บทที่ 50: ฆ่าด้วยเนื้ออร่อยจานนั้น
ทางด้านไทเฮา เมื่อพระนางได้รู้จากพ่อครัวว่าความจริงแล้วหมูสามชั้นตุ๋นนั้นเป็นมู่ไป๋ไป่ที่ทำขึ้นมา ทำให้สีพระพักตร์ของพระนางอ่อนโยนลงมาก
ถ้าพระนางรู้เรื่องนี้ก่อนที่จะเสวยพระกระยาหารจานนั้น พระนางคงจะสงสัยก่อนแล้วว่าเด็กหญิงคงใส่บางสิ่งลงไปในอาหาร
ท้ายที่สุดแล้ว พระนางก็เคยหาเรื่องหว่านผินมาก่อนถึง 2 ครั้ง และพระนางก็ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ตอบแทนความโหดร้ายของคนอื่นด้วยความเมตตา
แต่เนื้อจานนี้ไม่เพียงแต่มีรสชาติดีเยี่ยมเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้พระนางรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นด้วย
ไทเฮามองดูจานอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วจะเห็นได้ว่าตนแตะน้ำแกงเพียงเล็กน้อย ส่วนอาหารจานอื่นก็ยังอยู่เหมือนเดิมยกเว้นจานหมูตุ๋น มันทำให้พระนางรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่พระนางจะสั่งให้คนครัวยกสำรับกลับไปทันที
“ไทเฮาเพคะ ครั้งนี้องค์หญิงหกดูจะทุ่มเทมาก ดูเหมือนว่าพระนางจะวางแผนอะไรบางอย่างในใจ” ชิงเยว่ถือโอกาสสุมเชื้อไฟลงในกองไฟ “หม่อมฉันคิดว่าองค์หญิงหกคงจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจนขึ้นใจ ดังนั้นหม่อมฉันคิดว่า…”
“เจ้าต้องการพูดอะไร?” ทันใดนั้นไทเฮาก็รู้สึกว่านางกำนัลที่อยู่เคียงข้างตนมาหลายปีน่ารำคาญมากขึ้น พระนางจึงถามขึ้นด้วยความโกรธ
“เจ้าคิดว่านางจะฆ่าเราด้วยเนื้ออร่อยจานนั้นหรือ?”
ชิงเยว่รีบคุกเข่าก้มหน้าอยู่กับพื้นตัวสั่นทันทีที่ถูกดุ
“ช่างเถอะ ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว แค่เห็นท่าทีของเจ้าก็ทำให้เราเสียอารมณ์” ไทเฮากล่าวพลางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เราจะไปพักผ่อนแล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะ”
ในขณะนี้พระนางคงต้องมององค์หญิงหกใหม่แล้ว
มันเป็นเรื่องปกติที่มู่ไป๋ไป่จะไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักฉือซิ่ง แต่ดูท่าเธอจะมั่นใจมากว่าไม่มีใครสามารถต้านทานหมูตุ๋นฝีมือเธอได้
แน่นอนว่าบ่ายวันรุ่งขึ้น ระหว่างที่มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวกำลังจับผีเสื้ออยู่ในอุทยานหลวง คนจากห้องครัวก็เข้ามาหาทั้ง 2 ด้วยท่าทีนอบน้อม โดยบอกว่าพวกเขาหวังว่าเธอจะไปให้คำแนะนำแก่พ่อครัวที่ห้องครัวหลวง
“เมื่อวานข้าได้ช่วยทำอาหารจานหนึ่งต่อหน้าพ่อครัวของเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?” เด็กหญิงวางตัวอย่างเหมาะสมและบอกว่าตนเป็นองค์หญิง ดังนั้นจึงไม่สมควรที่จะไปทำอาหารอยู่ในห้องครัว
แต่ว่าเธอได้รับปากมู่จวินฝานไปแล้วไม่ใช่หรือว่าจะทำอาหารให้เขา?
“ใช่ ๆ พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีที่ประจำอยู่ที่ห้องครัวซึ่งถูกส่งมาเจรจากับมู่ไป๋ไป่นั้นมีท่าทีสุภาพมาก
“องค์หญิงหกทรงมีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยม หมูตุ๋นที่พระองค์ทำเมื่อวานนี้ ไทเฮาทรงชื่นชอบมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เช่นนั้น พ่อครัวใหญ่คงไม่ส่งข้าน้อยมาเชิญองค์หญิงหกเป็นพิเศษเช่นนี้”
“พ่อครัวใหญ่บอกว่า หากองค์หญิงหกยอมช่วยเหลือ จะไม่เป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์ จากนี้ไปทุกคนในห้องครัวหลวงจะคอยช่วยเหลือพระองค์ในทุกเวลาที่พระองค์ต้องการพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดเหล่านั้นทำให้ดวงตาของมู่ไป๋ไป่เป็นประกาย ก่อนที่เธอจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เพราะเพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้เธออารมณ์ดีแล้ว
วันนี้เหล่าคนในห้องครัวหลวงมายืนเรียงแถวรอต้อนรับเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ที่ประตูซึ่งแตกต่างจากเมื่อวานราวฟ้ากับเหว
ทุกคนให้ความเคารพมู่ไป๋ไป่มากและต้อนรับนางเข้าไปในครัวตลอดทาง
“องค์หญิงหก ไทเฮาทรงเสวยหมูตุ๋นที่พระองค์ทำเมื่อวานนี้และส่งคนจากตำหนักฉือซิ่งมาตกรางวัลให้พวกกระหม่อมอย่างงามพ่ะย่ะค่ะ”
พ่อครัวใหญ่เดินออกมาต้อนรับมู่ไป๋ไป่ด้วยรอยยิ้มขณะกล่าวว่า “กระหม่อมจะไม่มีวันลืมความเมตตาอันล้นพ้นที่องค์หญิงหกทรงมีต่อกระหม่อมไปชั่วชีวิตนี้”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” เด็กหญิงปฏิเสธคล้ายไม่ใส่ใจพร้อมกับยืดอกเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “เมื่อวานนี้ข้าเพียงแค่ทำอาหารไปให้ท่านพี่รัชทายาท และแบ่งบางส่วนให้ไทเฮาได้ลองชิม”
“ข้าเองก็ประหลาดใจมากเช่นกันที่ไทเฮาทรงชื่นชมอาหารที่ข้าทำ”
มู่ไป๋ไป่ไม่ได้ยอมรับออกมาตามตรงว่าอาหารที่ทำเมื่อวานทำขึ้นให้ไทเฮาโดยเฉพาะ
หลังจากทุกคนในห้องครัวหลวงได้ยินดังนี้ พวกเขาต่างก็ชื่นชมองค์หญิงหกอีกครั้ง และในที่สุดการสนทนาก็มุ่งไปสู่หัวข้อนั้นทั้งหมด
ไทเฮาทรงตรัสว่าพระนางรู้สึกอยากอาหารมากขึ้นเพราะได้ลิ้มรสหมูตุ๋น แต่สุดท้ายแล้ว พอถึงมื้อเที่ยงของวันนี้ อาหารที่ถูกส่งไปยังตำหนักฉือซิ่งก็ยังคงไม่ถูกแตะต้องดังเดิม
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เหล่าพ่อครัวเกิดความกังวลขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงรีบไปเชิญตัวมู่ไป๋ไป่ให้มาที่นี่
พวกเขาอยากจะรู้ว่าองค์หญิงหกผู้มีความสามารถคนนี้จะคิดค้นอาหารแปลกใหม่ขึ้นมาได้อีกหรือไม่
แน่นอนว่าเด็กหญิงได้เตรียมอาหารที่จะทำเอาไว้ในใจอยู่แล้ว
หลังจากที่เธอฟังคำบอกเล่าของพ่อครัว เธอก็สั่งให้พวกเขาไปตกปลาเพื่อหาวัตถุดิบเป็นปลาตัวอ้วน ๆ มาประกอบอาหาร
คนของห้องครัวที่ได้ยินคำสั่งต่างก็แยกย้ายกันไปลงมือทันที เมื่อจับปลาได้จนพอใจแล้ว พวกเขาจัดการควักไส้ล้างปลาโดยไม่ต้องรอฟังคำสั่งของมู่ไป๋ไป่ จากนั้นก็เอาเกล็ดและเหงือกออก
“องค์หญิงหก พระองค์ทรงจะให้พวกเราหั่นปลาตัวนี้เป็นชิ้น ๆ หรือบั้งเฉย ๆ พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไม่ต้องหั่นหรือทำอะไรทั้งนั้น” เด็กหญิงตอบขณะกำลังจิบชาแปดสมบัติที่พ่อครัวเพิ่งเตรียมไว้ให้เธอ
“วันนี้ข้าต้องการใช้แค่หัวปลาเท่านั้น”
“หา!?” ทุกคนในห้องครัวหลวงต่างอุทานเสียงดัง
เป็นที่ทราบโดยทั่วกันดีว่าส่วนหัวของปลานั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นกระดูก มันมีส่วนเนื้ออยู่น้อยมาก แถมรูปร่างหน้าตายังดูน่ากลัว โดยทั่วไปแล้วส่วนหัวของปลาจะไม่ถูกยกขึ้นบนโต๊ะอาหารของฮ่องเต้และไทเฮา
“เอ่อ… หัวปลาใช้ทำอาหารได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” จู่ ๆ พ่อครัวก็เริ่มสงสัยในความสามารถของมู่ไป๋ไป่อีกครั้ง
หรือว่าพวกเขาเลอะเลือนจนเกินไปควรรีบไปพบหมอ เพราะถึงอย่างไรองค์หญิงหกก็เป็นเพียงเด็ก 4 ขวบเพียงเท่านั้น แล้วนางจะเชี่ยวชาญการทำอาหารได้อย่างไรกัน?
ด้วยความคิดนี้เหล่าพ่อครัวก็มองหน้ากัน ก่อนจะเห็นความลังเลในสายตาของกันและกัน
“พวกเจ้าไม่เชื่อข้าอีกแล้วใช่หรือไม่?”
มู่ไป๋ไป่เห็นสีหน้าของทุกคน จึงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเบา ๆ
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะเดินออกไป “เซียวเซียว เรากลับไปจับผีเสื้อที่อุทยานหลวงต่อกันเถอะ”
“ในห้องครัวร้อนก็ร้อนทำให้ข้าเหนียวตัวไปหมดแล้วเนี่ย ที่แบบนี้ไม่สะดวกจะอยู่นาน”
“ใช่แล้วเพคะองค์หญิง”
หลัวเซียวเซียวเหลือบมองทุกคนในห้องครัวด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับความคิดที่ว่าคนพวกนี้ช่างโง่เง่าเสียจริง
หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเขายังไม่เห็นหรืออย่างไรว่าองค์หญิงหกของนางนั้นมีพรสวรรค์มากเพียงใด?
ในเมื่อนางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ นางจะทำอะไรเหมือนคนธรรมดาได้เช่นไร?
โดยสรุปก็คือ หลัวเซียวเซียวเชื่อมั่นในตัวองค์หญิงหกจนหมดใจ
“องค์หญิงหก ได้โปรดทรงรั้งอยู่ต่อก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” พ่อครัวคนหนึ่งตอบสนองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิ้มแหย ๆ “องค์หญิงหก พระองค์ทรงอย่าได้น้อยพระทัยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความรู้น้อยจนไม่รู้ว่าหัวปลานี้สามารถนำมาทำอาหารได้ ดังนั้นกระหม่อมจึงต้องขอคำแนะนำจากองค์หญิงหกพ่ะย่ะค่ะ”
มู่ไป๋ไป่เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ารู้จักพูดเสียจริง”
พ่อครัวที่ได้รับคำชมเผยรอยยิ้มจริงใจและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขาเพียงแค่ถามอีกฝ่ายว่าต้องการวัตถุดิบใดอีกนอกจากหัวปลา
“พริก” คนตัวเล็กกลับไปนั่งบนเก้าอี้ รับชาแปดสมบัติจากมือหลัวเซียวเซียวมาแล้วนั่งไขว่ห้างด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เจ้าจะต้องเอามาทั้งสีแดงและสีเขียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี”
ภายใต้คำสั่งของเธอ ภายในห้องครัวหลวงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เวลาผ่านไปไม่นาน กลิ่นฉุนของพริกที่แตกต่างไปจากเมื่อวานก็ฟุ้งกระจายอยู่ทั่วห้องครัว
หลังจากคนในวังได้รับข่าวลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อวานนี้ คนที่มาแอบนั่งสืบข่าวอยู่ที่หน้าห้องครัวหลวงต่างก็พากันแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“แม่เจ้าโว้ย นี่มันกลิ่นอะไรกัน? หอมมาก ข้าสาบานเลยว่าข้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ถึงกลิ่นจะดูฉุนจมูกมากแต่ก็หอมมากเช่นกัน ถ้าได้ลิ้มรสข้าคิดว่าข้าคงจะต้องขอข้าวชามใหญ่ 2 ชามแน่”
“องค์หญิงหกผู้นี้สมแล้วที่เป็นธิดาของโอรสสวรรค์”
ภายในห้องครัว พ่อครัวที่มองดูหัวปลานึ่งราดพริกก็แสดงอารมณ์แบบเดียวกับคนที่อยู่ด้านนอก
“พวกเจ้าจดจำได้แล้วหรือยัง?” มู่ไป๋ไป่ขยับไหล่ที่ตึงแน่นของตัวเองเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อพลางกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าจดจำได้แล้ว เช่นนั้นข้าจะกลับตำหนักอิ๋งชุน ท่านแม่ยังรอข้ากลับไปกินข้าวอยู่”
“แล้วก็เย็นนี้ช่วยส่งหัวปลานึ่งราดพริกไปที่ตำหนักอิ๋งชุนด้วย ข้าเบื่ออาหารเปรี้ยวหวานที่พวกเจ้าทำทุกวันแล้ว”
ในเย็นวันนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกใจเลยที่หัวปลานึ่งราดพริกที่ส่งไปยังตำหนักฉือซิ่งจะถูกไทเฮาเสวยจนหมดอีกครั้ง
ครั้งนี้พระนางไม่ได้เรียกใครจากห้องครัวไปที่ตำหนักฉือซิ่ง พระนางเพียงแค่ส่งคนมาถามว่าอาหารจานนี้เป็นฝีมือขององค์หญิงหกด้วยหรือไม่
หลังจากไทเฮาได้รับคำตอบแล้ว พระนางก็บรรทมไม่ได้ทั้งคืน
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เหมือนว่าไทเฮาเริ่มจะต้านทานหลานคนนี้ไม่ไหวแล้ว 5555