เล่มที่ 1: ถิ่นทุรกันดาร – บทที่ 29: มนุษย์ [อ่านฟรี]
อเล็กซ์รวบรสวมและตรวจสอบทุกอย่างที่เป็นของของเขา หลังจากมองไปที่โรงเก็บของพัง ๆ อีกครั้งก็พยักหน้าด้วยความขอบคุณ
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปทางทิศใต้ เขาเข้ามายังโลกใหม่นี้ได้ราวครึ่งปีแล้ว และวันนี้ ในที่สุดเขาก็จะได้ออกไปจากแถบทุรกันดารนี่เสียที
เขาฆ่าหมีน้ำแข็งไปเมื่อสองหรือสามเดือนก่อน และผลไม้ที่ได้มากจากเม่นก็ถูกใช้ไปจนหมดเรียบร้อย จนท้ายที่สุดผลไม้ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีประโยชน์ต่ออเล็กซ์อีกต่อไป จำนวนที่เขาต้องใช้ต่อครั้งในการฝึกฆ่าตัวตายต้องมากกว่าสิบผล นั่นไม่เลวเลย และเขาก็ยังใช้ประโยชน์จากมันได้อยู่บ้างแม้จะไม่มากเหมือนก่อนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ปัญหายังคงมีอยู่ สามวันก่อน เม่นไม่ปรากฏตัวมาให้เขาเห็นเลย ไม่ว่าจะพยายามหาหรือจุดกองไฟสักกี่กอง เม่นก็ไม่ปรากฏตัวเลย ผลที่ตามมาคือมันทำให้การฝึกของเขาช้าลงอย่างมาก จึงทำให้เขาฝึกได้เพียงแค่การนั่งสมาธิปกติซึ่งนั่นช้ามากสำหรับเขา
นอกจากนี้ ในสองสามเดือนที่ผ่านมาอเล็กซ์ก็ไม่พบสัตว์ที่ระดับเดียวกับหมีน้ำแข็งเลย แน่นอนว่าเขาเจอสัตว์ชนิดใหม่บ้าง แต่ระดับความแข็งแกร่งพอ ๆ กับสตอล์กเกอร์
ซึ่งตอนนี้เขาจัดการพวกสตอล์กเกอร์ได้โดยที่ไม่ต้องใช้ดาบเลย ร่างกายเขาทรงพลังถึงขั้นนั้นแล้ว นี่จึงทำให้เขาตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้วที่จะสามารถออกไปจากแอ่งน้ำได้อย่างปลอดภัย
ถึงเวลาที่จะออกไปเผชิญโลกกว้าง!
อเล็กซ์วิ่งเหยาะ ๆ สบาย ๆ แต่เร็วกว่ามนุษย์คนหนึ่งบนโลกที่วิ่งเร็วที่สุดจะวิ่งได้ ต้นไม้กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดระหว่างเดินทางเล็กน้อย จนมาถึงขอบแอ่งน้ำในระยะเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ถ้าหากได้วิ่งเป็นเส้นตรงคงมาถึงนี่ได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง
อเล็กซ์จับเสื้อโค้ทตัวใหม่และจับดาบ เขาไม่รู้เลยว่าอีกฟากของภูเขาจะมีอะไรรออยู่ ภูเขาใหญ่โอบรอบแอ่งน้ำแห่งนี้ไว้ เขาจะต้องเดินผ่านเส้นทางธรรมชาติระหว่างภูเขาสองลูก ปีนขึ้นไปราวห้าร้อยเมตร ซึ่งนั่นไม่ใช้เรื่องยากสำหรับร่างกายใหม่นี้ แต่นั่นเป็นความสูงที่สูงกว่าต้นไม้ในป่าทุกต้น
อเล็กซ์จะไม่ถูกป่าล้อมรอบอีกต่อไป นั่นหมายความว่าสัตว์ร้ายใด ๆ ก็จะสามารถเห็นเขาได้ทันทีที่เริ่มปีนขึ้นไปบนภูเขา เขายังจำกิ้งก่ายักษ์ที่เห็นใกล้ ๆ ภูเขาในวันแรกได้ เขาไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะมันได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยความลับถามที่ว่าทำไมไม่มีสัตว์ร้ายใดที่ทรงพลังกล้าย่างกรายเข้ามาในแอ่งน้ำนั้นคลี่คลายแล้ว เป็นเพราะเม่นนั่นเอง
ก่อนหน้าอเล็กซ์ก็ไม่มั่นใจนักว่าทำไมไม่เจอพวกสัตว์ที่ทรงพลังมาที่นี่เลย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น เม่นก็ไม่น่าจะอยู่ในหลาย ๆ ที่ในคราวเดียวกันใช่ไหมล่ะ หรือจริง ๆ แล้วอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะเข็มบนหลังของมันทำได้
เม่นน่าจะได้ยินหรือได้กินพวกสัตว์ขนาดยักษ์ได้ดี จากนั้นก็วิ่งไปตรงนั้นและสลัดเข็มใส่ศัตรูที่แม้อยู่ห่างออกไปเป็นร้อยเมตรได้
อเล็กซ์เดาว่าเม่นคงไม่ได้ใช้เข็มของมันบ่อย ๆ เนื่องจากเล่มหนึ่งอาจต้องใช้มานาหรือพลังงานมากเหยื่อ แต่พวกสัตว์อย่างกิ้งก่ายักษ์ก็อาจจะเป็นอะไรที่คุ้มค่า
ส่วนความลับที่ว่าทำไมไม่มีสัตว์ทะเลที่แข็งแกร่งเข้ามาก็ได้รับคำตอบแล้วเช่นกัน แม่น้ำที่ทอดยาวผ่านแอ่งน้ำ และตามหลักเหตุและผลแล้วนั้นควรจะมีสัตว์ที่ทรงพลังอย่างน้อยสองถึงสามชนิด
ชัดเจนว่าสัตว์พวกนั้นคงถูกหมึกจับกินไปแล้ว แต่ตอนนี้มันตายแล้ว อาจจะมีสัตว์ทะเลทรงพลังมาปรากฏตัวที่แอ่งน้ำแห่งนี้ก็ได้ แต่อเล็กซ์รู้ขีดจำกัดของตัวเองดี เขาต่อสู้กับสัตว์ทรงพลังที่อยู่บนบกได้ โดยใส่ความพยายามลงไป แต่กับสัตว์ทะเลมันไม่มีโอกาสนั้นเลย เพราะพวกมันอยู่ในน้ำ
แอ่งน้ำไม่ใช่ที่สำหรับอเล็กซ์ และถึงเวลาต้องไปต่อ เขามองไปยังเส้นทางที่ต้องเดินต่อ สูดหายใจเข้าลึก และเริ่มปีน
“ถ้าเป็นข้า จะไม่ไปทางนั้นนะ”
หัวใจอเล็กซ์แทบหยุดเต้นด้วยความตกใจ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วและพบสิ่งที่เขาไม่ได้พบเลยมาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา
มนุษย์!
มนุษย์ตัวเป็น ๆ!
ข้างหลังอเล็กซ์คือชายวัยกลางคนในผ้าคลุมสีเขียวคนหนึ่งยืนอยู่ ผ้าคลุมนั่นทำให้อเล็กซ์นึกถึงละครช่วงยุคกลางหลาย ๆ เรื่อง มักเป็นผู้มีเกียรติที่จะได้สวมมัน เผยแสงแห่งความสง่างามและความเคารพ
เขามีผมสีเขียว และหนวดเคราสีดำ ซึ่งดูขัดกันเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น อเล็กซ์สัมผัสได้ถึงมานาที่ไหลเวียนอยู่รอบตัวบุคคลนี้
มานาเยอะมาก!
‘มนุษย์คนแรกที่ได้คุยในโลกนี้! อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ!’
“โย่!” อเล็กซ์พูดพร้อมยกมือขึ้นเล็กน้อย มันเป็นการทักทายทั่ว ๆ ไปเหมือนเจอคนรู้จัดตามที่ต่าง ๆ
ชายคนนั้นเลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำทักทายของอเล็กซ์
“มาทำอะไรที่นี่?” ชายคนนั้นถาม
อเล็กซ์ไม่ได้สนใจกับคำที่พูดออกไป เขาจึงไม่ได้รู้สึกว่าคำนั้นมันไม่เหมือนภาษาไทย แต่รู้สึกใช่สำหรับเขา มันชัดเจนว่าชายคนนั้นพูดภาษาอื่น ๆ แต่อเล็กซ์กลับรู้สึกว่าชายคนนั้นกำลังพูดภาษาไทย
มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เหมือนกับภาพยนตร์ที่มีการพากย์แย่ ๆ เรื่องหนึ่ง
“ฉันอยู่ที่นี่มาหกเดือน แล้วก็อยู่ในเขตทุรกันดารเพื่อแข็งแกร่งขึ้น” อเล็กซ์อธิบาย
ชายคนนั้นพยักหน้า จากนั้นก็ชี้มาที่อเล็กซ์พร้อมกับท่องบางอย่างที่เขาจับคำไม่ได้
ขนศีรษะอเล็กซ์ลุกชัน
คาถาเหรอ?!
ชายคนนั้นคิดจะโจมตีเขาเหรอ?!
อเล็กซ์รีบกระโดดออกไปด้านข้างทันทีและวิ่งห่างออกไป
ชายคนนั้นตกใจพลางหยุดร่ายคาถา เพียงองอเล็กซ์ที่ค่อย ๆ อยู่ห่างออกไป อึดใจเดียวหลังจากที่เขาพูดสองสามคำออกมา
ตู้มมม!
ลมระเบิดปรากฏขึ้นข้างหลังชายคนนั้น จนร่างของเขากระเด็นออกไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว เหมือนกับถูกยิงด้วยปืน
พรึ่บบบ!
ชายคนนั้นปรากฏตัวตรงหน้าอเล็กซ์เพียงแค่พริบตาเดียว ร่างเขาหยุดลงหลังจากลมระเบิดเล็ก ๆ อีกครั้งสิ้นสุดลง
ดวงตาอเล็กซ์เบิกโพลงในความตกใจขณะมองชายคนนั้นที่อยู่ตรงหน้า
ตอนนี้อเล็กซ์เจอสิ่งที่เร็วกว่าเม่นแล้ว!
“ใจเย็น” ชายคนนั้นพูดเรียบ ๆ “คำแรกของข้าคือ +%& เจ้าควรรู้สิว่าคำนี้สงวนไว้สำหรับคาถาสอบสวน”
ในความคิดของอเล็กซ์ คำที่ชายคนนั้นพูดมันฟังดูเหมือนคำที่ไม่มีความหมาย ดูไม่เป็นคำจริง ๆ ด้วยซ้ำ เหมือนเสียงที่ผสมกันอย่างประหลาดซึ่งไม่มีความหมาย เขารู้ดีว่าไม่ควรคิดทำอะไรโง่ ๆ กับชายคนนี้ จะดีกว่าถ้าทำตามคำแนะนำเพียงอย่างเดียว
ชายคนนั้นพูดคำเดิมอีกครั้ง และหลังจากนั้นไม่นาน อเล็กซ์ก็สัมผัสถึงมานาที่ไหลเวียนรอบตัว ร่างกายเขาดูดซับมานาโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที ความสงสัยของเขายังคงไม่คลี่คลายว่าชายคนนี้กำลังทำอะไรกันแน่
ชายคนนั้นเอามือลูบเคราพลางครุ่นคิด “เป็นอย่างที่คิด เจ้าเป็นพวก ฟิสิ สินะ”
“ฟิสิ? คืออะไร?” อเล็กซ์ถาม
ชายคนนั้นเลิกคิวขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามของอเล็กซ์
ศีรษะของเด็กคนนี้ถูกกระทบกระเทือนเหรอ?
“ฟิสิ คือพวกนักสู้ คือพวกที่ไม่สามารถฝึกเวทมนตร์ได้” ชายคนนั้นพูด
‘ฟิสิ?’ อเล็กซ์คิดด้วยสีหน้างุนงง ‘ฟังเหมือนกับชื่อเล่นของกลุ่มของเด็กม.ปลายหรือมหาลัยเลย ฟิสิ มันคือคำที่โลกนี้ใช้เรียกแทนพวกนักสู้อย่างงั้นเหรอ?’
“แล้วนายล่ะ เป็นอะไร? เมจิ?” อเล็กซ์ถาม
“จอมเวทย์” ชายคนนั้นตอบ
ชั่วขณะหนึ่งที่ชายคนนั้นรู้สึกสงสัยว่าอเล็กซ์อาจสูญเสียความทรงจำและไม่มีความรู้พื้นฐาน แต่ถ้าหากว่าอเล็กซ์แสร้งทำ ทักษะการแสดงของเขาก็ควรต้องได้รับรางวัลหลายรายการ ไม่มีทางเลยที่คนที่อ่อนแอเช่นนี้จะแสดงได้ดีแบบนี้ตรงหน้าเขา
“ทำไมนายถึงบอกว่าไม่ควรขึ้นไปบนภูเขา? ฉันอยากไปจากที่นี่” อเล็กซ์พูด
“มีรังของกิ้งก่ากราเวลระดับกลางอยู่ระหว่างเขาสองลูกนั่น ถ้าเจ้าไปรบกวนมันเท่ากับตาย” ชายคนนั้นพูด
“กิ้งก่ากราเวลระดับกลาง? คืออะไร?” อเล็กซ์ถาม
“มันคือกิ้งก่าสีน้ำตาลอมเทา” ชายคนนั้นตอบ “ยาวราวยี่สิบเมตรพร้อมด้วยคุณสมบัติดิน กิ้งก่ากราเวลคือสัตว์อาณาจักรที่สอง กิ้งก่ากราเวลระดับกลางอยู่ในขั้นกลางของอาณาจักรที่สอง” ชายคนั้นชี้อเล็กซ์ “จากพลังกายของเจ้าอยู่ที่ประมาณปลายอาณาจักรแรก สู้อย่างมีกลยุทธ์และเตรียมตัวพร้อม เจ้าอาจจะพอสู้กับขั้นสุดของอาณาจักรแรกได้ แต่พวกที่อยู่ขั้นกลางอาณาจักรที่สองจะบดขยี้เจ้าได้อย่างง่ายดาย” ชายคนนั้นพูด
อเล็กซ์พยักหน้า ดวงตาของเขาประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในที่สุดเขาก็พอได้ข้อมูลจริง ๆ เกี่ยวกับโลกนี้บ้างแล้ว!
อาณาจักรที่ชายคนนั้นกล่าวอาจหมายถึงลำดับประเภทหรือการจำแนกพลัง เขาพูดว่าอเล็กซ์อยู่ในขั้นปลายอาณาจักรแรก จึงคิดว่าเขาคงอยู่ขั้นแรกสุดของอาณาจักรนี้ตอนที่เพิ่งเข้ามายังโลก นั่นหมายความว่ายังพอมีการพัฒนาอยู่
ถ้าลองคิดตามหลักการ กิ้งก่ากราเวลระดับกลางแข็งแกร่งกว่าอเล็กซ์มากพอ ๆ กับที่อเล็กซ์ตอนนี้แข็งแกร่งกว่าอเล็กซ์ในอดีต
แต่อเล็กซ์ในอดีตกับอเล็กซ์ตอนนี้เทียบกันไม่ได้
จู่ ๆ อเล็กซ์ก็นึกบางอย่างขึ้นได้
“ฉันเจอหมีขั้วโลกด้วย สูงประมาณสามเมตรและสามารถสร้างหอกน้ำแข็งได้ มันคืออะไร?” อเล็กซ์ถาม
“ชื่อจริง ๆ มันคือ หมีหอกน้ำแข็ง สัตว์อาณาจักรแรก เหมือนกับหมีหอกน้ำแข็งขั้นสูง ประเมินตามจากที่เจ้าว่านะ ฆ่ามันรึ?” ชายคนนั้นถาม
อเล็กซ์พยักหน้า
ชายคนนั้นพยักหน้ากลับ “ช่างน่าประทับใจนะสำหรับฟิสิ เจ้าน่าจะอยู่ระดับเดียวกับมัน ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทั่วไปจะสู้กับสัตว์ที่ระดับเดียวกันได้หรอกนะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับพวกฟิสิ” ชายคนนั้นอธิบาย
อเล็กซ์ลูบครางพลางคิด ‘ตอนนี้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นมาก คิดว่าตอนที่สู้กับหมี ตอนนั้นร่างกายน่าจะอยู่ในขั้นกลางของอาณาจักรแรก’ อเล็กซ์มองชายคนนั้น ‘ไม่ควรพูดไปสินะ ไม่รู้จักหมอนี่เลยสักนิด’
“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่?” อเล็กซ์ถาม
“ข้ามานี่เพื่อถามคำถามเจ้า” ชายคนนั้นตอบ
“ว่ามา” อเล็กซ์ตอบ
“เกิดอะไรขึ้นกับหมึกน้ำแข็งโบราณในทะเลสาบของป่าแห่งนี้?”
ร่างกายอเล็กซ์เริ่มสั่น เขาได้รู้แล้วว่าทำไมชายคนนี้ถึงมาที่นี่ เขามาเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับหมึกตัวนั้น!
มากไปกว่านั้น อเล็กซ์รู้ว่าทำไมมันถึงดึงดูดความสนใจนัก
ยอดแหลมที่ไร้ตัวตน!
และแน่นอนว่ายอดแหลมนั่นอยู่ในแขนซ้ายของอเล็กซ์