บทที่ 159 บันทึกการขาย
จวนลู่ไม่ใหญ่เท่ากับจวนซู แต่มันดูใหม่และดูสดชื่นกว่ามาก
เมื่อมองไปรอบๆ คานและเสาแกะสลักนั้นงดงามเหลือเกิน
“ครั้งที่แล้วไม่ใช่ว่าซื้อเสื้อผ้าใหม่ไปแล้วหรอ ทำไมวันนี้ไม่ใส่ล่ะ”
ซูเล่ออวิ๋นไม่รีรอและถามคำถามออกไปทันที
แต่ยังไม่ทันที่ลู่เสวี่ยหยาจะตอบ ก็มีคนเดินมาอีกฝั่งหนึ่ง
ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวเข้ม และนั่นคือ ลู่เสวี่ยอิ๋ง
ใบหน้าของซูเล่ออวิ๋นพลันเย็นชา
“เล่ออวิ๋น พวกเราไปทางนั้นเถอะ”
“พี่สาว ทำไมเสื้อตัวนั้นถึงอยู่บนตัวนาง” ซูเล่ออวิ๋นชี้ไปที่ลู่เสวี่ยอิ๋งแล้วถามขึ้น
ใบหน้าของลู่เสวี่ยหยานั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ “ช่างมันเถอะ เสื้อตัวนั้น ข้าใส่แล้วมันก็ไม่สวยเท่าไหร่”
ซูเล่ออวิ๋นรู้ได้ทันทีจากสีหน้าของลู่เสวี่ยหยาว่านางรู้สึกอย่างไร
ในตระกูลลู่ ลู่เสวี่ยหยาราวกับเป็นคนที่ไร้ตัวตน
ในชาติก่อน ลู่เสวี่ยอิ๋งและซูหว่านเอ๋อมักจะใส่ร้ายนางบ่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้นางไม่รู้สึกดีต่อพี่สาวคนนี้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าพวกนางจะพบกันเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถเห็นได้ชัดว่าลู่เสวี่ยหยานั้นไม่ได้รับความรักจากซูฉางอิง
ครั้งหนึ่งนางยังเคยคิดว่า หรือว่าลู่เสวี่ยหยาจะไม่ใช่ลูกของซูฉางอิงเหมือนกับนาง
แต่ต่อมาก็คิดว่าไม่น่าจะใช่ เพราะลู่เสวี่ยหยายังมีลักษณะคล้ายกับลู่หงและซูฉางอิงอยู่
“เจ้าน่ะมีน้ำใจ แต่ปิ่นปักผมนั่น ข้านี่ล่ะที่ทนดูไม่ได้” ซูเล่ออวิ๋นก้าวขึ้นไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว หยุดอยู่ตรงหน้าของลู่เสวี่ยอิ๋ง
“พี่เล่ออวิ๋น มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
ลู่เสวี่ยอิ๋งมองไปที่ซูเล่ออวิ๋น แล้วเหลือบไปเห็นลู่เสวี่ยหยาที่อยู่ข้างหลังนาง จากนั้นก็แสยะยิ้มออกมา
นางชี้ไปที่เสื้อผ้าของลู่เสวี่ยหยาจากบนลงล่างแล้วยิ้มเยาะ “พี่สาวสาว ทำไมถึงใส่เสื้อตัวนี้ล่ะ นี่มันเสื้อเก่าสองปีแล้วนะ ถ้าเจ้าไม่มีเสื้อผ้า ก็ควรจะบอกข้าสิ”
ใบหน้าของลู่เสวี่ยหยากลายเป็นสีแดงทันที ชุดที่นางสวมอยู่นั้นก็เป็นเสื้อเก่าสองปีแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนใหม่อยู่บ้าง
แต่นางไม่คาดคิดว่าลู่เสวี่ยอิ๋งจะเห็นได้ทันที
“ข้า…”
“ในงานสำคัญขนาดนี้ ท่านใส่แบบนี้มันน่าอายมาก รีบไปเปลี่ยนชุดเถอะ”
ลู่เสวี่ยอิ๋งพูดเยาะเย้ยลู่เสวี่ยหยาโดยไม่ไว้หน้าเลย
เบื้องหลังลู่เสวี่ยอิ๋งมีคุณหนูรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคนที่ปิดปากหัวเราะคิกคัก
การชี้และกระซิบกันทำให้ลู่เสวี่ยหยารู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ชุดที่น้องเสวี่ยอิ๋งใส่อยู่ก็ดูดีมากจริงๆ”
ซูเล่ออวิ๋นก้าวเข้ามาขวางลู่เสวี่ยหยาอย่างแนบเนียน พลางพูดคำชมออกมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลู่เสวี่ยอิ๋งก็ยิ้มอย่างพอใจ และน้ำเสียงที่ใช้พูดกับซูเล่ออวิ๋นก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย “สายตาของพี่สาวก็ดีใช้ได้”
“แต่เพื่อปรับให้เข้ากับรูปร่างของน้องสาว เสื้อผ้าตัวนี้ก็เลยถูกทำลายไปหมดแล้ว”
“หมายความว่ายังไง?” ลู่เสวี่ยอิ๋งขมวดคิ้ว มองซูเล่ออวิ๋นด้วยความไม่พอใจ
แน่นอนว่านางรู้ดีว่าเสื้อผ้าตัวนี้ถูกแย่งมาจากลู่เสวี่ยหยา ขนาดของมันไม่พอดีกับนาวจึงเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นนางจึงจ้างให้คนมาแก้ทรงเพื่อให้ใส่ได้
ถ้าปล่อยให้ลู่เสวี่ยหยาสวมชุดนี้จริงๆ คงทำให้นางตกเป็นรอง
ซูเล่ออวิ๋นยื่นมือมาดึงปลายแขนเสื้อของลู่เสวี่ยอิ๋ง
“ดูสิ รอยเย็บตรงนี้มันโผล่ออกมาแล้ว น้องสาว ทำไมถึงต้องยอมใส่เสื้อผ้าที่ขนาดไม่พอดีตัวด้วยล่ะ ท่านป้าก็ไม่ได้ขัดสนเงินทอง เจ้าควรจะสั่งตัดชุดที่พอดีตัวไม่ดีกว่าหรือ?”
“ข้าก็แค่ชอบชุดนี้ไม่ได้หรือไง?” ลู่เสวี่ยอิ๋งเริ่มไม่เข้าใจ ซูเล่ออวิ๋นต้องการจะทำอะไรกันแน่
ซูเล่ออวิ๋นหัวเราะเล็กน้อยแล้วปิดปากเงียบ ท่ามกลางสายตาของทุกคน นางยื่นมือไปดึงด้ายที่โผล่ออกมาเล็กน้อย เพียงไม่กี่อึดใจ ปลายแขนเสื้อของลู่เสวี่ยอิ๋งก็หลุดออกไปครึ่งหนึ่ง
“ซูเล่ออวิ๋น ทำบ้าอะไร!” ลู่เสวี่ยอิ๋งร้องเสียงแหลม พยายามจะยื่นมือไปดึงด้ายนั้นกลับมา
ซูเล่ออวิ๋นปล่อยมือออก พลางมองลู่เสวี่ยอิ๋งจากหัวจรดเท้า แล้วพูดเตือนว่า
“ข้าก็แค่เตือนน่ะ น้องสาวเสวี่ยอิ๋งรีบกลับไปเปลี่ยนชุดเถอะ ไม่อย่างนั้นถ้าไปอับอายต่อหน้าแขกตอนหลังคงไม่ดีแน่”
“นี่เจ้าตั้งใจทำลายเสื้อผ้าฉันชัด ๆ!” ลู่เสวี่ยอิ๋งชี้นิ้วใส่ซูเล่ออวิ๋น กล่าวหาทันที
ซูเล่ออวิ๋นมองลู่เสวี่ยอิ๋งอย่างแปลกใจ “น้องสาวเสวี่ยอิ๋งไม่รู้หรอกหรือ?”
“รู้อะไร?”
ลู่เสวี่ยอิ๋งหยุดนิ่งไป ไม่เข้าใจความหมายของซูเล่ออวิ๋น
“เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหมหยู่ซือนั้น ห้ามแก้ทรงอย่างเด็ดขาด ถ้ามีอะไรผิดพลาดเล็กน้อย เสื้อทั้งตัวจะเสียหาย”
“เป็นไปได้ยังไง?” ลู่เสวี่ยอิ๋งลังเลใจเล็กน้อย
ซูเล่ออวิ๋นยกมือขึ้นทำท่าจะดึงด้ายอีกครั้ง แต่คราวนี้นางกลับเอาปิ่นปักผมที่อยู่บนหัวของลู่เสวี่ยอิ๋งลงมาแทน
“พี่เอาของข้าไปทำไม?”
“ของเจ้าจริง ๆ หรือของคนอื่นกันแน่?” ซูเล่ออวิ๋นถือปิ่นไว้ในมือแล้วถาม
“แน่นอนว่าเป็นของข้า ไม่ใช่ของข้าแล้วข้าจะใส่มาทำไม?”
ลู่เสวี่ยอิ๋งตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า ซูเล่ออวิ๋นทำเพื่อปกป้องลู่เสวี่ยหยา
นางจ้องมองลู่เสวี่ยหยาแล้วพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “พี่สาว เพราะชอบปิ่นนี้ แล้วให้พี่เล่ออวิ๋นมาใส่ร้ายข้าแบบนี้ได้หรอกนะ?”
ลู่เสวี่ยหยากำลังลังเลว่าจะขอร้องซูเล่ออวิ๋นให้พอได้แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เสวี่ยอิ๋ง ความโกรธของนางก็พลันปะทุขึ้นมา
ไม่คาดคิดเลยว่าแม้ในตอนนี้ ลู่เสวี่ยอิ๋งก็ยังจะกล่าวหาพวกนาง
“เสวี่ยอิ๋ง ปิ่นอันนี้คือของขวัญที่น้องเล่ออวิ๋นให้ข้า”
ลู่เสวี่ยหยาเผชิญหน้ากับสายตาคุกคามของลู่เสวี่ยอิ๋ง แน่นอนว่านางรู้ดีว่าถ้านางม่รักษาหน้าของลู่เสวี่ยอิ๋งต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ นางกลัวว่าจะถูกท่านแม่ลงโทษอีก แต่นางก็ไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ข้างหลังได้ ในเมื่อซูเล่ออวิ๋นยืนหยัดช่วยนางอยู่แบบนี้!
“พวกเจ้าสองคนรวมหัวกันมารังแกข้า!” ลู่เสวี่ยอิ๋งกระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความน้อยใจ
คนรอบข้างก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ซูเล่ออวิ๋นและลู่เสวี่ยหยา
“พวกเจ้าสองคนอายุมากกว่าลู่เสวี่ยอิ๋งแท้ ๆ แต่กลับทำเรื่องแบบนี้”
“แค่ปิ่นปักผมยังทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ลู่เสวี่ยอิ๋งบอกว่าไม่ชอบพี่น้องพวกนี้”
“ช่างน่าอับอายจริง ๆ!”
ซูเล่ออวิ๋นหัวเราะออกมา “ลู่เสวี่ยอิ๋ง ปิ่นอันนี้ข้าให้พี่สาวของเจ้า เจ้ารู้ไหมว่ามันซื้อจากที่ไหน?”
“ข้า...ข้าจะไปรู้ได้ยังไงล่ะ นี่ท่านแม่ซื้อให้ข้านะ”
ลู่เสวี่ยอิ๋งไม่รู้ว่าปิ่นนี้มาจากไหน จึงโกหกว่าซูชางอิง แม่ของนางเป็นคนซื้อให้
ลู่เสวี่ยหยาพูดขึ้นว่า “ข้ารู้ ปิ่นนี้ซื้อมาจากร้านเจินเป่ากั๋อ”
“อ๋อ ที่แท้ก็มาจากร้านเจินเป่ากั๋อ ไม่แปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกคุ้นๆ พี่สาวนี่จำแม่นจริง ๆ”
ลู่เสวี่ยอิ๋งรีบพูดแก้ตัวทันที
แต่นางก็ไม่ทันสังเกตว่า คุณหนูหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ เริ่มปิดปากเงียบ
“น้องเสวี่ยอิ๋งอาจจะไม่รู้ ร้านเจินเป่ากั๋อมีบันทึกการซื้อขายของพวกเขาเอง เพื่อป้องกันไม่ให้ของที่ขายไปแล้วไปโผล่ในมือของคนอื่นโดยไม่มีที่มา”
“อะไรนะ?” ลู่เสวี่ยอิ๋งยืนตะลึงค้าง
บันทึกการซื้อขายคืออะไร?
ร้านเจินเป่ากั๋อยังมีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ!
“ถ้าอยากรู้ว่าปิ่นอันนี้ใครเป็นคนซื้อ เราก็สามารถไปตรวจสอบที่ร้านเจินเป่ากั๋อได้เลย น้องเสวี่ยอิ๋งว่าไง?”
แน่นอนว่าลู่เสวี่ยอิ๋งไม่กล้าไปตรวจสอบ
ใบหน้าของนางเริ่มแข็งทื่อ พูดตะกุกตะกักว่า “นี่...จะตรวจสอบไปทำไม ถ้าพวกเจ้าชอบก็เอาไปเถอะ! ข้าต้องกลับไปเปลี่ยนชุดแล้ว”
พูดจบนางก็หันหลังเดินออกไป ทิ้งให้คุณหนูคนอื่นๆ มองหน้ากัน ก่อนจะรีบตามลู่เสวี่ยอิ๋งออกไปด้วย