Chapter 60: ทองคำ!
ตอนที่ไส้ตะเกียงน้ำมันถูกเปลี่ยนไปอีกครั้ง ฉินหรานก็หยุดลง
"มันอยู่ตรงนั้น!" เขาพูด
แต่ว่า ดยุคเวย์นดูไม่ตื่นเต้นนัก เขาทำมือเป็นความหมาย "แกเข้าไปก่อนเลย" ให้ฉินหรานและจอห์น และให้ทั้งสองคนนำทางไป ดยุคผู้เจ้าเล่ห์ไม่มีทางลดระดับการระวังตัวลงหรือทำอะไรวู่วามหากยังไม่เห็นสมบัติที่ว่ากับตาตัวเอง
"ขอตะเกียงให้ฉัน!" ฉินหรานพูด
ผู้ชายคนหนึ่งยื่นตะเกียงในมือที่เพิ่งเติมน้ำมันก๊าดให้เขา แสงสว่างในมือทำให้ฉินหรานมองเห็นเส้นทางตรงหน้าชัดขึ้น แม้ว่าเขาจะเคยเห็นแผนที่และรูปอื่น ๆ มาก่อน และกุนเธอร์สันเองก็อธิบายรายละเอียดทั้งหมดให้เขาฟังมาก่อนแล้ว แต่มันก็ยังต่างไปจากที่เขาคิดเอาไว้
มีบันไดหินหลายขั้นปกคลุมด้วยโคลนแห้ง ๆ ขั้นไหนที่ไม่มีโคลนก็มีฝุ่นเกาะหนา ทางเดินช่วงนี้ต่างจากช่วงก่อนหน้าที่เปียกและมีกลิ่นเหม็นเน่า จากตรงนี้ไป ทางเดินแห้งและมีฝุ่น และกลิ่นดีต่อจมูกขึ้นเยอะ
มองไปที่บันไดอมฝุ่นดยุคเวย์นก็หัวเราะเบา ๆ อย่างที่เขาคาดไว้ ไอ้โง่สองตัวสวาร์โกและลู่ชานมาไม่ถึงที่นี่ พวกมันหายไประหว่างทาง มีทางแยกและทางเลี้ยวมากมายที่พวกเขาผ่านมา ถ้าไม่มีคนนำทางที่รู้จักที่นี่จริง ๆ การหลงทางก็เป็นมากกว่าแค่ความเป็นไปได้
"นักสืบฉินหราน เดินต่อสิ!" ดยุคเวย์นบอก
"ระวังเท้าด้วย!" ฉินหรานเตือนจอห์นขณะพยุงเขาขึ้นไปตามขั้นบันได จากนั้นเขาก็ขยับมือเล็กน้อยแล้ววางนิ้วลงบนฝ่ามือของจอห์น เขาเริ่มเขียนบางอย่างลงไปในขณะที่พวกเขาค่อย ๆ ไต่บันไดขึ้นไป ทรูตที่อยู่ด้านหลังทางขวาของเขาไม่ได้สังเกตเห็นอะไรดยุคเวย์นเองก็ด้วย ที่ด้านบนสุดของบันไดมีทางเดินยาวไม่ถึงยี่สิบเมตร แต่ก็ยาวพอให้ฉินหรานให้ข้อมูลสำคัญบางอย่างแก่จอห์นได้ จอห์นเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาให้เห็นระหว่างที่รับข้อความ
ทั้งสองคนเดินนำทั้งกลุ่มมาที่สุดทางเดินที่เป็นห้องโถงสี่เหลี่ยมกว้างขวาง ฝั่งตรงข้ามเป็นผนัง และทางด้านซ้ายและขวาของห้องโถงมีเสาใหญ่เป็นโครงสร้างค้ำยัน และมีบันไดเล็ก ๆ ห้าขั้นทอดลงไป ที่สุดปลายบันไดเป็นใจกลางห้องโถงกว้าง พื้นปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยมที่ด้านบนแกะสลักเป็นลวดลายและมีฝุ่นปกคลุมเป็นชั้นหนา
ทุกคนมองไปที่ผนังด้านตรงข้าม เวลาทำให้สีบนผนังซีดจางลงไป แต่ทุกคนก็ยังมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีรูปวาดอยู่ตรงนั้น
เป็นวงแหวนของแสงพระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ สัญลักษณ์ของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง
ที่ข้าง ๆ ดวงตราสลักเป็นตัวอักษรเล็ก ๆ สองแถว
กุนเธอร์สันได้บอกความหมายของตัวอักษรพวกนั้นแก่ฉินหรานไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจอ่านมัน ตรงกันข้าม ดยุคเวย์นดูเหมือนจะถูกตัวอักษรพวกนั้นดึงดูดไป รวมถึงจอห์นด้วย
