บทที่ 57: เราตาฝาดไปหรือไม่?
สตรีผู้นั้นจู่ ๆ ก็แสดงท่าทีตื่นเต้นเมื่อได้ยินชื่อของหลัวเซียวเซียว
“ท่านน้า ข้าจำเป็นจะต้องให้คนสกัดจุดของท่าน แต่ท่านอย่าร้องนะ ไม่อย่างนั้นคนของจวนตระกูลหลัวจะพบเข้า”
มู่ไป๋ไป่รู้ว่าหลัวเซียวเซียวอยู่ในวังหลวงมานานมาก ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่ของนางจะเป็นกังวลและอยากรู้ข่าวเกี่ยวกับนาง
“อืม!” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเป็นการตอบตกลง แต่เนื่องจากถูกสกัดจุดอยู่ร่างกายจึงแข็งทื่อ ถึงกระนั้นนางก็จะไม่ร้องเสียงดัง
ขณะนี้เด็กหญิงไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก มู่จวินฝานได้ออกคำสั่งให้องครักษ์ไปจัดการทันที
ปัจจุบันแม่หลัวเซียวเซียวเป็นอิสระแล้ว นางลองขยับปากพูดก่อนจะพบว่าตนกลับมาพูดได้ดังเดิม
จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ “คุณหนู ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าตอนนี้เซียวเซียวของเราอยู่ที่ไหน?”
ความหวังเดียวของคนเป็นแม่ที่นางมีต่อหลัวเซียวเซียวก็คือการที่ลูกสาวได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เปลือกตาขวาของนางกระตุกอยู่บ่อยครั้ง และนางก็มีลางสังหรณ์อยู่ตลอดว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“ตอนนี้นางเป็นแขกอยู่ที่จวนของข้า” มู่ไป๋ไป่ชะงักไปและเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับอีกฝ่าย “ก่อนหน้านี้นางได้ช่วยข้าไว้ และตอนนี้นางเป็นสหายของข้า อีกทั้งครอบครัวของข้าก็รักนางมาก”
“จริงหรือ?” แม่หลัวเซียวเซียวปาดน้ำตาพลางยิ้มอย่างมีความสุข “เป็นโชคดีของนางแล้ว เซียวเซียวโชคดีที่ได้พบคนดี ๆ เสียที”
“คุณหนู ข้าขอขอบคุณท่าน”
ในขณะที่พูดเช่นนั้นนางก็คุกเข่าลงคำนับให้กับมู่ไป๋ไป่และมู่จวินฝาน
“ท่านน้า ท่านรีบลุกขึ้นเถิด” มู่ไป๋ไป่รู้สึกทนไม่ไหวจึงรีบก้าวไปพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณเซียวเซียว ถ้าไม่มีนาง ข้าก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร”
แม่หลัวเซียวเซียวอยากจะพูดอะไรบางอย่างมากกว่านี้ แต่จู่ ๆ องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวเข้ามาแล้วเอ่ยปากว่า “นายท่าน มีคนกำลังมาทางนี้”
“ไป๋ไป่ ที่นี่ไม่เหมาะจะอยู่นาน” จากนั้นมู่จวินฝานก็อุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นมา “หากมีเรื่องต้องพูดคุยกัน กลับไปแล้วค่อยคุยกันเถอะ”
“ช้าก่อน!” คนตัวเล็กดิ้นเบา ๆ พร้อมกับหยิบบางสิ่งออกมาจากอกเสื้อของตัวเอง
“ท่านพี่ รับสิ่งนี้ไว้ หลัวเซียวเซียวบอกว่าตระกูลหลัวซื้อแม่ของนางมาด้วยเงิน 1 ตำลึง ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการเอาเปรียบใคร ตอนนี้นางมีเงินคืนให้พวกเขาร้อยเท่า แค่นี้ก็คงสมเหตุสมผลที่พวกเราจะพานางไป”
ภายใต้แสงจันทร์ มู่จวินฝานมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่นางถืออยู่ในมือเล็ก ๆ นั่นก็คือทองคำ 1 ก้อน
“ไป๋ไป่พูดถูก ราช— ตระกูลมู่ของเราเกลียดการเอาเปรียบผู้อื่น” เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างมีความสุข
เขารับทองคำที่แวววาวมาจากมือน้องสาวก่อนจะโยนออกไปอย่างไม่ใส่ใจ โดยที่มันไปตกอยู่บนโต๊ะในห้องของแม่หลัวเซียวเซียวพอดิบพอดี
แล้วการเดินทางจากจวนตระกูลหลัวไปจนถึงวังหลวงก็เป็นเวลาที่ท้องฟ้ากำลังสว่างขึ้น
แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่เธอกลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด ในทางกลับกัน เธอรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ขั้นแรกเธอได้สั่งให้คนมาจัดการเรื่องของแม่หลัวเซียวเซียว จากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปหาสหายตัวน้อยของตน
เนื่องจากอาการที่สาหัส หมอหลวงจึงได้อยู่เฝ้านางอยู่ตลอดทั้งคืน และได้ใช้สมุนไพรล้ำค่าทั้งหมดที่สามารถหามาได้ในช่วงเวลานั้น แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้กลับทำได้เพียงรักษาอาการให้ทรงตัวเท่านั้น
ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครรู้ว่านางจะตื่นขึ้นมาเมื่อใด
“เซียวเซียว ข้าพาแม่เจ้ากลับมาแล้ว” มู่ไป๋ไป่ขึ้นไปนอนอยู่ข้างเด็กหญิงและเรียกร้องความดีความชอบจากอีกฝ่าย “เจ้าต้องรีบตื่นเร็ว ๆ นะ แม่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก”
แต่หลัวเซียวเซียวก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นทันทีเหมือนละครที่เธอเคยดูในโทรทัศน์ นางยังคงนอนเงียบ ๆ อยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่เท่านั้น
มู่ไป๋ไป่รู้สึกแสบตาขึ้นมาอีกครั้ง “หลัวเซียวเซียว ถ้าเจ้ายังไม่ตื่น พรุ่งนี้เจ้าจะไม่ได้เข้าชั้นเรียน พรุ่งนี้อาจารย์เสิ่นจะกลับมาสอนแล้ว ถึงเวลานั้นข้าก็จะไม่มีสหายร่วมเรียน เช่นนี้ข้าจะทำอย่างไรดี”
“แล้วอีกอย่าง เจ้าบอกว่าเจ้าอยากกินลูกอมบ๊วยไม่ใช่หรือ ข้าได้สั่งคนในห้องครัวทำให้เจ้าด้วยนะ”
ขณะนี้ทั่วห้องเต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพรที่ฉุนจมูก ประกอบกับเสียงพูดแผ่วเบาของคนตัวเล็กปะปนอยู่ นั่นยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น
“ไทเฮาเสด็จ!” เสียงประกาศดังมาจากภายนอก
มู่ไป๋ไป่แคะหูตัวเองพลางเงยหน้าขึ้นมองอย่างเหม่อลอย
ไทเฮา?
เธอหูฝาดไปหรือไม่? ทำไมไทเฮาถึงเสด็จมายังตำหนักอิ๋งชุน?
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทเฮากับตำหนักอิ๋งชุนจะผ่อนคลายลงมากในช่วงเวลานี้ แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พระนางเสด็จมาเยือนถึงตำหนักอิ๋งชุนด้วยตัวพระองค์เอง
มู่ไป๋ไป่ไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลแล้วว่าทำไมไทเฮาถึงเสด็จมาที่นี่ เธอรีบยกกระโปรงขึ้นและออกไปทักทายอีกฝ่ายทันที
ในเวลานี้ซูหว่านยังไม่ตื่น ส่วนมู่เทียนฉงยังคงคุยกับคนของศาลต้าหลี่อยู่ในตำหนักส่วนพระองค์ เด็กหญิงจึงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถตัดสินใจทุกเรื่องในตำหนักอิ๋งชุนได้ในเวลานี้
หากจู่ ๆ ไทเฮาทรงกริ้วและสร้างปัญหา เธอก็ต้องระมัดระวังตัวเองมากยิ่งขึ้น
“นี่ พื้นเย็นขนาดนี้เจ้ายังจะคุกเข่าอยู่อีก ลุกขึ้น ลุกขึ้นเถิด” ไทเฮาเดินนำทุกคนเข้ามาก่อนใครเพื่อน แล้วช่วยพยุงเด็กน้อยที่กำลังมีสีหน้าสับสนให้ลุกขึ้นยืน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มองเห็นไทเฮาในระยะใกล้เช่นนี้ และพบว่าพระนางดูจะมีอายุมากกว่าที่เธอเคยเห็นครั้งแรกมาก แต่ความโรยราของร่างกายนั้นก็ไม่อาจปิดบังความสง่างามของพระนางเอาไว้ได้
“เราได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานหลวงเมื่อคืนนี้แล้ว เราตกใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน” ไทเฮากล่าวพลางจับมือเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่แล้วจูงพานางเข้าไปในห้องโถง
“เดิมทีเราอยากจะมาเยี่ยมเจ้าตั้งแต่เมื่อคืน แต่เราก็คิดว่าตำหนักอิ๋งชุนคงกำลังจะวุ่นวายมาก หากเรามาเยี่ยมพวกเจ้า มันก็รังแต่จะสร้างความวุ่นวายให้กับหว่านผินมากขึ้นเท่านั้น”
“เด็กคนนั้นที่ชื่อหลัวเซียวเซียวฟื้นแล้วหรือยัง?”
