บทที่ 48: หมูตุ๋น
ก่อนหน้านี้มู่ไป๋ไป่ขอให้หลัวเซียวเซียวไปหาเก้าอี้มาตัวหนึ่งเพื่อให้เธอยืนอยู่บนนั้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังสูงไม่พ้นหัวคนอื่นอยู่ดี
“อะแฮ่ม…” เด็กหญิงยืนเอามือไพล่หลังและกระแอมเสียงดังเพื่อเรียกความสนใจของทุกคน
ทว่าเสียงเล็ก ๆ ของเธอก็จมหายไปท่ามกลางเสียงกระซิบของฝูงชน
“...”
ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่เคารพกันเลยสักนิด?
“องค์หญิงหก ใช้เจ้านี่สิเพคะ” หลัวเซียวเซียวหยิบไม้พายจากที่ไหนก็ไม่ทราบมายื่นให้มู่ไป๋ไป่
นอกจากนี้นางยังถือหม้อเหล็กขนาดครึ่งหนึ่งของตัวเองอยู่ในมือ และทำท่าให้อีกฝ่ายเคาะหม้อ
มู่ไป๋ไป่ที่เห็นดังนี้ก็ยกนิ้วชื่นชมสหายตัวน้อย “เจ้าฉลาดมาก”
จากนั้นก็มีเสียงเคาะหม้อดังขึ้น แล้วทุกคนในห้องครัวก็เงียบเสียงลงทันทีพร้อมกับหันไปสนใจเด็กหญิงที่ยืนอยู่บนเก้าอี้
ใครจะไปคาดคิดว่าการใช้หม้อเหล็กขนาดใหญ่นั้นจะได้ผลเป็นอย่างดี มู่ไป๋ไป่เองก็ตกใจเสียงเคาะมากจนเกือบเสียหลักตกจากเก้าอี้
โชคดีที่หลัวเซียวเซียวที่อยู่ด้านข้างช่วยจับเธอไว้ได้ทันเวลา
“ถ้าไม่อยากถูกตัดหัว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปพวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า”
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากใบหน้าที่ดูน่ารักและเสียงเล็กแหลมของเด็ก คำสั่งที่ออกจากปากจึงทำให้ผู้คนรู้สึกตะขิดตะขวงในใจ
ในสายตาของทุกคน เธอไม่ต่างจากเด็กซนที่กำลังก่อเรื่องอยู่ที่นี่
ดังนั้นพ่อครัวคนหนึ่งจึงพูดขึ้นมาด้วยหน้าตาบูดบึ้งว่า “องค์หญิงหก พระองค์ทรงอย่าได้ล้อพวกข้าน้อยเล่นเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ ใครบอกว่าล้อพวกเจ้าเล่นกัน” มู่ไป๋ไป่รู้สึกไม่พอใจมากเมื่อถูกตั้งข้อกังขา
อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันเป็นนักกินที่มีประสบการณ์มาก่อนที่จะมาที่นี่นะยะ!
ถ้าในอดีตแม่ของเธอไม่คอยบงการชีวิต เธอคงกลายเป็นดาวรุ่งในวงการอาหารที่มีแฟนคลับติดตามหลายล้านคนและก้าวไปถึงจุดสูงสุดในอาชีพการงานแล้ว
คนพวกนี้กล้าดีอย่างไรถึงมาสงสัยเธอกัน!
“องค์หญิงหก พวกเรารู้ว่าพระองค์มีเจตนาดี” พ่อครัวอีกคนดูจะมีไหวพริบมากกว่าเล็กน้อย “แต่ในสถานที่สกปรกอย่างห้องครัวไม่เหมาะกับคนที่มีฐานะอย่างพระองค์”
แต่นัยแฝงของคำพูดนั้นก็คือ องค์หญิงที่ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กจะรู้วิธีทำอาหารได้อย่างไรกัน?
“นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่ใช่หรือไม่?” มู่ไป๋ไป่หรี่ตามองพ่อครัวที่เป็นคนพูด
นั่นทำให้ทุกคนเงียบลง คำถามเช่นนี้จะมีใครกล้าตอบบ้างล่ะ?
ทันทีที่เด็กหญิงเห็นสีหน้าลำบากใจของทุกคน เธอก็รู้คำตอบของพวกเขาจึงแอบบ่นในใจด้วยความโมโห
“ทุกคน อย่างไรเสียตอนนี้พวกเราก็ไม่เหลือหนทางแล้ว ทำไมเราถึงไม่ลองฟังสิ่งที่องค์หญิงหกพูดก่อนล่ะ?” จู่ ๆ พ่อครัวที่ยืนอยู่ข้างหลังก็พูดขึ้นมา “ในเมื่อพวกเราเองก็ไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้อยู่แล้ว เราจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมได้อย่างไร อย่างน้อยเราก็ควรหาทางรอดให้ตัวเองไม่ใช่หรือ?”