"นี่เป็นห้องประชุมสภาของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง! ตลอดเวลาที่ผ่านมา สมบัติถูกซ่อนไว้ที่นี่! ใต้จมูกของฉันเลย!" ดยุคเวย์นพึมพำกับตัวเองขณะมองไปที่ตัวอักษรเหล่านั้น
ความลับที่ส่งผ่านกันมารุ่นต่อรุ่นภายในเมืองชักนำดยุคเวย์นลงสู่กับดักของฉินหรานและกุนเธอร์สัน
ห้องประชุมสภาของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งตรงหน้านี้เป็นของจริง มันถูกสร้างไว้ตั้งแต่เมื่อห้าร้อยปีก่อนโดยสันตะปาปาที่เป็นบุตรแห่งพระผู้เป็นเจ้าคนสุดท้ายที่มีบันทึกไว้ เป็นความลับที่รู้กันในกลุ่มชนระดับสูงของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง และระดับสูงที่ว่า มักหมายถึง สันตะปาปา นักบุญ และหัวหน้าอัศวินแห่งรุ่งอรุณ
กุนเธอร์สันไม่ใช่หัวหน้าอัศวินแห่งอรุณรุ่ง แต่เพราะการเสื่อมโทรมลงของศาสนจักร ซิสเตอร์โมนี่ ผู้เป็นนักบุญแห่งอรุณรุ่งคนสุดท้ายก็ไม่ได้สนใจที่จะปกปิดข้อมูลนี้จากเขา ดังนั้น พอฉินหรานอธิบายแผนของเขาในการล่อผู้ต้องสงสัยออกมายังจุดลอบสังหารและจัดการคนเหล่านั้นทั้งขบวนการในทีเดียว กุนเธอร์สันจึงได้คิดถึงสถานที่นี้และบอกฉินหราน ฉินหรานรู้สึกตื่นเต้นเป็นที่สุดกับการบอกเล่าครั้งนี้ จะมีที่ไหนเหมาะแก่การซ่อนสมบัติพันปีเอาไว้มากกว่าห้องประชุมสภาของศาสนจักรแห่งอรุณรุ่งของจริงแบบนี้?
กุนเธอร์สันไม่ได้กังวลว่าจะเป็นการดูหมิ่นสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นห้องประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะอัศวินคนสุดท้าย ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็แค่กองหินที่สุดท้ายแล้วก็ถูกฝังไปตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากุนเธอร์สันจะเห็นด้วยกับแผนการ ใบหน้าของเขาก็ยังทะมึนมากอยู่ดี
ส่วนซิสเตอร์โมนี่?
เมื่อกุนเธอร์สันรับหน้าที่ประสานงาน ซิสเตอร์โมนี่ก็เริ่มใช้เวลาทั้งหมดไปกับงานของโรงเรียนและการสอนหนังสือ และมาร่วมมื้ออาหารกับพวกเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น สำหรับเธอนั้น โรงเรียนและนักเรียนของเธอคือทุกอย่างที่เธอมี อีกอย่าง เธอไว้ใจกุนเธอร์สันอย่างเต็มที่ เธอรู้ดีกว่าเขาเป็นอัศวินที่เชื่อถือได้ที่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จได้
เหมือนที่ได้รับการบอกกล่าวมา ทันทีที่เขาย่างเท้าเข้าสู่ห้องโถง ฉินหรานก็มองเห็นจุดที่กุนเธอร์สันทำสัญลักษณ์ไว้ที่มุมหนึ่ง ให้สัญญาณว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ทั้งหมดที่ฉินหรานต้องทำก็คือ เล่นละคร
ฉินหรานกวาดตามองรอบตัวอย่างละเอียด เขาสังเกตเห็นว่าดยุคถูกภาพวาดบนผนังดึงดูดความสนใจไปและทหารพลีชีพก็กระจายอยู่รอบ ๆ คอยปกป้องเจ้านายของพวกมัน เจ้ายักษ์ใหญ่ทรูตยังคงตามอยู่ด้านหลังฉินหรานและจอห์น ดูเหมือนว่าเจ้านี่จะเป็นลูกน้องที่ดยุคเวย์นเชื่อใจมากที่สุด ดยุคเวย์นไม่ได้มีท่ากังวลถึงการลงมือฉับพลันของฉินหรานหรือจอห์น แค่ขนาดตัวของชายคนนี้ กระทั่งจอห์นก็ยังดูตัวเล็กลง ฉินหรานก็ยิ่งตัวเล็กลงไปอีก
