บทที่ 262 การรับสมัครของสำนักศึกษาอิงชุนล้มเหลว
บทที่ 262 การรับสมัครของสำนักศึกษาอิงชุนล้มเหลว
ที่หน้าประตูมีบ่าวยืนเฝ้าอยู่ พวกผู้คนที่มุงดูอยู่ไม่กล้าหยิบของขึ้นมา จึงได้แต่รอให้เด็กหนุ่มออกมาบอกข่าว
แต่ใครจะคาดคิดว่า คราวนี้ตัวจริงอย่างผูหยางเจ้ากลับเดินออกมาเอง
เมื่อผูหยางเจ้าเดินมาถึงหน้าประตู เขาพ่นลมหายใจจากจมูกแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าออกมาเพื่อบอกพวกเจ้าโดยเฉพาะ ว่าของพวกนี้ข้าไม่สนใจ! ถ้าพวกเจ้าจะเก็บไปก็เชิญตามสบาย!”
พูดจบ สายตาของเขากวาดผ่านแท่นฝนหมึกบนพื้น ดวงตาแน่วแน่ขึ้นเล็กน้อย แววตาแฝงความประทับใจและนิ้วมือกระตุก แต่เขายังคงฝืนหักห้ามใจไม่ให้มองนานไป ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วหันหลังกลับเข้าด้านใน
เมื่อเจ้าของบอกเองว่าไม่ต้องการแล้ว เหล่าผู้คนที่รอคอยอยู่ต่างพากันกรูกันเข้าไปทันที
นอกจากถ้วยน้ำชาที่แตกละเอียดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ของอื่น ๆ ก็ถูกแย่งกันไปจนหมด แม้กระทั่งใบชาที่หล่นบนพื้นก็ยังถูกเก็บไปอย่างหมดจด
ชาหนึ่งเหลียงมีมูลค่าทองคำหนึ่งเหลียงเชียวนะ!
จะสนว่ามันสกปรกไปทำไมกัน?!
ผูหยางเจ้าแม้กลับเข้ามาในห้องหนังสือ แต่ใจของเขากลับยังอยู่ข้างนอก
ภาพของแท่นฝนหมึกที่แกะสลักด้วยลวดลายเต่าและใบบัวที่วิจิตรบรรจงนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจของอย่างอื่นมากนัก แต่เขากลับหลงใหลในแท่นฝนหมึกเป็นพิเศษ ทรัพย์สินที่สะสมมาหลายปีของเขาส่วนใหญ่ล้วนหมดไปกับการซื้อแท่นฝนหมึกดี ๆ หลากหลายชนิด แต่ก็ยังไม่เคยเห็นแท่นฝนหมึกที่พิเศษแบบนี้มาก่อน
หากรู้ว่าของมันพิเศษขนาดนี้ เขาคงจะเปิดดูให้ละเอียด และดูนานกว่านี้สักหน่อยก่อนที่จะทิ้งไป!
ตลอดช่วงบ่ายที่เหลือ ผูหยางเจ้ารู้สึกกระสับกระส่ายตลอดเวลา
เด็กหนุ่มถูกด่าหลายครั้ง จนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปในห้อง ต้องไปขอความช่วยเหลือจากพ่อบ้านใหญ่แทน
เมื่อพ่อบ้านใหญ่ได้ยินเรื่องราวของวันนี้ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร จึงนำชาเข้าไปในห้องหนังสือของผูหยางเจ้า
“นายท่าน ข้านำชามาให้ท่านขอรับ”
ผูหยางเจ้าขมวดคิ้วมองพ่อบ้านใหญ่ “ทำไมเจ้าถึงมาเสิร์ฟชาเอง?”
พ่อบ้านใหญ่ยิ้มแหย ๆ “เจ้าซงเออ๋ร์ บอกว่าท่านอารมณ์ไม่ดี เขาไม่ละเอียดพอ เลยไม่กล้าเข้าไปหาท่าน…”
ผูหยางเจ้านิ่งเงียบไป นี่คือการเตือนแบบอ้อม ๆ ของพ่อบ้านใหญ่
ไม่รอให้นายท่านตอบ พ่อบ้านใหญ่ก็พูดต่อเอง “ข้าได้ยินมาว่าแท่นฝนหมึกนั้น คนที่เก็บไปได้นำไปขายให้หอซงสือไจ้แล้ว หอซงสือไจ้ยินดีจ่ายให้ถึงห้าร้อยตำลึงเชียว”
ผูหยางเจ้าส่งเสียงเยาะเย้ย “หอซงสือไจ้ก็คงเห็นแก่เงินนั่นแหละ เจ้าแท่นฝนหมึกนั่นแค่ดูจากฝีมือการแกะสลักก็รู้แล้วว่าราคาไม่ต่ำกว่าห้าร้อยตำลึงแน่”
แค่แวบเดียวเขาก็มองออกว่ามันเป็นแท่นฝนหมึกที่ดีมาก
พ่อบ้านใหญ่พยักหน้า “สายตานายท่านย่อมไม่ผิด ท่านเป็นคนที่สูงส่ง ไม่รับของจากรัชทายาทก็ถือเป็นเรื่องดี ของพวกนี้เป็นเพียงสิ่งไม่มีชีวิต มันย่อมไม่มีความผิดใด ๆ”
“หากนายท่านชอบแท่นฝนหมึกนั้น ข้าจะให้คนไปซื้อกลับมาให้ดีไหมขอรับ?”
