บทที่ 54: ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้า
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว แต่มู่ไป๋ไป่ก็ยังมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ในสวนด้านหลังผ่านแสงจันทร์ได้ชัดเจน ตัวเธอ องครักษ์ และเจ้าส้มได้แยกย้ายกันเป็น 3 ทางเพื่อตามหาหลัวเซียวเซียว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสหายตัวน้อย
ในตอนแรกเธอยังคงคิดว่าบางทีหลัวเซียวเซียวอาจจะแค่ถูกใครเรียกตัวไปและไม่เคยเข้ามาในนี้เลย
แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า เธอก็ค่อย ๆ ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้
หลัวเซียวเซียวเชื่อฟังเธอมากที่สุด ในเมื่อเธอบอกให้นางรอ นางก็จะต้องรออย่างแน่นอน
“หลัวเซียวเซียว ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าเลย” มู่ไป๋ไป่พึมพำขณะปาดน้ำตาจากดวงตา “ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่อยากเป็นเพื่อนกับเจ้าอีกต่อไปแล้ว”
บัดนี้ภาพเหตุการณ์อดีตในทุกรายละเอียดที่เธอได้ใช้เวลาร่วมกับหลัวเซียวเซียวก็ย้อนกลับมา ยิ่งเธอคิดถึงอีกฝ่ายมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้ามากเท่านั้น และอดไม่ได้ที่จะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่บนพื้น “ฮือ ๆๆๆ”
“มู่ไป๋ไป่ ข้าหาหลัวเซียวเซียวเจอแล้ว!” หลังจากเด็กน้อยร้องไห้มาได้สักพักหนึ่ง เสียงของเจ้าส้มก็ดังขึ้น “เร็วเข้า นางกำลังจะจมน้ำตายแล้ว!”
“ชาติก่อนหลัวเซียวเซียวไปทำเวรทำกรรมอะไรกับน้ำเอาไว้ ทำไมนางถึงตกลงไปในน้ำอีกแล้ว!”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงบ่นของแมวอ้วน เธอก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตามมันไปอย่างทุลักทุเลพร้อมกับตะโกนเรียกสหาย “หลัวเซียวเซียว! หลัวเซียวเซียว!”
องครักษ์ที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงตะโกนขององค์หญิงหกรีบกลับมาทันที
แล้วมนุษย์ 2 คนกับแมวอีก 1 ตัวก็มารวมตัวกันอยู่ที่ริมทะเลสาบก่อนจะเห็นร่างเล็ก ๆ ลอยอยู่ที่กลางน้ำ
ภาพเบื้องหน้าทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกราวกับว่าตนได้ย้อนกลับไปในวันที่ได้พบหลัวเซียวเซียวครั้งแรก
ในวันนั้นหลัวเซียวเซียวก็อยู่ในน้ำเช่นนี้ แต่ตอนนั้นนางยังคงเคลื่อนไหวอยู่ ซึ่งผิดกับตอนนี้ที่นางลอยอยู่เงียบ ๆ ไม่ไหวติง ซึ่งเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวมาก
คนตัวเล็กจ้องมองคนที่ลอยอยู่ในน้ำขณะที่ตัวสั่นไปทั้งตัวและไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยปากขอให้องครักษ์ไปช่วยนาง
โชคดีที่องครักษ์ไม่ต้องรอคำสั่งของมู่ไป๋ไป่ก็พุ่งตัวลงไปในน้ำโดยไม่รอช้า
ส่วนเจ้าส้มที่ไม่ถูกกับน้ำอยู่แล้วได้แต่เดินวนไปรอบ ๆ ทะเลสาบอย่างกระวนกระวาย “ทะเลสาบนี้ถูกทิ้งร้างเอาไว้นาน แม้แต่ข้าก็ยังไม่คิดจะมาที่นี่เลย ทำไมหลัวเซียวเซียวถึงมาที่นี่คนเดียวล่ะ?”
มู่ไป๋ไป่หลับตาลงแล้วพูดว่า “เป็นเพราะมู่เชียน”
เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน และเธอก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง
การคาดเดาของหลัวเซียวเซียวนั้นไม่ผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแผนลวง
มู่เชียนต้องการจะหลอกล่อให้เธอมาที่นี่ แต่นางไม่คาดคิดว่าคนที่เข้ามาคือหลัวเซียวเซียวที่ในวันนี้สวมเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับเธอทุกประการ
มันทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเด็กหญิงคนนั้นก็คือตัวเธอ
ไม่ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นเช่นไร หากหลัวเซียวเซียวเสียชีวิต นี่จะถือว่ามันเป็นความผิดของเธอ
ขณะเดียวกัน องครักษ์ได้วางร่างของเด็กผู้หญิงตัวน้อยไว้ที่พื้นอย่างระมัดระวัง เขาทดสอบลมหายใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างแรก ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “องค์หญิงหก คุณหนูหลัวไม่หายใจ…”
“เป็นไปไม่ได้…” มู่ไป๋ไป่ซวนเซจวนจะล้มแต่ก็ยังยืนได้อย่างมั่นคง
“นางไม่มีวันตายง่าย ๆ หรอก นางยังไม่ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างกับข้าคนนี้เลย”
“ถ้าท่านไม่ช่วยนางก็หลีกไปซะ ข้าจะช่วยนางเอง!”
เด็กหญิงผลักองครักษ์ออกไปและทำ CPR* ให้กับสหายอย่างสิ้นหวัง
*CPR หรือ Cardiopulmonary resuscitation คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ช่วยฟื้นคืนชีพให้ผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้นกลับมามีชีพจรดังเดิม
“มู่ไป๋ไป่ เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ?” เจ้าส้มไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนจึงเดินวนรอบหลัวเซียวเซียวอย่างสงสัย “องครักษ์คนนั้นบอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางไม่หายใจแล้ว เราช่วยนางไม่ได้แล้ว”
“เลิกทรมานนางแล้วหาสถานที่ดี ๆ ฝังนาง ให้นางได้อยู่อย่างสงบเถอะ”
“ไม่! วิธีนี้อาจจะสามารถช่วยชีวิตนางได้!” มู่ไป๋ไป่ที่เหงื่อผุดออกเต็มหน้าผากจ้องมองคนที่นอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงอย่างดื้อรั้น ในขณะที่ใบหน้าของเธอไร้สีสัน “มันช่วยได้ ขอแค่ข้าอดทนอีกนิด…”
แม้ว่าหัวใจจะหยุดเต้นไปแล้ว ตราบใดที่เธอกู้ชีพได้ทันเวลา เธอก็ยังสามารถช่วยให้หลัวเซียวเซียวมีชีวิตรอดอยู่ได้
เมื่อเจ้าส้มเห็นท่าทางของเจ้าตัวเล็กเช่นนี้ มันก็ปิดปากและนั่งลงข้างอีกฝ่ายเงียบ ๆ รอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
ทางด้านองครักษ์พอเห็นว่าคำพูดโน้มน้าวของเขาไม่มีประโยชน์ เขาจึงจุดพลุสัญญาณเพื่อติดต่อกับองค์รัชทายาท
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจ้าพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า มันช่วยขับให้สวนด้านหลังที่เงียบสงบดูน่าขนลุกมากยิ่งขึ้น
ในไม่ช้ามู่จวินฝานก็มาถึง ตามมาด้วยมู่เทียนฉง
ก่อนหน้านี้ในขณะที่ฮ่องเต้หนุ่มกับลี่เฟยกำลังร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพ เขาก็ได้รับรายงานว่าองครักษ์ที่ติดตามมู่ไป๋ไป่ได้จุดพลุสัญญาณ ซึ่งบ่งบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงปลีกตัวออกจากลี่เฟยมาทันทีและติดตามองค์รัชทายาทไป
“ไป๋ไป่!” หัวใจของมู่เทียนฉงบีบรัดแน่นเมื่อเขามองไปยังลูกสาวที่กำลังขยับขึ้นลงอยู่เหนือหน้าอกของร่างร่างหนึ่งเหมือนคนบ้าคลั่ง
“ปล่อยข้านะ! ข้าจะช่วยเซียวเซียว” มู่ไป๋ไป่ไม่แม้แต่จะหันไปมองคนที่อุ้มเธอด้วยซ้ำ แล้วพยายามผลักเขาออกไป “เซียวเซียวยังไม่ตาย!”
มู่จวินฝานรีบก้าวเข้าไปตรวจชีพจรของหลัวเซียวเซียว ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นว่า “นางยังหลงเหลือชีพจรอยู่จริง ๆ ใครก็ได้รีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
“องค์รัชทายาท” องครักษ์ตกใจ “แต่กระหม่อมเพิ่งยืนยัน…”
เหตุใดจู่ ๆ เด็กคนนี้ถึงกลับมามีชีพจรอีกครั้ง เป็นเพราะองค์รัชทายาทอยากจะปลอบโยนองค์หญิงหก หรือเป็นเพราะองค์หญิงหกได้ช่วยเหลือคุณหนูหลัวกลับมาได้จริง ๆ?
“นางยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ หรือ?” เจ้าส้มลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
“ชีพจรนางยังเต้นอยู่หรือ?” มู่ไป๋ไป่มองพี่ชายอย่างเหม่อลอย “ท่านพี่รัชทายาทไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่?”
“แน่นอน” มู่จวินฝานมองดวงตาสีแดงก่ำของน้องสาวแล้วรู้สึกปวดใจมาก พร้อมกับความรู้สึกอยากจะลูบหัวปลอบโยนนาง
แต่ผลก็คือเขาได้รับสายตาคมดุของมู่เทียนฉงมาแทน ไม่นานเขาก็กล่าวต่อว่า
“แต่มันอ่อนมาก ถึงอย่างนั้นชีพจรนางก็ยังเต้นอยู่แน่นอน”
เมื่อมู่ไป๋ไป่ได้ยินคำตอบยืนยัน เธอที่ก่อนหน้านี้มีพลังสูบฉีดก็หมดเรี่ยวแรงทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ แล้วหลั่งน้ำตาราวกับว่าอยากระบายความโกรธในใจ
“ฮือ ๆๆ ท่านพ่อ ท่านจะต้องตัดสินแทนไป๋ไป่” เด็กน้อยร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบหายใจไม่ทัน “มีคนต้องการทำร้ายไป๋ไป่ แต่เซียวเซียวต้องมารับแทนไป๋ไป่”
ทันใดนั้นดวงตาของมู่เทียนฉงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พร้อมกับที่รังสีสังหารแล่นผ่านดวงตาคู่นั้น
และมือของชายหนุ่มที่โอบรอบเอวลูกสาวก็กำแน่นขึ้น เขามองดูคนตัวเล็กในอ้อมแขนขณะที่ความเย็นชาแผ่ออกจากตัวเขารุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกัน หมอหลวงได้มาถึงอย่างรวดเร็ว เขาตรวจสอบชีพจรของหลัวเซียวเซียวแล้วพูดแบบเดียวกับมู่จวินฝาน
ชีพจรของเด็กหญิงอ่อนมาก ปัจจุบันชีวิตของนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ยามนี้มู่ไป๋ไป่หมกมุ่นอยู่แต่ความเป็นความตายของหลัวเซียวเซียวมากจนไม่สนใจสิ่งอื่นใด เธอได้เดินตามหมอหลวงกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุน เธอไม่แม้แต่จะฟังคำพูดที่คนเป็นพ่อพูดกับเธอเลยด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?” ทันทีที่องค์หญิงตัวน้อยไม่อยู่ด้วย มู่เทียนฉงก็กลับมารักษาท่าทีปกติของตัวเอง
องครักษ์ขององค์รัชทายาทถูกเรียกตัวไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเขาก็ไม่กล้าปิดบังใด ๆ พร้อมกับเล่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
เป็นเพราะว่าเขาคอยติดตามองค์หญิงหกอยู่ตลอดเวลา เขาจึงไม่ได้เห็นว่าใครผลักหลัวเซียวเซียวตกน้ำ
แต่ความคิดของเขาก็เหมือนกับเจ้าส้ม สระน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล และคุณหนูหลัวก็ไม่มีเหตุผลที่จะมารอองค์หญิงหกอยู่ที่นี่
ยิ่งมู่เทียนฉงได้ยินคำบอกเล่า ใบหน้าของเขาก็ยิ่งถมึงทึงมากขึ้น
“คนผู้นั้นกล้ามากนักถึงขั้นมาฆ่าคนถึงในวังหลวง”
“ดูเหมือนว่าเราจะใจกว้างกับคนในวังมากเกินไปสินะ”
“ในเมื่อเจ้าโจรชั่วนั่นใจกล้าถึงเพียงนี้ เจ้าไปแจ้งผู้บัญชาการ ให้ศาลต้าหลี่ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด”
ความพิโรธของฝ่าบาทนั้นทรงพลังยิ่งใหญ่ เมื่อข่าวถูกส่งไปภายในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ ลี่เฟยก็สังเกตเห็นว่าสีหน้าของหลานชายของนางเริ่มแปลกไป
เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการกับเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น งานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพจึงถูกยกเลิกทันที และนายน้อยหลัวก็ถูกพาตัวกลับไปที่ตำหนักชิงเหอ
“เจ้าเป็นคนลงมืออย่างนั้นหรือ?” หลังจากไล่นางกำนัลและขันทีออกไปจนหมดแล้ว ลี่เฟยก็ปิดประตูตำหนักก่อนจะหันไปถามหลานชายที่กำลังลนลานอยู่ภายในห้อง
“หลาน… หลานไม่เข้าใจที่ท่านอากำลังพูด” นายน้อยหลัวหลบตามองไปอีกด้านหนึ่งอย่างรู้สึกผิด
“เจ้าไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวแค่นเสียงในลำคอก่อนจะคว้าหูของอีกฝ่ายมาบิดเต็มแรง “เจ้าคิดว่าข้าต้องแลกอะไรมาบ้างกว่าจะมายืนอยู่จุดนี้ดังเช่นทุกวันนี้?”
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ไม่นะเซียวเซียวววว T__T