน่น หายใจแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
ในตอนนี้จวงฉางซือเองก็มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนางเช่นกัน
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือน แม้จะมีข่าวลือและคำสบประมาทมากมายในสำนักแต่ทั้งหมดก็หายไปทันทีที่เฉินโม่กลับมา
สายฟ้าสีแดงมาถึงในพริบตา
เฉินโม่กระโดดลงจากหลังสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ของเขา
พร้อมกันนั้นเสือแดงเพลิงและราชสีห์กวางโลหิตก็ยืนหยัดอยู่ข้างๆเขาราวกับราชาผู้กลับมา
ฉินซีมองไปยังเจ้าสำนักของเขา
แม้ภายนอกจะดูเหมือนเดิมแต่เขากลับรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่แตกต่างแต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้
เขาตื่นเต้นจนปากเผยอแต่ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
จนกระทั่งเฉินโม่เปิดปากพูดก่อนว่า
“ไปเชิญผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสของแต่ละหอมาพบข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง”
ฉินซีย่อตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งโดยไม่ลังเล
“ขอรับ ศิษย์จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“จวงฉางซือ เจ้าไปกับเขาเถอะ”
“รับคำบัญชา ท่านเจ้าสำนัก”
จวงฉางซือหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและรีบเดินตามฉินซีออกจากยอดเขามั่วไถไป
ในตอนนี้เจ้าไก่หัวแข็งก็กลับคืนสู่ร่างขนาดปกติและเดินไปยืนอยู่ข้างเฉินโม่อย่างสง่างาม
เหยี่ยวพายุและนกอินทรีขาวยังเกาะอยู่บนไหล่ของเขาอย่างไม่ยอมไปไหน
การเดินทางไปจงโจวครั้งนี้ เฉินโม่ได้ประโยชน์มาไม่น้อย
ยกเว้นเพียงแค่เจ้าทองที่ยังคงหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของเขา
เฉินโม่ตบไหล่เจ้าไก่หัวแข็งแล้วพูดว่า
“ข้ากลับมาแล้ว!”
(จบบท)