เหล่าพ่อครัวได้พูดคุยหารือกันตั้งแต่เช้าแต่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้ แม้ว่าจะปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานกว่านี้ พวกเขาก็คงมาถึงทางตันเช่นเคย
การที่พวกเขาลองเชื่อองค์หญิงหกผู้นี้สักครั้งมันจะไม่เป็นการดีกว่าหรือ?
แล้วคำพูดของพ่อครัวคนนี้ก็กระทบใจของผู้คนมากมาย ทำให้พวกเขาเริ่มวางทิฐิในใจลง
“เจ้าฉลาดมาก” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าให้พ่อครัวคนนั้นและเอ่ยปากชม
“จากนี้ไป คนที่เต็มใจเชื่อมั่นในตัวข้าให้ก้าวออกมาข้างหน้าแล้วฟังคำสั่งของข้า”
“ส่วนใครที่ไม่เชื่อ พวกเจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ องค์หญิงคนนี้จะไม่ตำหนิเจ้า”
“หลัวเซียวเซียว เจ้าไปเอาหมูสามชั้นมาชิ้นหนึ่ง วันนี้ข้าจะทำอาหารจานอร่อยให้เจ้าชิม”
หลัวเซียวเซียวตอบเสียงร่าเริง ก่อนจะวิ่งตรงไปยังส่วนที่เก็บวัตถุดิบและหยิบเนื้อหมูสามชั้นชิ้นโตออกมา
ใครบอกว่าองค์หญิงของข้าไม่รู้เรื่องการทำครัวกัน?
ดูสิ องค์หญิงรู้จักหมูสามชั้นว่าคืออะไรด้วยซ้ำ
“เจ้าหั่นหัวหอม ขิง และกระเทียม จากนั้นก็ใส่ลงในหม้อที่มีน้ำเย็นพร้อมกับเนื้อหมูสามชั้น” มู่ไป๋ไป่เอามือข้างหนึ่งไพล่ไว้ด้านหลัง ส่วนอีกข้างก็ยกชี้นิ้วออกคำสั่ง
ปกติหลัวเซียวเซียวมักจะทำอาหารและตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยตัวเองอยู่เสมอยามที่อยู่ในจวนสกุลหลัว ดังนั้นนางจึงรู้วิธีการทำอาหารเช่นกัน
ขณะนี้นางกำลังถือมีดทำครัวขนาดใหญ่พอ ๆ กับแขนของนางและหั่นผักตามที่สั่งอย่างคล่องแคล่ว
ซึ่งนั่นทำให้ทุกคนที่ยังลังเลในตอนแรกเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นหลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของเด็กทั้ง 2 คน
พอมีคนหนึ่งก้าวไปช่วยเหลืออย่างกล้าหาญแล้ว ก็มีผู้คนกล้าก้าวออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ
อาหารที่มู่ไป๋ไป่อยากจะทำนั้นไม่ซับซ้อนเลย และเมื่อมีคนคอยช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ ความก้าวหน้าจึงรวดเร็วขึ้นแบบเห็นได้ชัด
หมูสามชั้นที่ถูกต้มอยู่ในหม้อกำลังเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมของส่วนผสมที่เข้มข้นไปทั่วห้องครัว ทำให้หลายคนที่ได้กลิ่นพากันน้ำลายไหล
“องค์หญิงหก พระองค์ทรงกำลังจะทำอาหารประเภทใดกันพ่ะย่ะค่ะ?” พ่อครัวคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เมื่อเด็กหญิงเห็นว่ามีคนเอ่ยปากถามตนขึ้นมาก่อน เธอจึงตอบว่า “ข้าจะทำหมูตุ๋น”
เธอเคยค้นพบตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วว่าอาหารในแคว้นเป่ยหลงนั้นถูกปรุงขึ้นมาง่าย ๆ ที่นี่มีอาหารเพียงไม่กี่ประเภทที่ถูกปรุงขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก และมีอาหารที่ใช้น้ำปรุงรสเป็นส่วนประกอบน้อยมาก
นอกจากนี้เธอเพิ่งได้ยินจากนางกำนัลในตำหนักว่าไทเฮาทรงเสวยพระกระยาหารมังสวิรัติมาเป็นเวลานานแล้ว เธอจึงนึกถึงอาหารจานนี้ที่เธอกินไม่เคยเบื่อเลย นั่นก็คือหมูสามชั้นตุ๋น
“หมูตุ๋นหรือ?” พ่อครัวยกมือขึ้นแตะคางตัวเอง “เลือกเนื้อก่อน แล้วจึงนำไปต้มในหม้อ จากนั้นก็เติมเครื่องปรุงลงไปและปรับไฟแรงเพื่อให้น้ำงวด ยอดเยี่ยมจริง ๆ …”
พอมู่ไป๋ไป่คำนวณว่าใกล้จะสุกได้ที่แล้ว เธอก็สั่งให้คนเปิดฝาหม้อ สุดท้ายก็โรยต้นหอม 1 กำมือลงไป เพียงเท่านี้กลิ่นที่ฟุ้งอยู่ในห้องครัวก็เพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
บางครั้งคนในวังหลวงที่เดินผ่านห้องครัวหลวงก็ขยับจมูกสูดกลิ่นพลางแอบยื่นหน้าเข้ามาด้านใน พวกเขาอยากจะรู้ว่าห้องครัวได้คิดค้นอาหารจานใหม่ชนิดใดขึ้นมาในวันนี้ เพียงแค่ได้กลิ่นพวกเขาก็รู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว
“พวกเจ้าลองชิมดูสิ” มู่ไป๋ไป่แบ่งหมูตุ๋นใส่ชามใบเล็กก่อนจะให้หลัวเซียวเซียวเอาไปให้พวกพ่อครัวชิม จากนั้นจึงแบ่งเนื้อที่เหลือออกเป็นส่วน ๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอาหาร… ไม่สิ มันเป็นเพียงการกำกับคนอื่นทำอาหาร แน่นอนว่าความสำเร็จที่น่าจดจำเช่นนี้จะต้องแบ่งปันให้กับท่านพี่รัชทายาท
เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอได้รับความช่วยเหลือจากมู่จวินฝานซึ่งทำให้ซูหว่านได้รับความโปรดปรานจากมู่เทียนฉง สำหรับเรื่องนี้เธอยังไม่ได้ทำอะไรตอบแทนเขาเลย
หมูตุ๋นชามนี้จึงเป็นเหมือนของขวัญแทนคำขอบคุณ
“เนื้อที่มีสีเข้มเช่นนี้จะอร่อยได้อย่างไร?” พ่อครัวคนหนึ่งขมวดคิ้วอย่างสงสัยขณะแอบกระซิบพูดเสียงเบา
ส่วนพ่อครัวที่ช่วยพูดแทนมู่ไป๋ไป่ตั้งแต่ต้นก็ตรงไปหยิบตะเกียบ ก่อนจะคีบหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ขึ้นมาดมกลิ่นแล้วเอาเข้าปากโดยไม่รอช้า
ในเวลานี้ทุกคนมองหน้าเขาพร้อมกับลุ้นไปด้วย
ใบหน้าของพ่อครัวคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อในขณะที่เขาค่อย ๆ เคี้ยวเพื่อลิ้มรสอาหาร
ในระหว่างที่ทุกคนคิดว่าเขาจะพูดว่ามันเค็มเกินไปหรือหวานเกินไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงกระแทกโต๊ะและเสียงพูดว่า “เร็วเข้า ไปเอาข้าวชามใหญ่ ๆ มาให้ข้าที เนื้อนี้อร่อยมาก มันเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาก่อนในชีวิตนี้”
“มันอร่อยจริงหรือ? ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย” พ่อครัวอีกคนหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วรีบพากันแย่งชิมหมูตุ๋น
ส่วนคนอื่นที่อยากรู้อยากเห็นมากเช่นกันก็รีบวิ่งเข้าไปล้อมวงชิมอาหารทีละคน
หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงเอ่ยปากชมมากมายจากในห้องครัวหลวง
ในเวลาเดียวกัน มู่ไป๋ไป่เดินออกจากห้องครัวไปด้วยความพึงพอใจพร้อมกับหลัวเซียวเซียวซึ่งกำลังถือกล่องอาหารมุ่งหน้าไปยังตำหนักตงกงของมู่จวินฝาน
“องค์หญิงหก ไทเฮาทรงเสวยพระกระยาหารมังสวิรัติมาโดยตลอด คนของห้องครัวจะยอมส่งหมูสามชั้นที่พระองค์ปรุงไปให้ทางตำหนักฉือซิ่งหรือเพคะ?” เด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ตัวนางที่ติดตามมู่ไป๋ไป่มาเองก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
การได้เห็นองค์หญิงได้รับคำชมจากผู้อื่นมันทำให้นางรู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าตนได้รับคำชมเสียอีก
“แน่นอน” มู่ไป๋ไป่ยิ้มอย่างมั่นใจ “เพราะนี่เป็นหนทางรอดเพียงทางเดียวของพวกเขา หากพวกเขาไม่อยากตาย สำรับนี้ก็จะถูกส่งออกไป”
แล้วมันก็เป็นไปตามที่คนตัวเล็กคาดเอาไว้ ในวันนั้นหมูตุ๋นจานเล็ก ๆ ได้ไปตั้งอยู่บนโต๊ะเสวยพระกระยาหารของไทเฮา
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: ดูซิว่าจะมัดใจท่านย่าด้วยอาหารได้หรือเปล่า