บทที่ 56: ออกจากวัง
หลังจากกล่าวอำลาผู้บัญชาการศาลต้าหลี่แล้ว มู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น แต่เธอก็ยังอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้อยู่ดี
ขณะนี้มู่จวินฝานจับมือเด็กหญิงเดินไปด้วยกัน พลางครุ่นคิดอยู่ลำพังว่าจะทำอย่างไรให้น้องสาวของเขามีความสุขขึ้น
“ท่านพี่รัชทายาท” จู่ ๆ มู่ไป๋ไป่ก็หยุดเดินพร้อมดึงมือใหญ่ของพี่ชายที่จับเธอเอาไว้ “ท่านพี่มีวิธีการใดที่จะออกจากวังได้บ้าง?”
มู่จวินฝานเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับคนตัวเล็กแล้วถามออกมาว่า “ทำไมเจ้าถึงถามคำถามนี้กับข้า?”
“ข้าอยากออกจากวังหลวง” มู่ไป๋ไป่สูดจมูกที่ยังแดงก่ำก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “หลัวเซียวเซียวบอกว่าความปรารถนาสูงสุดของนางก็คือพาแม่ของนางออกจากจวนตระกูลหลัว”
ประสบการณ์ชีวิตของหลัวเซียวเซียวนั้นน่าสังเวชยิ่งนัก มารดาผู้ให้กำเนิดของนางแม้จะคลอดบุตรออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับสถานะใด ๆ
“ไม่ว่าหลัวเซียวเซียวจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องประสบเคราะห์แทนข้า” มู่ไป๋ไป่หลุบตาลงต่ำขณะพูดเสียงเบา “ข้าอยากทำอะไรบางอย่างเพื่อนาง”
มิฉะนั้นเธอคงจะรู้สึกผิดเช่นนี้ไปตลอดชีวิต
มู่จวินฝานมองคนตัวเล็กเงียบ ๆ ทั้งที่เด็กผู้หญิงตรงหน้าเขานั้นอายุเพียง 4 ขวบครึ่ง นางควรจะมีความคิดที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะรู้ความมากเสียจนทำให้เขารู้สึกทุกข์ใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มยิ้มมุมปากจาง ๆ “เราออกเดินทางภายใน 2 เค่อดีหรือไม่ ข้าจะไปเตรียมการให้”
“ได้เพคะ!” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่พลันเปล่งประกายสดใส “ท่านพี่จะให้ไป๋ไป่ไปรออยู่ที่ไหน? ท่านจะกลับไปที่ตำหนักตงกงใช่หรือไม่?”
มู่จวินฝานไม่ได้อธิบายวิธีการที่เขาเคยออกจากวังหลวง หรือเขาใช้เหตุผลอะไรในการขออนุญาตออกไป
ซึ่งเด็กหญิงก็ไม่ได้ถามเขา ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะมีความเข้าใจโดยปริยายระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือด
“ไม่ต้อง เจ้ากลับไปรอข้าอยู่ที่ตำหนักอิ๋งชุนเถอะ” องค์รัชทายาทคิดสักพักแล้วจึงกล่าวเสริมว่า “แล้วอีกอย่าง เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนาขึ้นหน่อย ในช่วงเวลากลางคืนอากาศจะหนาวจัด ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นหวัด”
มู่ไป๋ไป่พยักหน้าซ้ำ ๆ แสดงให้เขารู้ว่าเธอจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
หลังจากตกลงเวลาที่จะออกจากวังหลวงกันเรียบร้อยแล้ว ทั้ง 2 คนก็แยกย้ายกันไป โดยที่คนตัวเล็กรีบเร่งกลับไปยังตำหนักอิ๋งชุนซึ่งท่าทีของเธอดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
เธอได้ส่งนางกำนัลที่ดูแลอยู่ข้างกายเธอตลอดเวลาออกไปด้วยเหตุผลว่าเธอกำลังจะพักผ่อน จากนั้นเธอก็หยิบเสื้อผ้าสีเข้มหนา ๆ มาเปลี่ยน
2 เค่อต่อมา มู่จวินฝานที่สวมชุดสีเข้มก็ค่อย ๆ ผลักขอบหน้าต่างเปิดออก
พอเขาเห็นน้องสาวนั่งตัวตรงรออยู่ที่โต๊ะ สีหน้าที่มักจะเย็นชาของเขาก็อ่อนโยนขึ้น ดวงตากลมโตคู่หนึ่งที่ส่องประกายใต้แสงเทียนทำให้นางดูน่ารักมากยิ่งขึ้นในสายตาของเขา
“ท่านพี่รัชทายาท” มู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากคนที่เธอกำลังรออยู่ เธอจึงลุกขึ้นยืนรออีกฝ่ายเดินเข้ามาหาตนในห้อง “พวกเราพร้อมออกเดินทางหรือยังเพคะ?”
“พร้อมแล้ว” มู่จวินฝานตอบพลางเหลือบมองเสื้อผ้าของคนตัวเล็กแล้วพยักหน้าชื่นชม “ไม่เลวเลย”
เนื่องจากมู่ไป๋ไป่ยังเป็นเด็ก ชุดของเธอส่วนใหญ่จึงมีสีสันสดใส ดังนั้นเธอจึงไม่มีเสื้อคลุมหรือชุดสีดำ
หลังจากที่ค้นหาอยู่นาน เธอก็พบชุดสีครามซ่อนอยู่ในตู้
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เกือบจะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ชุดสีครามยังนับว่ากลมกลืนไปกับความมืดได้อยู่บ้าง
“อิอิ ข้าได้เตรียมสิ่งนี้ไว้แล้ว”
มู่ไป๋ไป่หยิบผ้าเช็ดหน้าสีคราม 2 ผืนออกมาจากแขนเสื้อ และมอบให้พี่ชาย 1 ผืน
“เราจะต้องปกปิดใบหน้าของเราเพื่อไม่ให้ใครจำได้”
มู่จวินฝานรู้สึกขบขันจึงพูดติดตลกว่า “ดูเหมือนว่าไป๋ไป่จะช่ำชองเรื่องนี้ทีเดียว”
“แม้จะไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เคยเห็นหมูวิ่ง*” เด็กหญิงเอาผ้ามามัดปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้แน่น จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาเขา “เราไปกันเถอะ!”
*เป็นสำนวนจีน หมายถึง เราอาจจะไม่เคยประสบสิ่งนั้นมาด้วยตนเอง แต่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน
มู่ไป๋ไป่ไม่แปลกใจเลยที่มู่จวินฝานจะมีวรยุทธ
ในนวนิยายมันเป็นเรื่องปกติมากที่องค์ชายจะต้องมีทักษะบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
จวนตระกูลหลัวตั้งอยู่บนถนนที่พลุกพล่านที่สุดในเมืองหลวง และถูกตกแต่งด้วยโคมไฟทำให้จวนหลังนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
“ไป๋ไป่รู้หรือไม่ว่าแม่ของหลัวเซียวเซียวอยู่ที่ไหน?” ยามนี้มู่จวินฝานกำลังนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่บนหลังคาจวนตระกูลหลัว โดยมีมู่ไป๋ไป่อยู่บนหลังของเขา นอกจากนี้ยังมีองครักษ์อีก 3 คนที่แต่งตัวคล้ายกัน
“นางน่าจะอยู่ในเรือนหลังที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนรับใช้” คนตัวเล็กคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “หลัวเซียวเซียวบอกข้าว่าตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางอาศัยอยู่กับคนรับใช้”
เด็กหนุ่มได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว จวนตระกูลหลัวนั้นค่อนข้างใหญ่โต แม้แต่เรือนพักของคนรับใช้ก็ยังถูกแบ่งออกเป็นหลายแห่ง
หากพวกเขาจะต้องค้นหาทุกที่ พระอาทิตย์คงขึ้นก่อนที่จะพบบุคคลที่ต้องการตามหา
“ไปจับคนมาถาม”
หลังจากฟังคำสั่งของมู่จวินฝาน 1 ใน 3 ของชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังก็กระโดดหายตัวไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ
ในเวลาไม่ถึง 1 ถ้วยชา* เขาก็มาหยุดต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง
*1 ถ้วยชา = 15 นาที
“นายท่าน ได้ความแล้วขอรับ คนที่ท่านกำลังตามหาอยู่ที่เรือนคนใช้ที่ตั้งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้”
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่มองเขาอย่างสงสัย ไม่นานเธอก็ได้ค้นพบว่าคนที่ติดตามมู่จวินฝานออกจากตำหนักนั้นไม่ใช่องครักษ์ในตำหนัก