ผูหยางเจ้าได้ยินคำพูดที่แสนเข้าอกเข้าใจจากพ่อบ้านใหญ่ก็อดที่จะคล้อยตามไม่ได้ คิดสักพักแล้วพยักหน้า “อืม…แต่ห้ามให้คนรู้ว่าเป็นข้าที่ซื้อกลับมาล่ะ”
“รับทราบขอรับ…”
ก่อนฟ้ามืด ผูหยางเจ้าก็ได้แท่นฝนหมึกกลับมาอีกครั้ง
แต่มันต้องแลกมาด้วยเงินถึงสองพันตำลึงเงิน!
พ่อบ้านใหญ่รู้สึกเสียดายเงินมาก ส่วนผูหยางเจ้าก็อดที่จะเสียใจไม่ได้
หากรู้แบบนี้แต่แรกคงไม่ทิ้งไปตั้งแต่แรก…ด่าไปสักสองสามคำก็ยังดีกว่าที่ต้องเสียเงินไป
แต่แล้วความคิดของเขาก็กลับมาอยู่ที่แท่นฝนหมึกตรงหน้าอีกครั้ง เขาหยิบมันขึ้นมาพินิจอย่างละเอียด
ลวดลายที่แกะสลักวิจิตรบรรจงนี้ยังไม่ต้องพูดถึง เมื่อมองลึกลงไปที่เนื้อหิน เขาก็ยิ่งตื่นตะลึงขึ้นไปอีก เนื้อหินมีโครงสร้างที่แน่นละเอียด ผิวเรียบเนียนเป็นมัน
นอกจากนี้ การใช้งานยังหลากหลาย เมื่อเขาลองเติมน้ำเพื่อฝนหมึกดู ก็พบว่ามันทำงานได้ดีมาก หมึกฝนได้ราบรื่นไม่ขาดตอน ปลายพู่กันเขียนได้นิ่ง และผิวของแท่นฝนยังทำให้การฝนหมึกได้ความรู้สึกเหมือนหินหยกที่แข็งแกร่งและมีคุณค่า
ผูหยางเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านของล้ำค่าเหล่านี้มายาวนาน แต่ไม่เคยเห็นแท่นฝนหมึกเช่นนี้มาก่อน
เขาไม่อาจเก็บซ่อนความอยากรู้ได้อีก จึงหยิบกล่องที่แท่นฝนหมึกใส่มาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
กล่องนั้นถูกทิ้งจนมีมุมแตกออกไปแล้ว ด้านหน้ามีตัวอักษรเขียนไว้ว่า “แท่นฝนหมึกเสอเหยี่ยน”
“แท่นฝนหมึกเสอเหยี่ยน ?”
ผูหยางเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่ตัวอักษรตัวแรกนั้นก็ยังไม่เคยเห็น
ในฐานะผู้มีความรู้ เขาย่อมมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ หากเจออะไรที่ไม่เข้าใจ ก็อยากจะหาคำตอบให้ได้
ตัวอักษรนี้มาจากไหน? มีความหมายว่าอะไร?
เป็นสถานที่ที่ผลิตแท่นฝนหมึกหรือเปล่า? หรือว่าเป็นลักษณะพิเศษของมัน?
หากเป็นเวลาปกติ เขาคงไปหาคนที่รู้แล้วถามจนกระจ่าง
แต่คราวนี้มันต่างออกไป คนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับ “แท่นฝนหมึกเสอเหยี่ยน” มากที่สุดก็คงจะเป็นรัชทายาทนั่นแหละ เพราะของชิ้นนี้มาจากเขา
แต่เมื่อครู่เขาเพิ่งโยนทิ้งไป พอเก็บกลับมาก็ยังจะไปถามรัชทายาทอีกหรือ?
แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการขายหน้าอย่างย่อยยับ เขาไม่มีทางทำเรื่องที่อับอายแบบนั้นแน่นอน
แม้เหตุผลจะบอกให้หยุดไว้เพียงเท่านี้ แต่ความอยากรู้ในใจกลับรบกวนจิตใจเขาไม่หยุด ทำให้เขาคิดอยากจะรู้เรื่องของแท่นฝนหมึกเสอเหยี่ยน ขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน...