บทที่ 54 เพื่อนต้องมีเยอะหน่อย
แม้หัวหน้าหมู่บ้านจะคาดไว้ก่อนแล้ว เพราะการติดตั้งปั๊มน้ำเป็นเรื่องใหญ่ที่มีประโยชน์มากสำหรับชนบท แต่เมื่อเห็นว่าโจวอี้หมินได้ลงหนังสือพิมพ์จริงๆ เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้น
ในความคิดของพวกเขา การได้ลงหนังสือพิมพ์ถือว่าเป็นคนที่เก่งมากจริง ๆ
"ขอผมดูหน่อย" หัวหน้าหมู่บ้านไม่สนใจเรื่องการแบ่งหมูสามชั้นทอดอีกแล้ว
เขาอ่านจนจบ ซึ่งในบทความยังพูดถึงหมู่บ้านโจวของพวกเขาด้วย หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มกว้างอย่างไม่สามารถเก็บความดีใจไว้ได้
“คุณลุง หนังสือพิมพ์นี่...”
“ถ้าอยากได้ก็ไปซื้อเอง อย่ามายุ่งกับหนังสือพิมพ์ฉัน”
คุณปู่ยังอยากเก็บหนังสือพิมพ์นี้ไว้เป็นที่ระลึก จะได้เอาออกมาอวดใครต่อใครในภายหลัง แบบนี้ใครจะกล้าเสียงดังกว่าเขาล่ะ?
หัวหน้าหมู่บ้านยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะส่งหนังสือพิมพ์คืนให้ปู่ของโจวอี้หมินอย่างระมัดระวัง
จากนั้น การแบ่งหมูสามชั้นทอดก็เริ่มขึ้น แต่ละคนได้รับคนละหนึ่งชาม แม้จะมีหมูเพียงสามชิ้นในแต่ละชาม แต่ชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือครึ่ง
หมูสามชั้นทอดที่แบ่งชั้นชัดเจน เนื้อนุ่มละมุน น่ารับประทานมาก ถ้าคีบแรงไปก็อาจจะทำให้หมูขาด
หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งอายุเจ็ดสิบเอ็ดปีก็ได้ชามหนึ่งเช่นกัน
ทุกคนต่างพากันขอบคุณโจวอี้หมินและปู่ย่าของเขา จากนั้นก็ถือชามหมูสามชั้นทอดกลับบ้าน ไม่มีใครกินมันทันที พวกเขาเก็บไว้กลับไปกินกับครอบครัว เพราะของอร่อยแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ
ไม่นาน เรื่องที่โจวอี้หมินได้ลงหนังสือพิมพ์และแจกหมูสามชั้นทอดก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน
เมื่อรู้ว่าหนังสือพิมพ์ยังพูดถึงหมู่บ้านโจวอีกด้วย ชาวบ้านทุกคนรู้สึกภูมิใจมาก เพราะในยุคนั้น ทุกคนให้ความสำคัญกับเกียรติยศของหมู่บ้านอย่างมาก
สำหรับเรื่องการแจกหมูสามชั้นทอด ชาวบ้านที่ไม่ได้รับก็ไม่ได้บ่นอะไร พวกเขาแค่รู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเท่านั้น
มันยุติธรรมแล้ว ใครอายุเกินเจ็ดสิบก็ได้ไป ไม่ได้เจาะจงว่าบ้านไหน ใครจะไปโทษได้ว่าบ้านตัวเองไม่มีคนอายุเกินเจ็ดสิบ?
“เฮ้อ! พ่อฉันก็อายุขาดไปแค่ปีเดียวเอง” บางคนถึงกับแสดงความเสียใจ ถ้าแก่กว่านี้อีกสักปีคงจะดี
ฟังคำพูดที่ดู “กตัญญู” แบบนี้ ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเตะเขาเบาๆ
โจวอี้หมินยกข้าวฟ่างถาดหนึ่งและชามหมูสามชั้นทอดสามชามออกมา แล้วตะโกนไปทางพวกที่กำลังสร้างบ้านว่า “พี่จื้อหมิง บอกให้ทุกคนมากินข้าวก่อนเถอะ!”
“ได้สิ!”
โจวจื้อหมิงเห็นสภาพคนพวกนี้แล้ว ก็ไม่อยากถ่วงเวลาอาหารของพวกเขา
ทุกคนวางเครื่องมือ แล้วนำชามของตัวเองไปล้าง ก่อนจะมาที่ถาดข้าวฟ่าง โจวจื้อหมิงตักข้าวให้พวกเขา พร้อมกับบอกว่า “สองคนต่อหนึ่งชามหมูสามชั้นทอดนะ”
หนึ่งชามมีหมูสามชิ้น สองคนแบ่งกันหนึ่งชิ้น แต่ยังเหลืออีกหนึ่งชิ้นให้แต่ละคนเอากลับบ้าน
กินแค่ครึ่งชิ้นก็อิ่มแล้ว เพราะพวกเขากินข้าวฟ่าง ซึ่งดีกว่าข้าวที่โรงอาหารของหมู่บ้านมาก ส่วนเผือกก็กินแค่ครึ่งชิ้น อีกครึ่งหนึ่งก็เก็บกลับบ้าน
เผือกที่ดูดซับน้ำมันเข้าไปก็กลายเป็นของอร่อยไม่แพ้หมูสามชั้น
“ถ้าได้กินแบบนี้ทุกวันก็คงดี” บางคนเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดาย
หมูสามชั้นทอดชิ้นนี้นุ่มเหมือนเต้าหู้ ไม่ต้องเคี้ยวอะไรมาก แค่ดูดปากเบา ๆ มันก็แทบจะละลายเต็มปากเต็มคำด้วยน้ำมันหอมอร่อย
“ฝันกลางวันอยู่หรือไง เดือนนึงได้กินสักครั้งก็นับว่าโชคดีแล้ว!” โจวจื้อหมิงหัวเราะและด่าเล่น
ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ อย่าว่าแต่เดือนเลย ปีนึงได้กินสักครั้งก็นับว่าดีแล้ว
ในบ้าน โจวอี้หมินและครอบครัวก็กำลังทานอาหารอยู่
“ย่า นี่ชิ้นนี้ดีที่สุดครับ” โจวอี้หมินเลือกหมูสามชั้นทอดชิ้นที่มีมันและเนื้อสมดุลให้คุณย่าของเขา
ผู้สูงอายุไม่ควรทานมันเยอะเกินไปเพราะย่อยยาก แต่คนทำงานหนักอย่างลุงสามกินมันเพิ่มสองชิ้นก็ไม่มีปัญหา
คุณย่ายิ้มอย่างมีความสุขกับความกตัญญูของหลานชาย
“อี้หมิน ฝีมือเธอนี่ ไปเป็นพ่อครัวได้เลยนะ” โจวซู่เฉียงพูดขึ้น หมูสามชั้นทอดชิ้นเดียว เขากินหมดในสองคำ มันอร่อยยิ่งกว่าหมูแดดเดียวหรือเป็ดแดดเดียวที่เคยกินมาก่อนหน้านี้
คนทำอาหารที่โรงอาหารของหมู่บ้านยังทำได้ไม่อร่อยขนาดนี้เลย
จริงๆ แล้ว โจวอี้หมินไม่ได้มีฝีมือทำอาหารดีนัก แต่เขาใช้เครื่องปรุงและเครื่องเทศที่ดี มันเหมือนกับพวกบล็อกเกอร์อาหารที่ใช้ซอส น้ำมันหอย และเครื่องปรุงหลากหลาย ใครจะทำไม่อร่อยล่ะ? แม้แต่เนื้อเสียก็ยังทำให้อร่อยได้
คุณปู่ของเขาก็อารมณ์ดี ดื่มเหล้าไปสองแก้ว
“ฝีมือฉันยังห่างไกลจากพ่อครัวมืออาชีพมากนะ” โจวอี้หมินหัวเราะและตอบ
“พี่ชายทำอร่อยที่สุดแล้ว”
ไลไฉรีบพูดเสริมทันที “อร่อยกว่าที่แม่ผมทำอีก”
ป้าสามได้แต่นั่งเงียบ เธอคิดว่าถ้าเธอมีวัตถุดิบแบบนี้ เธอก็ทำได้อร่อยไม่แพ้กัน แต่นี่คุณมีวัตถุดิบแบบนี้ให้เธอหรือเปล่า? ใครจะไปทำกับข้าวได้ดีถ้าไม่มีวัตถุดิบดี ๆ?
ไม่พ้นที่ไลไฉโดนแม่ตีหัวไปทีหนึ่ง
“ถือชามดีๆหน่อย อีกคนด้วย”
ป้าสามกำลังอุ้มเชี่ยนเชี่ยนอยู่ พึ่งป้อนนมผงให้เด็กน้อยเสร็จ เด็กน้อยก็ไม่งอแง มองทุกคนทานอาหารด้วยตาใสแจ๋ว
หลังจากกินเสร็จ และเมื่อไลฝูกับคนอื่นกลับไปแล้ว คุณย่าก็หยิบแอปเปิ้ลให้โจวอี้หมินกิน เพราะในใจของคุณย่า หลานชายแท้ๆ ของเธอเป็นที่รักที่สุดเสมอ
ไม่ว่าจะเป็นไลฝูที่น่ารักหรือว่านอนสอนง่ายแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบกับหลานแท้ๆ ได้เลย
“คุณย่า ตอนบ่ายผมจะกลับเข้าเมืองนะ คืนนี้มีเพื่อนจัดงานขึ้นบ้านใหม่ เขาตั้งโต๊ะไว้สองโต๊ะ” โจวอี้หมินบอกคุณย่า
“เพื่อนที่มาหาเราคราวที่แล้วใช่ไหม?” คุณย่าถามพร้อมยิ้ม
โจวอี้หมินพยักหน้า “ใช่ครับ เป็นเขานั่นแหละ”
“อืม ไปเถอะ เพื่อนต้องมีไว้เยอะ ๆ” คุณย่าก็ไม่ใช่คนหัวโบราณ เธอรู้ดีว่าในเมืองมีความซับซ้อน ถ้าหลานชายมีเพื่อนมาก ก็จะเป็นผลดีกับตัวเขา
โดยเฉพาะเพื่อนที่คบกันตั้งแต่เด็กๆ แบบนี้ ยิ่งต้องรักษาความสัมพันธ์ไว้ให้ดี
หลานชายของเธออยู่ในเมือง ไม่มีญาติพี่น้องพึ่งพิง ควรมีเพื่อนเยอะๆ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน
“คุณย่า ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมมีเพื่อนเยอะอยู่แล้ว!”
คำพูดนี้ คุณย่าไม่สงสัยเลย เพราะหลานชายของเธอชอบนำของดีๆ กลับมาบ้านเสมอ หากเขาไม่มีเพื่อนหรือความสัมพันธ์ที่ดี เขาจะหาของเหล่านั้นจากไหนกัน
ขณะนั้นเอง มีเด็กสองคนปรากฏตัวขึ้นที่บ้านเลขที่ 56
“เด็กๆ พวกเธอมาหาใครเหรอ?”
หญิงชราสังเกตเห็นเด็กสองคนที่แต่งตัวมอซอ ถือถุงหนึ่งใบ ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร และพวกเขายืนอยู่ที่ประตูบ้านเธอมานานแล้ว
ถ้าโจวอี้หมินอยู่ตรงนี้ เขาคงจำเด็กสองคนนี้ได้ทันที
“คุณป้า เรามาหาหวงซูฉินครับ” เด็กชายคนโตตอบ
“มาหาซูฉิน? แล้วเธอเป็นอะไรกับพวกเธอล่ะ?”
จากสภาพของเด็กสองคนนี้ หญิงชราก็พอจะเดาได้ น่าจะมาหาญาติ เพราะเธอได้ยินมาว่าช่วงนี้ในชนบทที่อยู่นอกเมืองลำบากมาก มีหลายคนเข้ามาในเมืองเพื่อหาอะไรกิน
ไม่นานมานี้ ในพื้นที่เขตนี้ก็มีคนลี้ภัยปรากฏตัว บางคนถึงขั้นเอาเด็กมาทิ้งไว้หน้าที่ทำการของเขต ตอนนี้ คนที่เขตเลยปวดหัวกันมาก
ดูแลก็ไม่ได้ เพราะที่ทำการก็ไม่มีอาหารให้ แต่ถ้าไม่ดูแลก็กลัวว่าจะเกิดปัญหา
“เธอเป็นน้าของพวกเรา”
“อ๋อ งั้นรออยู่นี่ก่อนนะ อย่าวิ่งไปไหนล่ะ” หญิงชราสั่ง
“ครับ ขอบคุณครับคุณป้า!”
หญิงชรารีบเดินไปที่หลังบ้าน หวงซูฉินอยู่ดีกับสามี พวกเขาอยู่กันแค่สองคน ไม่มีผู้ใหญ่ให้ดูแล และก็ไม่มีลูก
(จบบท)