ไทเฮาพูดคุยอยู่ฝ่ายเดียวมาตลอดทาง และพระนางเดินนำเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับพระนางคุ้นเคยกับตำหนักอิ๋งชุนมาก
“นางยังไม่ฟื้นเพคะ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกไม่คุ้นเคยกับไทเฮาที่ใจดีเช่นนี้ แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้สึกโล่งใจที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
“โธ่… ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารเหลือเกิน” ไทเฮาถอนหายใจพร้อมกับลดสายตาลง “องค์หญิงหกก็กำลังหวาดกลัวเช่นกันใช่หรือไม่?”
ในวังหลวงแห่งนี้ไม่เคยมีความลับใดหลุดรอดไปได้ ทันทีที่ทุกคนได้ข่าวว่าเกิดเรื่องที่อุทยานหลวง ไทเฮาก็ทรงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าว ๆ เช่นกัน
มีคนบอกว่าคนร้ายต้องการทำร้ายองค์หญิงหก ทว่าเด็กผู้หญิงที่ชื่อหลัวเซียวเซียวก็กลายเป็นคนที่ต้องมารับเคราะห์แทน
“องค์หญิงหกไม่ต้องห่วง เราจะช่วยกำชับให้คนของศาลต้าหลี่ค้นหาความจริงมาอธิบายให้แก่เจ้าโดยเร็วที่สุด” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะอุ้มมู่ไป๋ไป่ขึ้นมานั่งบนตักของตน
พอพระนางได้กลิ่นคล้ายน้ำนมจากตัวของคนตัวเล็ก พระนางก็รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองพองโตขึ้นพลางคิดว่าก่อนหน้านี้ตนถูกอะไรบังตาถึงได้มองข้ามเด็กที่น่ารักเช่นนี้ไป ซ้ำยังปล่อยให้นางต้องคุกเข่านานถึงเพียงนั้น
จู่ ๆ ไทเฮาก็รู้สึกผิดและเสียใจในเวลาเดียวกัน พระนางกระชับกอดหลานสาวพร้อมกับปลอบนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะสั่งให้คนนำของบำรุงที่พระนางนำติดมือมาด้วยมอบให้นาง
“เรามีโสมอายุนับศตวรรษและเห็ดหลินจือเป็นจำนวนมาก องค์หญิงหกนำมันไปให้หมอหลวงทำยาบำรุงเถิด” ขณะที่พูดไทเฮาก็ได้ลูบหัวเด็กน้อยด้วยความรักใคร่
“ถ้ามันได้ผล เราจะให้คนนำมาส่งให้เจ้าเพิ่มอีก เด็กคนนั้นช่วยชีวิตองค์หญิงหกเอาไว้ ถือว่านางได้กอบกู้แคว้นเป่ยหลงของเราเอาไว้ด้วย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราจะพยายามอุทิศทุกอย่างเพื่อการรักษานาง”
มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับอย่างง่ายดาย แต่เธอก็ยังไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือของสตรีผู้นี้ได้อยู่ดี
เธอยังคงสงสัยอยู่ในใจว่าคนที่อุ้มเธอแล้วกอดปลอบเธออยู่ตอนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยทรมานซูหว่านด้วยวิธีการเลวร้ายมาก่อนหรือไม่
ไทเฮาปลอบโยนเด็กหญิงอยู่นาน ก่อนจะหยุดลงเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเอาแต่เหม่อมองตนอยู่เงียบ ๆ ไม่ยอมตอบอะไร
“ดูเราสิ พูดเยอะจนไม่เว้นช่องว่างให้เจ้าได้ตอบเลย เจ้าคงยังไม่ได้กินอาหารเช้า ถ้าอย่างนั้นเรากินพร้อมกันเถอะ เราจะคอยจับตาดูเจ้าจนกว่าเจ้าจะกินหมดเอง”
หลังจากไทเฮากล่าวจบ พระนางก็ได้ส่งสัญญาณให้ชิงเยว่ไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ดังนั้นทันทีที่มู่เทียนฉงกลับมาจากราชกิจยามเช้า เขาก็เห็นไทเฮากำลังอุ้มมู่ไป๋ไป่ไว้ในอ้อมแขนและป้อนข้าวเช้าให้นางทีละคำ
ซึ่งภาพตรงหน้านั้นดูอบอุ่นมาก
แต่… จะบอกว่าอบอุ่นก็ดูจะมากเกินไปหน่อย
“เสี่ยวอัน” มู่เทียนฉงกะพริบตาปริบ ๆ ขณะเรียกอันกงกงก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น “เราตาฝาดไปหรือไม่?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: พ่องงเลย มีคนมาแย่งความรักจากลูกสาวเพิ่มอีก 1