ตอนที่ 31 ศิษย์พี่ฉู่ เจ้าเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นมากเกินไป
ตอนที่ 31 ศิษย์พี่ฉู่ เจ้าเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นมากเกินไป
หลิวเจิ้งสงไม่ได้สนใจกับทัศนคติของสวีหมิงแม้แต่น้อย
เพราะการทะเลาะหรือขัดแย้งกันเล็กน้อยระหว่างลูกศิษย์ ถือเป็นเรื่องปกติ
เขาไม่อยากเสียเวลากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้
“โอวหยางห่าวได้รับบาดเจ็บจากฉู่เสวียน ดังนั้นนิกายเสินกังจะต้องออกมาค้นหาที่ตรอกไท่ผิงและบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดอีกครั้งแน่นอน ในช่วงเวลานี้พวกเจ้าต้องซ้อนตัวไปก่อน เราจะอยู่แต่ในห้องลับ หากไม่ได้รับคำสั่งจากข้าก็อย่าออกมาเป็นอันขาด” หลิวเจิ้งสงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอรับ” เหล่าศิษย์ต่างพยักหน้าตอบรับ
...
สิบวันต่อมา..
ในเวลานี้ผู้บ่มเพาะจากนิกายเสินกังได้ออกมาตามหาเบาะแสของโอวหยางห่าวที่ตรอกไท่ผิงและทำการสอบสวนอย่างละเอียดและพาผู้คนมาเป็นจำนวนมาก
โดยมีผู้บ่มเพาะสามคนที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานและมีผู้บ่มเพาะมากกว่าสิบคนที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณ
ผู้บ่มเพาะกลุ่มนี้สำรวจตรอกไท่ผิงและบริเวณโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง
ส่งผลให้ผู้บ่มเพาะทั่วไปไม่กล้าออกมาเดินเผ่นผ่านไปตามถนนด้วยซ้ำ เพราะกลัวว่าจะไปทำให้ผู้บ่มเพาะของนิกายเสินกังโกรธเอาได้ และการสอบสวนนี้ก็ใช้เวลาถึงสามวัน
แม้แต่อู๋เถิง ซึ่งเป็นผู้บ่มเพาะอาวุโสที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานของตระกูลอู๋ก็ถูกนำตัวไปสอบสวนด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ไม่มีใครพบเบาะแสของโอวหยางห่าวเลย
ผู้บ่มเพาะเหล่านี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมยุติการสอบสวนไปด้วยความจำใจ
อู๋เถิงเองก็รีบกลับมาที่คฤหาสน์ของตระกูลอู๋ เพื่อมาบอกเรื่องนี้แก่หลิวเจิ้งสงอย่างรวดเร็ว
หลิวเจิ้งสงสงสัยว่า "ศิษย์น้องอู๋ ไม่ใช่ว่าโอวหยางห่าวได้รับบาดเจ็บและหนีไปได้อย่างนั้นหรือ? เหตุใดนิกายเสินกังถึงเข้ามาสอบสวนที่นี่เป็นเวลาสามวัน"
อู๋เถิงพูดด้วยความโกรธ "ได้รับบาดเจ็บหรือ? เขาหายไป! เขาหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต่างหาก! และข้าคิดว่าเขาน่าจะตายแล้ว ศิษย์นิกายอู๋จี๋คนไหนของท่านที่ทำเช่นนี้? ถึงกลับกล้าฆ่าคนที่ผู้อาวุโสของนิกายเสินกังโปรดปราณได้อย่างไร?”
หลิวเจิ้งสงตกตะลึง “หายไปอย่างนั้นหรือ?”
อู๋เถิงถอนหายใจ “ถ้าไม่ใช่ว่าโอวหยางห่าวหายตัวไป พวกเขาจะส่งผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน 3 คนและผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณ 12 คนมาสอบสวนเช่นนี้หรือ? ถ้าข้าไม่มีประสบการณ์จากครั้งก่อน ข้าเกรงว่าพวกเขาก็คงจะมาค้นคฤหาสน์ตระกูลอู๋เหมือนครั้งก่อนอีกครั้งเป็นแน่”
เหตุใดมันถึงแตกต่างจากที่สิ่งที่เขาคิดเป็นอย่างมาก? เขาคิดอยู่เสมอว่าฉู่เสวียนต่อสู่กับโอวหยางห่าวจนโอวหยางห่าวได้รับบาดเจ็บแล้วหนีออกไป
ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นว่าโอวหยางห่าวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต่างหาก
ฉู่เสวียนฆ่าโอวหยางห่าวและเอาศพของเขาไปซ่อนอย่างนั้นหรือ!
จากมุมมองนี้ ก็แสดงว่าเขามองฉู่เสวียนต่ำเกินไป
ระดับที่แท้จริงของฉู่เสวียนน่าจะเป็นขั้นที่ 9 ของการกลั่นลมปราณแล้ว!
“ศิษย์พี่หลิว หากเกิดเรื่องขึ้นแบบนี้อีกครั้ง ข้าคงทนไม่ไหว เจ้าไปพูดคุยกับลูกศิษย์ของเจ้าว่าอย่าให้เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาอีก ข้าเป็นสายลับให้นิกายอู๋จี๋มาโดยตลอด เพราะความไว้วางใจจากพวกเขา ข้าจึงเอาความลับของนิกายเสินกังไปบอกนิกายของเจ้าได้ แต่ข้าไม่สามารถปล่อยให้นิกายเสินกังมาสอบสวนข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ได้ ถ้าหากยังมีอีก ข้าคงทำได้เพียงขอให้เจ้าพาศิษย์ของเจ้าออกไปอยู่ที่อื่น” อู๋เถิงกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
หลิวเจิ้งสงพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เอาล่ะ ศิษย์น้องอู๋ไม่ต้องกังวล ข้าจะกำชับพวกเขาอย่างแน่นอน"
พูดจบเขาก็เดินกลับไปยังลานบ้านที่เขาอาศัยอยู่ ก่อนที่จะได้ยิน เฉินเกอ, เว่ยหัวและศิษย์คนอื่นๆ กระซิบกระซาบกัน
“โอวหยางห่าวตายแล้ว!”
“ว่ากันว่าเขาหายตัวไปต่างหาก ไม่ได้ตายเสียหน่อย”
“มันต่างกันยังไงระหว่างหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยกับตาย? เจ้าไม่เห็นหรือว่านิกายเสินกังส่งผู้บ่มเพาะช่วงสร้างรากฐานมาถึงสามคน เพื่อสอบสวนเรื่องนี้?”
“ใครเป็นคนฆ่าโอวหยางห่าว? เป็นศิษย์พี่ฉู่อย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นการกลับมาของหลิวเจิ้งสง ทุกคนก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว หลิวเจิ้งสงได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ "พวกเจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?"
เฉินเกอพยักหน้า "ข้างนอกมีแต่คนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะอยู่แต่ในคฤหาสน์ แต่เราก็ได้รู้เรื่องนี้จากคนรับใช้ของตระกูลอู๋ขอรับ”
หลิวเจิ้งสงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ "บางทีโอวหยางห่าวอาจจะตายแล้ว ดูเหมือนว่าข้าคงประเมินความแข็งแกร่งของฉู่เสวียนต่ำไป เขาน่าจะฆ่าโอวหยางห่าวและเอาศพของเขาไปด้วย"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยหัว, ไป่เฟิง และศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็เบิกตากว้าง
สถานะของฉู่เสวียนในใจพวกเขาตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เกือบจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหลิวเจิ้งสงแล้ว เนื่องจากโอวหยางห่าวสังหารศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาทั้งหมดจึงเกลียดและกลัวโอวหยางห่าวคนนี้ถึงก้นบึ้งของหัวใจ แต่ตอนนี้ฉู่เสวียนได้ล้างแค้นให้เหล่าศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ที่เสียชีวิตไปแล้ว มันจึงทำให้พวกเขาย่อมดีใจอย่างออกนอกหน้า
ทว่าการแสดงออกของสวีหมิงกลับไม่ค่อยดีนัก เพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขากับฉู่เสวียนได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
เฉินเกอเองก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า "อาจารย์อาหลิวขอรับ เหตุใดท่านถึงไม่พาศิษย์พี่ฉู่มาด้วยล่ะขอรับ เพื่อที่เราจะได้มีคนพึ่งพาเพิ่มขึ้นอีกคน"
หลิวเจิ้งสงกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง "ข้าได้ชวนเขามาแล้ว แต่เขาก็ปฏิเสธ ตอนนี้ข้าเสียใจเป็นอย่างมาก แทนที่ข้าจะพยายามชักชวนเขาให้มากกว่านี้ "
"หืม?" ฉู่เสวียนบ้าไปแล้ว ทั้งที่หลิวเจิ้งสงยื่นข้อเสนอให้เขาเป็นการส่วนตัว แต่เขากลับปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?
แต่หลิวเจิ้งสงก็ได้กล่าวต่อว่า "เพราะฉู่เสวียนรู้ว่าในขณะนี้ทรัพยากรของเรามีไม่เพียงพอ ถ้าข้ามัวแต่เอาทรัพยากรที่มีไปทุ่มเทกับการฝึกฝนเขาเพียงผู้เดียว มันจะนำไปสู่ความขัดแย้งในหมู่ศิษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ที่เขาไม่มาด้วยก็เพราะเขาต้องการพึ่งความแข็งแกร่งของตนเองเพื่อให้ทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานให้ได้”
หลังจากที่หลิวเจิ้งสงพูดเช่นนี้ออกมา เฉินเกอ, เว่ยฮัว, ไป่เฟิง และศิษย์คนอื่น ๆ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ความรู้สึกซาบซึ่งใจที่พวกเขามีต่อฉู่เสวียนในตอนนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นมาอีก
ฉู่เสวียน!
ศิษย์พี่ฉู่!
เจ้าเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นมากเกินไปแล้ว!
ในตอนนี้สวีหมิงก็หน้าแดงขึ้นมาทันที เขาเคยเป็นศัตรูกับฉู่เสวียนมาก่อน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าฉู่เสวียนจะคิดถึงพวกเขามากขนาดนี้
“ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ฉะนั้นพวกเจ้าควรฝึกฝนให้ดี ส่วนข้าก็จะไปตรวจสอบที่อยู่ของบรรพบุรุษทั้งสองต่อไป” หลิวเจิ้งสงถอนหายใจ
ศิษย์ทุกคนพยักหน้า
บรรพบุรุษช่วงแก่นปราณทองคำบางคนของนิกายอู๋จี๋เสียชีวิตลงระหว่างการต่อสู้กับนิกายสายธรรมทั้งห้าและบางคนก็ยอมจำนน จึงเหลือเพียงสองคนเท่านั้นที่หลบหนีไปได้
หลิวเจิ้งสงไม่เคยยอมแพ้ที่จะตามหาร่องรอยของพวกเขามาโดยตลอด หากพวกเขาสามารถตามหาบรรพบุรุษช่วงแก่นปราณทองคำได้ ความปลอดภัยของพวกเขาก็จะเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น แต่หากไม่ได้ผล เขาก็จะเดินทางออกจากอาณาจักรหยูอย่างเงียบๆ เพื่อตามหาดินแดนที่ไม่มีคนอาศัยอยู่เพื่อก่อตั้งนิกายอู๋จี๋ขึ้นมาใหม่ แต่ตราบใดที่บรรพบุรุษช่วงแก่นปราณทองคำอยู่ที่นี่ ทุกอย่างก็จะดูมีความหวังมากยิ่งขึ้น
...
ในถ้ำ
ฉู่เสวียนหายใจเข้าแล้วลืมตา
ลูกปัดโลหิตที่เขานำมาในครั้งนี้ได้รับการกลั่นจากเขาอย่างสมบูรณ์
เขาสัมผัสได้ว่าทะเลปราณของเขาในตอนนี้ได้บวมขึ้นอย่างมาก และมันก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่มีร่องรอยของการหลอมละลายของพลังวิญญาณเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาไม่ใช่อัจฉริยะ หากไม่มีน้ำอัมฤทธิ์โลหิตสร้างรากฐานเข้ามาช่วย มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทะลวงเขตแดนได้ตามธรรมชาติของมัน
“ตอนนี้ข้ามีทุกอย่างแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะออกเดินทาง” ฉู่เสวียนคัดแยกยาอายุวัฒนะในถุงเก็บของแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
ยาอายุวัฒนะเหล่านี้ เขาไม่ได้ซื้อมาจากตรอกไท่ผิง เพื่อความปลอดภัยเขาได้บังคับดาบบังเหินไปซื้อมันในตลาดขายสมุนไพรทั่วไปในที่ห่างไกลจากตรงนี้ ซึ่งดาบที่เขาใช้ก็ไม่ใช่ดาบบังเหินเทียนกังแต่เป็นดาบบังเหินเกรดต่ำที่เขาเคยใช้มาตลอด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉู่เสวียนก็หยิบกระจกโลหิตออกมา
เขาได้ฉีดพลังวิญญาณเข้าไปในกระจกโลหิต จากนั้นมันก็สะท้อนฉากของดาวเคราะห์โลกาวินาศออกมา
เขาจึงได้เชื่อมโยงความคิดของเขาเข้ากับดาวเคราะห์โลกาวินาศอีกครั้ง
จากนั้นกระจกโลหิตก็ได้ดูดร่างของเขาเข้าไป
โลกรอบตัวของฉู่เสวียนได้หมุนวนไปอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นฉากรอบตัวแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ทุกอย่างก็เริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง ในตอนนี้เขาได้ยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมแล้ว
“โห่!” ขณะที่เขากำลังพยายามทรงตัวให้มั่น เสียงคำรามด้วยความตื่นเต้นก็ดังมาจากไม่ไกล
“โห่!” เสี่ยวหูรีบวิ่งไปหาเขาในก้าวเดียว คุกเข่าลงข้างหนึ่งราวกับลูกสุนัขที่เห็นเจ้าของ
ฉู่เสวียนยิ้มและตบหัวของเขา "สถานการณ์ระหว่างที่ข้าไม่อยู่เป็นอย่างไรบ้าง"
ฉู่เสวียนได้ทำการสื่อสารกับความคิดของเสี่ยวหู่อีกครั้ง และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ดีมาก
ในฝั่งของดาวเคราะห์โลกาวินาศแห่งนี้ เวลาได้ผ่านไปกว่าสี่เดือนแล้ว
แต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้โรงแรมห่าวไท่เลย
เสี่ยวหู่ยังคงทุ่มเทให้กับหน้าที่ของเขาเป็นอย่างดี เพราะนอกจากออกไปหาอาหารแล้ว เวลาอื่นเขาก็ไม่คิดจะออกไปจากโรงแรมห่าวไท่เลย
และในเวลาสี่เดือนที่ผ่านมานี้ เสี่ยวหู่ก็ได้เลื่อนระดับมาเป็นพลทหารศพขั้นที่ 8 ได้สำเร็จ
แม้แต่พลทหารศพทั้งหกและสุนัขวิญญาณสองตัวที่เขาปล่อยให้อยู่เฝ้าที่นี่ ก็เติบโตขึ้นอย่างมาก
และสวนสมุนไพรด้านหลังโรงแรม ตอนนี้ก็มีสมุนไพรวิญญาณนานาชนิดเติบโตขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์
หากว่าสมุนไพรชนิดไหนที่ใช้เวลาในการเติบโตไม่นาน ก็สามารถนำมาใช้เป็นยาได้แล้ว
แน่นอนว่าสิ่งที่ฉู่เสวียนให้ความสนใจมากที่สุดก็คือดอกไม้กำเนิดวิญญาณ
เขาเดินมาหาราชาหมาป่า
ราชาหมาป่ากำลังจะตายแล้ว ตอนนี้ร่างกายของมันซูบผอมมาก แต่เสี่ยวหู่ก็ได้ป้อนเนื้อซอมบี้ให้มันกินทุกวัน ดังนั้นมันจึงไม่ตายลงไปง่ายๆ
“ใช่แล้ว มันจะบานสะพรั่งในไม่ช้า!” ฉู่เสวียนดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก