บทที่ 55: ไม่หิว
นายน้อยหลัวรู้ว่าลี่เฟยเอ็นดูเขามาก แต่เขาก็ยังกลัวนางมากอยู่ดี
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตระกูลหลัวตกต่ำลง หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากลี่เฟย พวกเขาอาจจะไม่สามารถตั้งตัวอยู่ในเมืองหลวงได้นานถึงเพียงนี้
พ่อของเขาบอกเขาอยู่เสมอว่าเขาจะต้องเชื่อฟังท่านอา และอย่าไปทำอะไรให้นางต้องโกรธ
พอเห็นท่าทีตกใจของลี่เฟย เขาก็ไม่สามารถปิดบังความจริงได้อีก
ทันใดนั้นเขาก็คร่ำครวญขึ้นมาว่า “ท่านอา ท่านไม่เข้าใจความรู้สึกของข้าเลย เป็นเพราะองค์หญิงใหญ่มาหาข้าและบอกว่านางต้องการร่วมมือกับข้า”
“ทั้ง ๆ ที่ข้าวางแผนจะจัดการกับมู่ไป๋ไป่แท้ ๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นหลัวเซียวเซียวที่ตกลงไปในน้ำ”
หลังจากลี่เฟยได้ยินคำสารภาพของหลานชาย นางก็รู้สึกโกรธมากจนออกแรงบิดหูเขาแรงขึ้น “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้ ห้ะ! ถ้าทำสำเร็จก็ว่าไปอย่าง แต่ดูสิ แผนการก็ไม่สำเร็จแล้วยังต้องมาถูกสอบสวนอีก”
“ท่านอา ข้าผิดไปแล้ว ท่านจะต้องช่วยข้า ข้าเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของท่านนะ” นายน้อยหลัวร้องไห้โวยวายร้องขอความเมตตา “ท่านอา ข้ายังไม่อยากตาย”
หญิงสาวขมวดคิ้วและผลักหลานของตัวเองที่กำลังกอดขาออก “ถ้าเจ้าไม่ใช่หลานของข้า ข้าคงไล่เจ้าออกไปตั้งนานแล้ว เจ้าโง่!”
หลานชายที่กำเนิดในตระกูลหลัวของนางโง่ได้ถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
“ขอบคุณท่านอา” เมื่อนายน้อยหลัวได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็รู้ว่าตนนั้นมีทางรอดแล้ว
ตอนนี้ลี่เฟยรู้สึกไม่พอใจมาก นางไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ ในขณะที่นางตะคอกใส่เขาเสียงดัง “หุบปาก! แล้วต่อจากนี้ไปให้ฟังคำของข้า หากเจ้าทำพลาดอีก เจ้าก็เตรียมตัวรอรับความตายได้เลย”
“เจ้าไปเรียกนางกำนัลที่พาเจ้าไปที่สวนด้านหลังแล้วจัดการกับนางซะ…”
ในเวลาเดียวกัน แสงไฟในตำหนักอิ๋งชุนยังสว่างไสว
ยามนี้มู่ไป๋ไป่คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงของหลัวเซียวเซียวตลอดเวลา
เมื่อสักครู่นี้ หมอหลวงได้ตรวจอาการและสั่งคนให้ไปต้มยาเรียบร้อยแล้ว แต่ผลที่ได้นั้นไม่ดีนัก และชีพจรของเด็กหญิงก็หยุดเต้นอีกครั้ง
โชคดีที่มีมู่ไป๋ไป่คอยเฝ้าดูอยู่ข้าง ๆ เธอจึงสามารถช่วยกู้ชีพหลัวเซียวเซียวขึ้นมาได้ทันเวลาก่อนที่จะสายไปอีกครั้ง
“ไป๋ไป่ เจ้ากินอะไรหน่อยเถอะ” ซูหว่านได้เข้ามาดู 2-3 ครั้งแล้วแอบปาดน้ำตาเบา ๆ
หลังจากหญิงสาวได้รับการปลอบโยนจากเหล่านางกำนัลในตำหนัก นางก็สามารถเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองกลับมาได้ก่อนจะสั่งให้ห้องครัวนำอาหารมาให้ลูกสาว
“ข้าไม่หิวเลย” มู่ไป๋ไป่นอนอยู่ข้างเตียงขณะจับมือเล็ก ๆ ที่เย็นเฉียบของหลัวเซียวเซียว และจ้องหน้านางตาไม่กะพริบ
เธอกลัวว่าหากตนละสายตาจากอีกฝ่ายไป ชีพจรของนางจะหยุดเต้นอีกครั้ง
“แม่สั่งให้ห้องครัวทำปลาผัดเปรี้ยวหวานที่เจ้าชอบกินมาให้” ซูหว่านเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กเบา ๆ “ถึงอย่างไรเจ้าก็กินสักหน่อยเถอะ ถ้าเจ้าล้มป่วยไปก่อนที่เซียวเซียวจะตื่น เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”
มู่ไป๋ไป่ยังคงนิ่งเงียบ เธอรู้ดีว่าผู้เป็นแม่ต้องการจะบอกอะไร ถึงแม้ว่าสมองจะเข้าใจแต่ร่างกายกลับไม่ขยับ
พอเด็กหญิงคิดว่าหลัวเซียวเซียวอาจจะไม่ตื่นขึ้นมา เธอก็เจ็บแปลบในใจ
“หว่านผิน ส่งมาให้ข้าเถอะ” มู่จวินฝานซึ่งไม่รู้ว่าปรากฏตัวที่ประตูตั้งแต่เมื่อใดเอ่ยขึ้น
ตามปกติระหว่างที่เรียนอยู่ที่ศาลาหมิงหลี่มู่ไป๋ไป่ก็มักจะขี้เกียจกินข้าวเอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเขาที่คอยป้อนข้าวให้นาง
จากนั้นซูหว่านก็ส่งชามและตะเกียบให้กับองค์รัชทายาททั้งน้ำตาแล้วหลบออกไปเงียบ ๆ
นางรู้ว่ามู่จวินฝานกับมู่ไป๋ไป่นั้นสนิทชิดเชื้อกันเพียงใด ในเวลานี้ การมีเด็กหนุ่มคนนี้อยู่เคียงข้างลูกสาวอาจจะเป็นประโยชน์มากกว่าตัวนางเอง
“เอาน่า อ้าปากหน่อยสิ” มู่จวินฝานคีบปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมาหยิบก้างออก แล้วยื่นมันไปจ่อที่ปากของคนตัวเล็ก
“ท่านพี่รัชทายาท ข้าไม่หิวจริง ๆ” มู่ไป๋ไป่เบี่ยงหน้าหลบ “ท่านให้ข้าอยู่กับหลัวเซียวเซียวเงียบ ๆ ได้หรือไม่?”
คำพูดของเด็กหญิงทำให้คิ้วหนาของเด็กหนุ่มขมวดเข้าหากันช้า ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “แม้ว่าวันนี้เจ้าจะต้องอดตายอยู่ที่นี่ แต่หลัวเซียวเซียวก็คงจะไม่ตื่นขึ้นมาหรอก”
“...”
“ฆาตกรยังคงลอยนวลอยู่ข้างนอก ตอนนี้ศาลต้าหลี่กำลังสืบสวนคดีนี้อยู่” มู่จวินฝานพูดขึ้นมา “ถึงแม้ว่าคดีนี้จะไม่ได้ซับซ้อน แต่มันเกิดขึ้นในสถานที่อย่างวังหลัง”
“ดังนั้นศาลต้าหลี่จึงมีข้อจำกัดมากมายในการจัดการคดีในวังหลัง”
“ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยได้หรือไม่?” ฉับพลันมู่ไป๋ไป่ก็เงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย “ไม่ว่าพวกเขาจะมีข้อจำกัดอะไรก็ตาม ข้าก็สามารถช่วยพวกเขาได้!”
ตอนนี้เธอขอเพียงแค่ให้จับตัวการที่ทำร้ายหลัวเซียวเซียวได้ก็พอ
“ได้สิ” มู่จวินฝานพยักหน้า “แต่เจ้าต้องกินข้าวก่อน”
มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งตึงพร้อมกับพูดว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านพูดแบบนี้เพื่อหลอกให้ข้ากินข้าวอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วก็ไม่ใช่” เด็กหนุ่มยอมรับออกไปตามตรง “ข้าไม่ได้โกหกเจ้าเรื่องศาลต้าหลี่”
คนตัวเล็กเม้มปาก จากนั้นจึงยื่นมือออกไปคว้าชามข้าวออกจากมือของอีกฝ่ายและเริ่มยัดมันเข้าปาก
ไม่กี่เฟินต่อมา ข้าวในชามก็เข้าไปอยู่ในท้องเล็ก ๆ ของเธอ
มู่ไป๋ไป่พยายามกลืนข้าวที่ติดอยู่ในลำคอลงอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “ไป๋ไป่กินหมดแล้ว ท่านช่วยบอกไป๋ไป่ได้หรือไม่ว่าเราจะช่วยพวกเขาได้อย่างไร?”
ภาพนั้นทำให้สายตาของมู่จวินฝานอ่อนลง ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนแล้วยื่นมือออกมา “ข้าจะพาเจ้าไปพบผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ เจ้าสามารถถามเขาได้ด้วยตัวเอง”
เด็กน้อยรีบกระโดดลงจากตั่ง พร้อมกับใบหน้าที่มีความหวัง
ผู้บัญชาการเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้าเย็นชาซึ่งมู่เทียนฉงเรียกตัวเขาเข้ามาในวังตั้งแต่หลังเกิดเรื่อง
พอเขารู้ว่ามีคนเกือบตายอยู่ในวังหลวง เขาก็ไม่กล้าละเลยและนำคนของตนมาสอบสวนทันที
เมื่อมู่ไป๋ไป่ติดตามมู่จวินฝานไปที่อุทยานหลวง ผู้บัญชาการก็เพิ่งสอบปากคำนางกำนัลและขันทีในวังหลวงทั้งหมดเสร็จพอดี
“ถวายบังคมองค์รัชทายาท ถวายบังคมองค์หญิงหก” ชายหนุ่มประสานมือและถวายความเคารพแก่ทั้ง 2
“ใต้เท้า ไม่จำเป็นต้องมากพิธี” เด็กหนุ่มแสดงท่าทีเคารพแก่ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ก่อนจะยืดตัวยืนอย่างสง่างามสมฐานะ
“เรารู้ว่าช่วงเวลานี้ศาลต้าหลี่มีงานมากมายให้ต้องทำ เราไม่ได้ต้องการมารบกวนพวกท่าน แต่ไป๋ไป่เป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก อีกทั้งเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับนางโดยตรง ถือว่าเป็นการสอบปากคำนางไปในตัว”
“ตอนนี้ไป๋ไป่ก็อยู่ที่นี่ด้วย หากท่านมีอะไรจะถามก็ถามนางได้เลย”
“ใช่!” เด็กหญิงยืดอกขึ้นแล้วพูดอย่างกระตือรือร้น “ใต้เท้าสามารถถามข้าได้ทุกอย่าง!”
ผู้บัญชาการมีคำถามบางอย่างที่จะถามมู่ไป๋ไป่จริง แต่เป็นดังที่มู่เทียนฉงได้บอกเอาไว้ว่า การที่ศาลต้าหลี่จะต้องมาจัดการคดีในวังหลังนั้นคงไม่สะดวกมากนัก
คำถามที่เขาถามส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับหลัวเซียวเซียว เช่น นางเข้ามาในวังหลวงเมื่อไหร่ และนางมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือไม่
มู่ไป๋ไป่ใช้เวลาอยู่กับหลัวเซียวเซียวทุกวัน ดังนั้นเธอจึงรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี และแน่นอนว่าเธอก็ตอบคำถามทุกคำอย่างละเอียด
“หากเป็นไปตามที่องค์หญิงหกทรงตรัส นายน้อยตระกูลหลัวเป็นเพียงคนเดียวในวังหลวงที่มีความแค้นกับคุณหนูหลัวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ผู้บัญชาการเลิกคิ้วขึ้น “แต่กระหม่อมได้ยินมาว่านายน้อยหลัวจะอยู่ข้างกายลี่เฟยตลอดเวลา เขาไม่ได้ปลีกตัวไปไหนตามลำพัง”
“ในงานวันนี้มีคนมากมาย มันคงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหลบออกไปสักพักโดยที่ไม่มีใครรู้” มู่ไป๋ไป่โต้กลับด้วยเหตุผล “นอกจากนี้ ทุกคนในวังหลวงต่างก็รู้ดีว่าเซียวเซียวได้รับความโปรดปรานจากข้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเป็นคนปั้นแต่งขึ้นมา ใต้เท้าสามารถไปสอบสวนเพิ่มเติมได้”
“ส่วนใครเป็นคนผลักเซียวเซียวลงไปในน้ำ เรายังคงต้องค้นหาคำตอบให้เจอ”
คำพูดของเด็กหญิงตรงประเด็นมาก ซึ่งทำให้ผู้บัญชาการรู้สึกชื่นชมนาง “องค์หญิงหกทรงปรีชาสมคำร่ำลือจริง ๆ”
อย่างไรก็ตาม มู่ไป๋ไป่ไม่ได้รู้สึกพึงพอใจกับคำชมของเขาเลยสักนิด