นั่นทำให้ตอนที่ฉินหรานเตะทรูตอย่างแรงจากด้านข้างให้เขาตกใจทรูตจึงแค่ฉีกยิ้มโหดเหี้ยมและกระโจนเข้าใส่ฉินหรานโดยไม่คิดจะหลบลูกเตะของฉินหรานเลย
จากมุมมองของทรูต มันก็แค่ลูกเตะเบา ๆ ที่ไม่สามารถทำอันตรายให้แก่ตัวเขาได้
เขาไม่ควรประมาทฉินหรานเลย
ฉินหรานเตะบ่าของทรูตด้วยเท้าซ้ายอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็ว เกิดเสียงกระทบหนัก ๆ เหมือนเอาค้อนทุบ
ด้วยผลลัพธ์พิเศษจาก [การต่อสู้มือเปล่า เชี่ยวชาญการเตะ] ฉินหรานที่มีค่าพลังโจมตีระดับ E ก็เพิ่มระดับขึ้นเป็น E+ ชั่วคราว ค่าพลังโจมตีระดับ E+ นั้นเทียบเท่ากับนักยกน้ำหนักระดับแชมป์โลก เหนือกว่าพละกำลังของผู้ชายทั่วไปมาก แม้ว่าทรูตจะสูงราวกับยักษ์และมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย เขาก็ยังเป็นแค่คนธรรมดาที่อย่างมากก็แค่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปไม่มากนัก เมื่อลูกเตะหนัก ๆ ฟาดใส่ตัว ทรูตก็รู้สึกเจ็บปวดรุนแรง แรงกระแทกทำให้เขาโซเซจนเกือบจะล้มลงไป
ลูกเตะที่สองตามมาติด ๆ กระแทกเข้าเป้าหมายคือหน้าอกของทรูตหลังจากลูกเตะแรกเพียงแค่เสี้ยววินาที ทรูตเพิ่งได้ลิ้มรสความร้ายกาจของลูกเตะของฉินหรานก็พยายามหลบลูกเตะที่สองตามสัญชาตญาณ แต่ก็ได้แต่รับรู้ว่ามันเร็วและแรงกว่าลูกเตะแรกมากนัก
มันเป็น [การเตะพื้นฐาน]
ฉินหรานเล็งลูกเตะที่สองของเขาไปที่หน้าอกของทรูตโดยไม่ออมแรง ทรูต่เสียหลักไปหลังถูกเตะครั้งแรก ดังนั้นตอนที่โดนเตะครั้งที่สองเขาก็ล้มลงพื้น เลือดไหลออกจากปาก
ผลลัพธ์ของสกิล [การต่อสู้มือเปล่า เชี่ยวชาญการเตะ] เสริมด้วยสกิล [การเตะพื้นฐาน] นั้นทำให้พลังโจมตีและความคล่องแคล่วของการเตะครั้งที่สองของฉินหรานไปอยู่ที่ระดับ E+
"วิ่ง!"
หลังจากที่ฉินหรานกำจัดอุปสรรคเดียวของพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่พยายามโจมตีคนอื่น เขาแค่คว้าตัวจอห์นไว้แล้ววิ่ง ดยุคเวย์นตกตะลึง เขาไม่คิดว่ามือดีที่สุดของเขาจะพลาด
"ยิง!" เขาสั่งลูกน้องที่เหลืออยู่ทันที ปืนทุกกระบอกยิงออกไปพร้อม ๆ กัน ควันจากดินปืนฟุ้งเต็มห้องโถงอย่างรวดเร็ว แต่ว่าดยุคเวย์นก็ยังมองเห็นพวกเขาสองคนได้จากแสงตะเกียง ก่อนที่คนของเขาจะยิง ฉินหรานกับจอห์นก็ได้หลบพ้นทางปืนและมุ่งไปที่เสาในห้องโถงแล้ว
"กำจัดพวกมันซะ!" ดยุคเวย์นตะโกน
ความผิดพลาดของลูกน้องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันทำให้เขาโมโห พลันก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขา เขาหมุนตัวกลับไปโดยสัญชาตญาณ เขาเห็นชายรูปร่างใหญ่โตคนหนึ่งถือคบเพลิงไว้ในมือ แบกหีบสมบัติใบหนึ่งยืนอยู่ที่ตรงทางเข้า
ข้าง ๆ ชาย่ราเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่กำลังมองฉินหรานและสารวัตรจอห์นด้วยอย่างกระวนกระวาย
"กุนเธอร์สัน! แกยังมีชีวิตอยู่?"
ดยุคเวย์นจำชายแก่ตรงหน้าได้ทันที เขาขมวดคิ้ว เขารู้เรื่องตำนานของอัศวินคนสุดท้ายแห่งศาสนจักรแห่งอรุณรุ่ง แต่ที่เขาสนใจกว่าก็คือหีบสมบัติบนบ่าของกุนเธอร์สัน
"นั่นอะไร?" ดยุคเวย์นถาม
"ฉันจะตายได้ยังไง ในเมื่อพวกละโมบอย่างแกยังมีชีวิตอยู่?" กุนเธอร์สันพูดพร้อมยิ้มเยาะ ก่อนที่จะเลื่อนคบเพลิงไปจ่อที่ชนวดที่ติดอยู่กับหีบและจุดชนวน "นี่ไง รับของเล่นพวกแกไปสิ!" กุนเธอร์สันขว้างหีบออกไปแรงเท่าที่เขาสามารถทำได้ ราวกับนักทุ่มน้ำหนัก หีบปลิวไปทางดยุคเวย์นราวกับจรวด
ทหารพลีชีพรีบเข้าไปหาดยุคเวย์นใช้ร่างกายของตัวเองเป็นเกราะป้องกันการจู่โจมที่เข้ามา แต่สีหน้าของดยุคเวย์นกลับทะมึนลง เขารู้ว่าข้างในหีบนั่นเป็นอะไร
อย่างไรเสีย ก็เป็นเขาที่เตรียมระเบิดทำมือมากมายเหล่านั้นให้สวาร์โกและลู่ชาน
ถ้าเขายังไม่รู้ว่าสวาร์โกและลู่ชานตายไปแล้ว วินาทีที่ตกลงมาในกับดักเขาก็รู้ว่าตัวเองเสียค่าโง่แล้ว
"หลบให้พ้นทาง!" ดยุคเวย์นวิ่งเข้าหาเสาต้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าการหาที่กำบังนั้นเป็นทางเดียวที่เขาจะรอดจากแรงระเบิด ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตะโกนบอกให้คนของเขาหาที่กำบัง ทหารพลีชีพเหล่านั้นคือเบี้ยล้ำค่าที่สุดของเขา มันไม่ใช่เวลาให้พวกมันมาตายตอนนี้
แต่มันก็สายไปแล้ว
ตูม!
แรงระเบิดรุนแรงจนทำให้ห้องโถงใต้ดินสะเทือนอย่างรุนแรง ทรูตและทหารพลีชีพทั้งสิบเอ็ดคนถูกระเบิดเป็นชิ้น ๆ เลือดสาดนองไปทั่วพื้น ทั้งหมดตายในเปลวไฟจากแรงระเบิด ห้องโถงสั่นรุนแรงมากขึ้นทุกวินาที การสั่นสะเทือนทำให้ก้อนอิฐบางส่วนหลุดร่วง ห้องโถงเริ่มถล่มลงมา
ฉินหรานและจอห์นซึ่งซ่อนอยู่หลังเสา รวมทั้งดยุคเวย์น รอดชีวิตจากแรงระเบิดและเริ่มวิ่งไปที่ทางเข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
"เร็ว!" กุนเธอร์สันตะโกน
"สารวัตร! คุณฉินหราน! เร็วครับ!" ชายหนุ่มที่วิ่งอยู่ข้าง ๆ ก็ร้องกระตุ้นพวกเขา
ทั้งห้าคนไม่ได้สังเกตเลยว่าผนังฝั่งตรงข้ามทางเข้าเริ่มมีรอยแตกร้าว รอยร้าวแผ่ออกไปราวกับใยแมงมุม ห้องโถงยังคงสั่น รอยร้าวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งผนังแตกออก
รูปวาดทั้งชิ้นแตกกระจาย แล้วทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรูออกจากจากกำแพงราวกับคลื่นยักษ์