ตอนนี้บทสนทนาของชายคนนั้นกับพี่ชายก็ได้ยืนยันข้อสงสัยของเธอ
คนเหล่านี้น่าจะเป็นกองกำลังลับที่เด็กหนุ่มสร้างขึ้นด้วยตัวเอง
“ไป๋ไป่ เจ้าหนาวหรือไม่?” มู่จวินฝานกระชับคนตัวเล็กที่อยู่บนหลังของเขาให้แน่นขึ้น “ถ้าหนาวเจ้าก็หลบอยู่หลังพี่ไว้”
“ข้าไม่หนาวเลย” มู่ไป๋ไป่ตอบเสียงเบา “ท่านพี่ รีบไปช่วยคนเร็วเข้า”
เด็กหนุ่มยิ้มก่อนจะกระซิบตอบว่า “ได้” จากนั้นก็บินตรงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยมีมู่ไป๋ไป่อยู่บนหลัง
ตระกูลหลัวเป็นตระกูลที่ร่ำรวย บรรพบุรุษของพวกเขามีแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่อยู่หลายคน และตอนนี้ก็มีพระสนมซึ่งเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คน
คนรับใช้ระดับล่างสุดของจวนตระกูลหลัวจะต้องอยู่อาศัยในเรือนพักด้านตะวันออกเฉียงใต้
ทันทีที่พวกมู่ไป๋ไป่มาถึง เธอก็แทบจะเป็นลมเพราะกลิ่นเหม็นที่พุ่งเข้ามาในจมูก โชคดีที่แผ่นหลังของมู่จวินฝานที่อยู่ด้านหน้าช่วยเธอไว้ได้ทันเวลา
“กลิ่นนี่มันอะไรกัน...” เด็กหญิงถามพร้อมกับย่นจมูก
ขณะเดียวกัน แม้ว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้ดูดีไปกว่าน้องสาวมากนัก
“นายท่าน ที่นี่กลิ่นไม่ค่อยดีนัก” ‘เจี่ยอี’ ชายที่เพิ่งไปหาคำตอบเกี่ยวกับที่อยู่ของแม่หลัวเซียวเซียวรีบเดินไปตรวจสอบรอบ ๆ ก่อนจะกลับมารายงาน “ด้านหลังเรือนมีคอกหมู และกลิ่นก็น่าจะมาจากที่นั่นขอรับ”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกตกใจในขณะที่เธอถามว่า “ท่านไม่ได้เพิ่งบอกว่านี่เป็นเรือนพักสำหรับคนใช้หรอกหรือ ทำไมถึงมีคอกหมูอยู่ข้าง ๆ ล่ะ?”
เจี่ยอีไม่ได้พูดอะไร เพราะเขาไม่รู้จะอธิบายให้เด็กหญิงเข้าใจได้อย่างไรว่าเหตุใดคนธรรมดาบางคนถึงต้องอาศัยอยู่ห่างจากคอกหมูเพียงกำแพงกั้น
ไม่ใช่ว่ามู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เธอแค่ไม่คาดคิดว่าตระกูลที่ร่ำรวยอย่างตระกูลหลัวจะรังแกคนเช่นนี้ และหนึ่งในนั้นก็เป็นแม่ของหลัวเซียวเซียว
“มันจะมากเกินไปแล้ว” คนตัวเล็กรู้สึกโกรธแทนสหายจนแทบจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “เซียวเซียวเคยบอกว่าสิ่งที่นางได้กินก่อนหน้านี้ไม่ใช่อาหารคน ทีแรกข้าก็คิดว่านางพูดเกินจริง…”
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวนตระกูลหลัวจะสามารถทำอะไรที่เหนือการคาดหมายของเธอได้ทั้งหมดจริง ๆ
จากนั้นเจี่ยอีก็ได้พาองครักษ์อีก 2 คนไปตามหาแม่ของหลัวเซียวเซียว ก่อนจะสกัดจุดแล้วพาตัวนางออกมา
ผู้หญิงคนนี้มีรูปร่างผอมเพรียวจนน่าประหลาดใจ ใบหน้าของนางดูเปรอะเปื้อนและมีผมเผ้าพะรุงพะรัง มันทำให้มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วนางมีหน้าตาเป็นอย่างไร
มู่ไป๋ไป่เข้าไปยืนยันทันทีว่าพวกเขาพาตัวคนมาไม่ผิด “ท่านน้า ไม่ต้องกลัว เราเป็นสหายของหลัวเซียวเซียว เรามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน”