บทที่ 51: แก้มน่าหยิก
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ มู่ไป๋ไป่จึงได้กลายเป็นผู้ช่วยพิเศษของห้องครัวหลวง
หลังจากที่เธอได้เข้าไปช่วยเหลือพ่อครัวที่ห้องครัวหลวงเป็นเวลา 3-4 วัน ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวจากตำหนักฉือซิ่ง
ขันทีหนุ่มคนหนึ่งได้นำกลุ่มนางกำนัลขนข้าวของเครื่องใช้ส่งไปให้หว่านผิน โดยเขาบอกว่าของพวกนี้เป็นของขวัญที่ไทเฮามอบให้นาง
ซูหว่านไม่รู้ว่าในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามู่ไป๋ไป่ไปทำอะไรมาบ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทีของตำหนักฉือซิ่ง นางก็เดาได้ทันทีว่าลูกสาวคงเป็นสาเหตุของเรื่องนี้
“หว่านผิน ไทเฮาตรัสว่าท่านมีความดีความชอบในการสั่งสอนองค์หญิงหกเป็นอย่างดี นี่คือสิ่งที่หว่านผินสมควรได้รับพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีคนนั้นยิ้มกว้างและถ่ายทอดถ้อยคำชื่นชมให้แก่สตรีตรงหน้าว่า “นอกจากนี้ไทเฮายังทรงตรัสว่าทุกสิ่งในอดีตนั้นเป็นเหมือนวันเวลาที่ผันผ่าน พระนางหวังว่าหว่านผินจะไม่เก็บเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจ”
ซูหว่านแอบรู้สึกประหลาดใจ โดยนางคิดว่าการกระทำนี้แฝงไปด้วยเจตนาร้าย
หากคิดตามหลักเหตุผล…
ในอดีตไทเฮามองนางเป็นเพียงแค่คนต่ำต้อยคนหนึ่ง เพราะนางไม่มีภูมิหลังทางครอบครัว ซึ่งไม่ว่านางจะทำอย่างไรไทเฮาก็ไม่มีทางชื่นชอบพวกตนขึ้นมาได้ แต่เหตุใดจู่ ๆ ไทเฮาที่รังเกียจนางมาโดยตลอดถึงได้เปลี่ยนท่าทีแบบพลิกฝ่ามือเช่นนี้
ถึงกระนั้น ซูหว่านก็ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งขณะเอ่ยปากขอบคุณคนของตำหนักฉือซิ่งและส่งพวกเขาออกจากตำหนักอย่างสุภาพ จากนั้นนางก็เรียกมู่ไป๋ไป่มาถามไถ่ให้ชัดเจน
“ท่านแม่ ทำไมท่านถึงให้คนไปตามไป๋ไป่มาล่ะ ไป๋ไป่กำลังจับตั๊กแตนอยู่เลย!”
ยามนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ส่วนชุดที่ถูกตัดเย็บอย่างประณีตของเธอก็มีรอยเปื้อนโคลนและวัชพืชจำนวนมาก ทำให้เธอเหมือนกับลิงน้อยมากกว่าองค์หญิงเสียอีก
และนี่ก็คือกิจวัตรประจำวันของมู่ไป๋ไป่ในตำหนักอิ๋งชุนในช่วงวันหยุด
ตอนแรกซูหว่านอยากจะพูดอะไรกับเจ้าตัวเล็กสัก 2-3 ประโยค แต่หลังจากที่เห็นว่าลูกสาวกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นของตัวเอง นางจึงไม่กล้าเอ่ยปากต่อว่าอีกฝ่าย
ดังนั้นหญิงสาวจึงสั่งให้นางกำนัลคอยเตรียมเสื้อผ้าให้มู่ไป๋ไป่เปลี่ยนล่วงหน้าทุกวัน เพื่อที่เด็กหญิงจะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ทันทีหลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว และนางไม่อยากให้ลูกสาวต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทในสภาพที่มอมแมมเช่นกัน
“เจ้าลูกตัวดี มานี่ซิ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะว่าช่วงนี้เจ้าไปทำอะไรมาบ้าง?” ซูหว่านดึงเด็กน้อยให้มานั่งอยู่บนตัก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนโคลนเหมือนแมวให้สะอาด
จากนั้นนางก็เอ่ยปากต่อไปว่า “คนของตำหนักฉือซิ่งเพิ่งส่งของมากมายมาให้ แม่รู้ว่าจะต้องเป็นเพราะเจ้าแน่ เจ้าเด็กแสบ”
มู่ไป๋ไป่ได้รับคำชมก็ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาว 2 แถวอย่างมีความสุข “ไป๋ไป่ไม่ได้ทำอะไรเลยเพคะ ไป๋ไป่แค่แสดงพรสวรรค์ในการทำอาหารของตัวเองเท่านั้นเอง”
“แสดงฝีมือการทำอาหารอย่างนั้นหรือ?” ผู้เป็นแม่สงสัย “เจ้าทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”
“พระสนม องค์หญิงหกทรงเป็นอัจฉริยะด้านการทำอาหารเลยก็ว่าได้เพคะ” หลัวเซียวเซียวพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่กี่วันก่อนไทเฮาทรงเสวยหมูตุ๋นฝีมือองค์หญิงหก พระองค์ทรงชื่นชอบมากเลยเพคะ”
“แล้วยังมีหัวปลานึ่งราดพริกเมื่อวันนั้น…” เด็กหญิงสาธยายรายการอาหารที่มู่ไป๋ไป่รังสรรค์ขึ้นมา
“จริงหรือ?” ซูหว่านรู้สึกประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้นางก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมอาหารที่ห้องครัวส่งมาถึงแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้มาก แถมรสชาติอาหารก็ดีมากจนนางอดไม่ได้ที่จะตักข้าวเพิ่ม
“เป็นความจริงเพคะ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกภูมิใจมากจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกครั้งว่า “วันนั้นไป๋ไป่ตั้งใจจะไปทำอาหารให้ท่านพี่รัชทายาท แต่ไป๋ไป่บังเอิญได้ยินว่าไทเฮาไม่ค่อยอยากอาหารในช่วงนั้น ไป๋ไป่ก็เลยแบ่งอาหารที่ทำให้ไทเฮาได้ชิม แล้วพระนางก็ติดใจรถมือของไป๋ไป่”
“ไป๋ไป่ เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของแม่จริง ๆ”
หลังจากคนเป็นแม่ได้ยินดังนี้ นางก็รู้สึกว่าทุกอย่างมันน่าเหลือเชื่อมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าเหลือเชื่อนี้กลับเป็นความจริงที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
มู่ไป๋ไป่ทำให้นางประหลาดใจได้หลายครั้งหลายคราวเสียจนนางอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอว่าจะมีเรื่องอะไรให้ตนประหลาดใจอีกหรือไม่
“อิอิ ไป๋ไป่ไม่อยากให้ไทเฮาต้องมุ่งเป้ามาหาเรื่องท่านแม่ตลอดเวลา” เด็กหญิงโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูหว่านและพึมพำเบา ๆ “ไม่ว่าอย่างไรในอนาคตท่านแม่ก็ต้องไปคารวะไทเฮา ถ้าไทเฮาจ้องจะหาเรื่องท่านเหมือนเมื่อก่อนทุกครั้ง ไป๋ไป่ก็ไม่รู้ว่าจะไปช่วยท่านแม่ได้ทุกครั้งหรือไม่”
“ไป๋ไป่ก็เลยลองเสี่ยงดู แต่ไป๋ไป่ไม่คาดคิดเลยว่ามันจะได้ผล”
คำพูดของลูกสาวทำให้ดวงตาของหว่านผินแดงขึ้นเล็กน้อย และนางก็รู้สึกเศร้าใจแทนลูกสาวของตัวเอง “โถ ลูกแม่ แม่ขอบคุณเจ้ามาก”
สองแม่ลูกต่างก็รู้สึกสะเทือนใจมาก ก่อนจะกอดกันแน่นเพื่อปลอบโยนกันและกันอยู่พักหนึ่ง
หลังจากที่ไทเฮาไม่ได้มุ่งเป้ามายังคนของตำหนักอิ๋งชุน ชีวิตของมู่ไป๋ไป่ก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น
สิ่งเดียวที่ทำให้เธอไม่มีความสุขก็คือวันเกิดของลี่เฟย และระยะเวลาที่มู่เทียนฉงจะมาที่ตำหนักอิ๋งชุนก็เริ่มลดลง
ลี่เฟยได้รับความโปรดปรานมากมายนับตั้งแต่ที่นางเข้ามาในวัง อีกทั้งนางยังมีภูมิหลังเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ดังนั้นวันเกิดของนางทุกปีจึงจัดขึ้นในวังซึ่งปีนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ฮึ่ม วันเกิดของผู้หญิงสารเลวแบบนั้นไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย” มู่ไป๋ไป่ดึงแขนเสื้อตัวเองขึ้นอย่างไม่พอใจพลางบ่นพึมพำไม่หยุด
“อวี้เซิ่งเป็นคนไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย นี่ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ทำไมเขาไม่บอกท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องที่ลี่เฟยแอบทำลับหลัง”
ในเวลาเดียวกัน คนที่ถูกพาดพิงก็บังเอิญผ่านมาพอดี “...”
เจ้าเด็กนี่ไม่เข้าใจหรืออย่างไรว่าเรื่องเช่นนี้มันพูดยาก?
ยิ่งไปกว่านั้น สามีที่ถูกภรรยานอกใจนั้นก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“องค์หญิงหก พระองค์กำลังพูดอะไรอยู่เพคะ?” หลัวเซียวเซียวสวมเสื้อผ้าที่หว่านผินเตรียมเอาไว้ให้นางวันนี้โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นชุดของชนชั้นสูงที่มีรูปแบบและสีเดียวกับมู่ไป๋ไป่
เมื่อมองจากระยะไกล ทั้ง 2 คนดูไม่ต่างจากพี่น้องฝาแฝดซึ่งมีหน้าตาน่ารักมากเลยสักนิด
“ไม่มีอะไร” มู่ไป๋ไป่ทำได้เพียงแค่ตอบปัดไป
ตอนนี้เธอหันมาสนใจอีกฝ่ายและได้เห็นว่าหลัวเซียวเซียวกับตัวเธอนั้นสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน เนื่องจากในฐานะคนที่เดินทางทะลุมิติมาเพียงลำพัง ความปรารถนาสูงสุดของเธอก็คือการมีพี่น้องที่อายุใกล้เคียงกัน
พวกเธอทั้ง 2 จะสามารถสวมเสื้อผ้าสวย ๆ และกินอาหารอร่อย ๆ ด้วยกันได้
ดังนั้นการปรากฏตัวของหลัวเซียวเซียวจึงช่วยเติมเต็มความปรารถนาของเธอเกี่ยวกับการมีพี่น้องได้ในทันที
อีกทั้งซูหว่านรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เด็กหญิงประสบพบเจอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นนางจึงปฏิบัติต่อหลัวเซียวเซียวเหมือนเป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของตัวเอง และนางก็มักจะเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกันไว้ให้ทั้งคู่
“เซียวเซียว เจ้าน่ารักมาก” มู่ไป๋ไป่ลูบใบหน้าที่ทั้งขาวทั้งอ่อนนุ่มของสหายตัวน้อย จากสัมผัสที่ได้รับผ่านมือนั้นมันรู้สึกเรียบเนียนดีมาก
ที่แท้แก้มของคนเราก็น่าหยิกได้ถึงเพียงนี้ เธอจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยว่าทำไมมู่เทียนฉงกับมู่จวินฝานถึงชอบหยิกแก้มเธอนัก
หลัวเซียวเซียวหน้าแดงทันทีที่ได้รับคำชม “องค์หญิงหกน่ารักที่สุดเพคะ”
แล้วทั้ง 2 ก็ผลัดกันชมไปมา ในไม่ช้าก็พากันหัวเราะเสียงดัง และเสียงหัวเราะที่เหมือนกระดิ่งก็ดังก้องไปทั่วอุทยาน
ไม่ไกลนัก ดวงตาดุดันคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เด็กผู้หญิงทั้ง 2
หากมู่ไป๋ไป่หันมามองในเวลานี้ เธอก็จะรับรู้ว่าอีกฝ่ายคือองค์หญิงใหญ่ มู่เชียนที่กลั่นแกล้งเธอเมื่อเดือนที่แล้ว
ในเวลาเพียง 1 เดือน ใบหน้าที่เปล่งปลั่งของนางดูหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด และนางก็ไม่ได้ชื่นชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสอีกต่อไป
องค์หญิงใหญ่ในยามนี้ดูมืดมนมากจนแม้แต่นางกำนัลและขันทีที่คอยรับใช้นางยังรู้สึกหวาดกลัว
มู่เชียนเขม็งมองไปทางมู่ไป๋ไป่แล้วถามนางกำนัลที่อยู่ข้างกายเสียงเย็นว่า “คนที่เจ้าเคยบอกว่าถูกองค์หญิงหกกับรัชทายาทลงโทษนั้นเป็นใครกัน?”
“ทูลองค์หญิงใหญ่ เขาเป็นหลานชายของลี่เฟย ซึ่งเป็นนายน้อยตระกูลหลัวเพคะ” นางกำนัลไม่กล้ามองเด็กหญิงโดยตรง จึงก้มหน้าตอบด้วยท่าทางหวั่นเกรง
“นายน้อยตระกูลหลัวอย่างนั้นหรือ?” มู่เชียนเยาะเย้ยในใจก่อนจะเอ่ยว่า “พาข้าไปพบเขา”
ในช่วงเดือนที่นางถูกเสด็จพ่อกักขัง นางก็คิดหาวิธีแก้แค้นมู่ไป๋ไป่อยู่ตลอดเวลา
เด็กหญิงได้คิดถึงวิธีการต่าง ๆ มากมาย แต่พอนางเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าขององค์หญิงหก นางก็รู้สึกว่าแผนการเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ
เว้นแต่ว่ามู่ไป๋ไป่จะต้องตาย ไม่อย่างนั้นมันคงไม่อาจบรรเทาความเกลียดชังในใจนางลงได้
…
งานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของลี่เฟยถูกจัดขึ้นที่อุทยานหลวง พระสนมและองค์หญิงทั้งหมดได้เสด็จมาถึงเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่ได้พบหน้าทุกคนในวังหลัง ซึ่งเธอรู้สึกสนใจมาก
“ท่านพี่รัชทายาท พี่รองกับพี่สามก็ควรมาร่วมงานที่นี่ไม่ใช่หรือเพคะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?” มู่ไป๋ไป่มองไปรอบ ๆ พลางถามมู่จวินฝานที่อยู่ด้านข้าง
เธอจำได้ว่ามู่เทียนฉงมีลูกชายอีก 2 คน และเธอคิดว่าวันนี้เธอจะได้เห็นพวกเขาที่งานเลี้ยงวันเกิดของลี่เฟย แต่พอกวาดตามองไปรอบ ๆ เธอก็ไม่เห็นใครเลย
“ใช่” มู่จวินฝานจิบชาด้วยท่วงท่าสง่างาม “น้องรองกับน้องสามอยู่นอกวัง ยังไม่กลับมา”