บทที่ 668: ตามรอยพันลี้!
เมื่อผ่านแนวป้องกันของกองทัพเชิ่งหลงแล้วกลิ่นฉุนของดินปืนผสมกับเลือดเนื้อและอวัยวะภายในก็ตีปะทะเข้ากับใบหน้าของพวกเขาทันที
กลิ่นนี้น่ารังเกียจมากจนถ้าควบคุมอาการคลื่นไส้ไม่ได้ก็จะอาเจียนเอามื้อสุดท้ายที่พึ่งกินไปออกมาจนหมดใส้หมดพุงอย่างแน่นอน
นักรบเชิ่งหลงคุ้นเคยกับเรื่องนี้มานานแล้ว พวกเขาไม่ได้แสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติใด ๆ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้เลย
ช่วงนี้การต่อสู้สิ้นได้สุดลงแล้ว มอนสเตอร์ที่ถูกเลือดเนื้อดึงดูดเข้ามาต่างก็แตกกระเจิงหนีหางจุกตูดกันไปหมดและเหลือทิ้งไว้เพียงกองซากศพหนาแน่น
มีซากศพมอนสเตอร์มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมดท่ามกลางซากต้นไม้หักโค่น มอนสเตอร์บางส่วนที่รอดตายมาได้ต่างก็ส่งเสียงร้องไห้กันระงมดูไม่เห็นจะดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งสำหรับมอนสเตอร์ที่กินคนเหล่านี้ทหารเชิ่งหลงไม่มีความเมตตา ถ้าเจอว่าตัวไหนยังไม่ตายก็จะจัดการส่งลูกปืนซ้ำลงหัวพวกมันไปซะเพื่อจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาก่อความรุนแรงอะไรได้อีก
ซากมอนสเตอร์จำนวนมากถูกทหารใช้ดาบไม่ก็เลื่อยไฟฟ้าชำแหละ ชิ้นส่วนไหนที่มีประโยชน์ก็จะถูกเอามาวางรวมกันแล้วขนส่งกลับเมืองเชิ่งหลงเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อ ๆ ไป
แม้ว่ามอนสเตอร์ในโลกโหลวเฉิงจะเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงที่สุดต่อการอยู่รอดของชนพื้นเมืองก็ตาม แต่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของพวกมันต่างก็เป็นวัสดุที่ล้ำค่าที่สุดด้วยเช่นกัน หากนำไปใช้อย่างเหมาะสมล่ะก็มันจะนำความเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่มาสู่ผู้ที่ได้พบเห็นอย่างแน่นอน
แตกต่างจากการใช้อย่างผิวเผินเหมือนอย่างโหลวเฉิงแห่งอื่น ๆ วิธีการประดิษฐ์ของเมืองเชิ่งหลงนั้นมีความหลากหลายซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าของวัสดุเหล่านี้ขึ้นอีกหลายเท่าได้อย่างสมบูรณ์!
นี่คือพลังที่ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และชนพื้นเมืองโหลวเฉิงเดิมก็ยากที่จะเทียบเคียงในเรื่องนี้ได้!
หลังจากที่พวกถังเจิ้นผ่านพื้นที่สนามรบพวกเขาก็ไปถึงสถานที่ที่กลุ่มนักรบหมานสูหนีไปตามที่เห็นในคลิปวิดีโอ
นักรบโหลวเฉิงทั้ง 5 ออกเดินสำรวจดูรอบ ๆ พักหนึ่งจากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางเดียวกันและพุ่งเข้าป่าลึกไปด้วยความปราดเปรียวว่องไวเหมือนกับเสือชีตาห์!
ถังเจิ้นไม่สงสัยในการแกะรอยของพลเมืองและตามไปทันที
ทุกครั้งที่เหล่านักรบแกะรอยวิ่งนำไปได้ระยะหนึ่งก็จะมีการหยุด สำรวจ และปรึกษากันเบา ๆ อยู่สองสามคำก่อนจะได้ข้อสรุปและตัดสินทิศทาง
ด้านถังเจิ้นเองก็พยายามแกะรอยด้วยเหมือนกัน แม้เขาจะพบเบาะแสอยู่บ้างด้วยระดับการฝึกฝนที่สูงส่ง ทว่าความเร็วในการหาก็ยังช้ากว่านักแกะรอยเหล่านี้มากอยู่ดี
และจากที่สังเกตดูแล้วเขาเห็นว่าทั้ง 5 คนนี้มีทั้งตัดสินผ่านการสัมผัสกับพืช ทั้งการดมกลิ่นที่โคตรบ้า ทั้งสัญชาตญาณที่แม่นยำจนน่ากลัว...
แล้วพอเอาความสามารถในการแกะรอยของแต่ละคนนี้มาประกอบกันเข้าทำให้ศัตรูที่หลบหนีอยู่ไม่มีทางซ่อนตัวได้แน่นอน ต่อให้จะมียอดฝีมือในการลบร่องรอยอยู่ด้วยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถลบร่องรอยได้หมดทุกมิติได้แน่ ๆ
จะไม้บรรทัดสั้นหรือนิ้วยาวก็ตาม ไม่มีความสามารถใดในโลกนี้ที่ไร้ประโยชน์ ที่บอกว่ามันไร้ประโยชน์เป็นเพราะยังไม่พบวิธีใช้มันอย่างมีประสิทธิภาพต่างหาก
หลังจากได้เห็นการแสดงฝีมือของนักรบทั้ง 5 แล้วถังเจิ้นก็แอบคร่ำครวญว่าถึงแม้ระดับการฝึกฝนของตนในปัจจุบันจะสูงกว่าอีกฝ่ายมากก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนเหล่านี้ในแง่ของการแกะรอย
เมื่อเป็นแบบนี้เขาจึงได้แต่ต้องตามไปด้วยความอดทน!
ทุกคนเดินบ้างหยุดบ้างไปตามทาง แม้จะดูแล้วไม่ได้รวดเร็วนักก็ตามแต่เอาจริง ๆ แล้วความเร็วของนักรบนั้นเอาความเร็วของคนธรรมดามาเทียบไม่ได้เลย อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หมู่คณะนี้ไม่มีคนอ่อนแอ
รู้ตัวอีกทีพวกถังเจิ้นก็แกะรอยตามมาได้หลายร้อยกิโลเมตรแล้ว แต่ในขณะนี้เหล่านักแกะรอยต่างก็มีสีหน้าซีดเซียวเหมือนจะค่อนข้างเหนื่อย
เกรงว่าการแกะรอยแบบนี้จะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด การต้องแกะรอยอย่างต่อเนื่องเป็นระยะทางร้อย ๆ กิโลเมตรแบบนี้มันกินทั้งแรงกายและแรงใจของนักแกะรอยเหล่านี้ไปมาก
หลังจากที่ถังเจิ้นเห็นว่าพวกนี้อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จึงได้หยิบยาบำรุงร่างกายและจิตใจออกมาแจกให้เพื่อเป็นรางวัลและให้ทั้ง 5 ฟื้นคืนกลับสู่สภาพดีที่สุดโดยเร็ว
ถึงยังไงเวลาก็ไม่เคยคอยท่า สายไปวันหนึ่งก็อาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นก็เป็นได้ อาจทำให้การต่อสู้ในดินแดนโพ้นทะเลครั้งนี้กลายเป็นสูญเปล่าไปเลยก็เป็นได้ และนั่นคือผลลัพธ์ที่ถังเจิ้นไม่อยากเห็นที่สุด
ยาที่เขามอบให้กับนักแกะรอยเหล่านี้เป็นยาสูตรลับของเมืองเชิ่งหลงที่เกิดจากการรวมกันระหว่างโลกโหลวเฉิงและการวิเคราะห์ด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ของโลกเดิม
เรื่องราคานั้นก็น่าตกใจมากและมันยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนน้อยนิดเท่านั้น
โดยวัตถุดิบหลักของมันคือพืชแปลก ๆ หลายชนิดในโลกโหลวเฉิงกับบางส่วนที่สกัดจากมอนส์เตอร์ ซึ่งประสิทธิภาพนั้นบอกได้เลยว่ามหัศจรรย์!
หากคนธรรมดากินยานี่ขวดหนึ่งล่ะก็ หากเป็นภายใต้สถานการณ์พิเศษก็มีความเป็นไปได้ที่จะกำจัดความเจ็บป่วยได้โดยตรงและฟื้นฟูกลับสู่สภาวะปกติได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม บทบาทที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของนักรบเชิ่งหลง!
หลังจากที่นักรบทั้ง 5 กินยาแล้วทั้งหมดก็ฟื้นคืนแรงกายแรงใจกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว แต่ละคนต่างทำสีหน้าประหลาดใจแต่ก็ลงมือแกะรอยศัตรูต่อ
ในช่วงนี้จะมีมอนสเตอร์เข้ามาหาเป็นครั้งคราว ซึ่งเหล่านักรบชั้นนำที่ติดตามมาด้วยก็ง้างดาบรออยู่แล้ว เมื่อพวกมันนำเสนอตัวพวกเขาก็ไม่ขัดศรัทธาจัดการเชือดนิ่มทุกตัวอย่างเท่าเทียมกัน
ปืนรุ่นพิเศษที่สะพายหลังไว้ไม่เคยต้องได้ใช้ แต่เอาจริง ๆ ก็ไม่อยากจะใช้เนื่องจากกลัวว่าเสียงปืนจะเป็นสัญญาณเตือนศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่เอาได้
เวลาค่อย ๆ ผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท พวกถังเจิ้นตามรอยมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกิโลเมตรแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่เจอพวกนักรบหมานสูเลย!
พอทุกคนเริ่มจะต่อไม่ไหวกันแล้วถังเจิ้นเลยสั่งให้พักผ่อนกันก่อนโดยตั้งค่ายไว้ข้างหุบเขา
ช่องเก็บของของถังเจิ้นนั้นเหล้ายาปลาปิ้งมีครบ นักรบเชิ่งหลงได้จับสัตว์ตัวอ้วน ๆ มาถลกหนังชำแหละแล้วย่างทั้งตัวกินกัน
แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมืองก็ตาม แต่ถังเจิ้นก็ยังประพฤติตัวด้วยความกรุณาต่อเหล่าพลเมืองของตนมาโดยตลอด แตกต่างจากถังเจิ้นผู้โหดเหี้ยมกับศัตรูโดยสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้เองที่ชาวโหลวเฉิงแม้จะยังคงตกใจเวลาเจอเขา แต่ก็ยังพูดคุยด้วยอย่างเป็นกันเองเป็นธรรมชาติได้
ข้างกองไฟมีกลุ่นนักรบในชุดเกราะศึกแสนเย็นชา นักรบเลือดเย็นที่สังหารศัตรูโดยไม่กระพริบตาตอนนี้กำลังกอดขวดเหล้าพูดคุยกันอย่างสนุกสนานไม่ต่างจากชาวเมืองธรรมดา
ร้านค้าที่พึ่งเปิดใหม่ในย่านการค้า ภาพยนตร์ที่พึ่งออกใหม่ และข่าวลือในป่า ทั้งหมดนี้ล้วนกลายเป็นหัวข้อซุบซิบนินทาได้หมด
นักรบบางคนถึงกับใช้อุปกรณ์สื่อสารบนสายรัดข้อมือของตัวเองเล่นมินิเกมพลางพ่นลมจนหนวดปลิวเหมือนกำลังหัวร้อนแบบเกรียนติดเกม
หลังจากพูดคุยกับหัวหน้านักรบอยู่พักหนึ่งถังเจิ้นก็ได้ให้สัญญาว่าถ้าว่างเมื่อไหร่จะไปเยี่ยมบ้านของพวกเขาแน่นอน จากนั้นก็จัดเวรยามตอนกลางคืนกันแล้วให้คนที่เหลือกลับไปพักผ่อนในเต็นท์
ถังเจิ้นนั้นนั่งอยู่คนเดียวข้างกองไฟโดยหยิบหนังสือออกมาจากช่องเก็บของแล้วเปิดอ่าน
เวลาได้ผ่านพ้นไปอีกคืนหนึ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นเหล่านักรบก็เก็บค่ายแล้วออกเดินทางแกะรอยกันอีกครั้ง
หลังจากชาร์จพลังงานมาเต็มเปี่ยมทั้งคืนแล้วประสิทธิภาพของนักแกะรอยทั้ง 5 ก็สูงขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ นอกจากนี้เนื่องจากร่องรอยที่ศัตรูทิ้งไว้นั้นน้อยมากทำให้จำนวนครั้งที่พวกเขาต้องหยุดตรวจสอบเลยน้อยลงตาม
และถังเจิ้นยังควบคุมสกายอายให้บินค้นหาเหนือหัวของตนอย่างต่อเนื่องอยู่โดยสลับกับการดูมุมมองแผนที่เป็นครั้งคราว
เวลาผ่านไปอีกวันก็ยังไม่เห็นวี่แววของพวกนักรบหมานสูดังกล่าวจนถังเจิ้นเกิดสงสัยขึ้นมาและสั่งให้หยุดตามรอยก่อน
แต่ก็ต้องตกใจเพราะว่าเมื่อรู้ตัวอีกทีคือตอนนี้พวกเขาได้มาถึงขอบของทะเลว่างเปล่าแล้ว!
ไอ้ที่เรียกว่าทะเลว่างเปล่านั้นนั้นจริง ๆ แล้วดูด้วยตาก็ไม่เห็นว่ามันจะแตกต่างจากทะเลปกติตรงไหน มันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาไม่มีที่สิ้นสุดและโอบล้อมดินแดนโพ้นทะเลทั้งหมดเอาไว้ได้
ว่ากันว่าเมื่อยืนอยู่บนชายหาดก็มักจะได้เห็นร่องรอยของพวกกุ้งหอยปูปลาและสัตว์ทะเลอื่น ๆ ที่ดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
แต่พวกหมานสูที่อาศัยอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลนี้ต่างรู้ดีว่ามันเป็นเพียงภาพมายา ส่วนตัวจริงของทะเลว่างเปล่านั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากหมอกที่แค่หน้าตาเหมือนน้ำทะเล
เมื่อก้าวเข้าสู่ทะเลว่างเปล่าจริง ๆ ล่ะก็อาจจร่วงลงไปในหลุมลึกที่อยู่ใต้หมอกนี่เมื่อไหร่ก็ได้และไม่มีทางรอดออกมาได้อีก
ว่ากันว่าในหลุมลึกเหล่านี้จริง ๆ เป็นถ้ำและมักจะมีมอนสเตอร์ประหลาดบางชนิดแหวกว่ายออกมาเล่นในทะเลว่างเปล่าที่จริง ๆ เป็นหมอกอยู่บ่อย ๆ ซึ่งร่างกายของมันก็โตเท่าภูเขาลูกหนึ่งเลยทีเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้นคือมันยังมีพลังประหลาดบนท้องฟ้าเหนือทะเลว่างเปล่าซึ่งเปรียบเสมือนค่ายกลหรืออะไรซักอย่างของอากาศที่ใช้ในการห้ามบินทำให้ปกติแล้วไม่สามารถบินเหนือทะเลว่างเปล่าได้!
ทะเลว่างเปล่าที่แปลกประหลาดและคาดเดาไม่ได้นี้ได้กลายเป็นอุปสรรคตามธรรมชาติที่ขัดขวางไม่ให้พวกหมานสูหลบหนีทำให้พวกมันต้องติดอยู่ที่นี่โดยไม่หลงเหลือความเป็นไปได้ในการหลบหนีเลย
ถังเจิ้นเคยได้ยินเรื่องของทะเลว่างเปล่ามานานแล้วแต่ก็ไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน แต่ตอนนี้เขาได้ยืนอยู่ตรงหน้ามันแล้ว
ดังนั้นมันก็ต้องสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เคยได้ยินได้ฟังมาอย่างละเอียดรอบคอบ!