บทที่ 47: ไม่อยากอาหาร
เรื่องของหลัวเซียวเซียวได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์เพราะมู่เทียนฉงอนุมัติเป็นที่เรียบร้อย
นอกจากนี้ อาจารย์เสิ่นยังได้แจ้งกับทุกคนว่าศาลาหมิงหลี่จะงดชั้นเรียนชั่วคราว มู่ไป๋ไป่รู้สึกมีความสุขมากและลากหลัวเซียวเซียวไปเที่ยวรอบวังหลวงตลอดทั้งวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ภายในไม่กี่วัน รอยเท้าของเธอก็ย่ำไปเกือบจะทั่ววังหลวง
“เฮ้อ น่าเบื่อเสียจริง”
เด็กหญิงนอนอยู่บนหลังคาเลียนแบบพฤติกรรมของอวี้เซิ่งก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ในปากเล็ก ๆ ยังมีผลไม้ที่เธอกับหลัวเซียวเซียวเก็บมาจากต้นเมื่อวานนี้ซึ่งการได้กินผลไม้สด ๆ จากต้นนั้นเป็นอะไรที่อร่อยมาก
“องค์หญิงหก… พระสนมกำลังตามหาพระองค์อยู่เพคะ” หลัวเซียวเซียวพูดในขณะที่กำลังปีนบันไดขึ้นมาจากด้านหนึ่ง
ทุกวันนี้นางได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีอยู่ในตำหนักอิ๋งชุน มันทำให้ใบหน้าที่เคยเรียวเล็กของนางมีน้ำมีนวลขึ้น และผิวของนางก็ไม่ได้ซีดเผือดเหมือนคนสุขภาพไม่ดีอีกต่อไป
แม้ว่านางจะไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาน่ารักเท่ากับมู่ไป๋ไป่ แต่นางก็ยังเป็นเด็กที่น่ารักมากคนหนึ่ง
“ชู่!” มู่ไป๋ไป่ได้ยินเสียงเรียกจึงรีบดึงอีกคนมาด้านข้างแล้วทำท่าให้นางเงียบ “เงียบเสียงไว้ ท่านแม่คงอยากให้ข้ากลับไปอ่านตำรา”
“พ่อแม่ทั่วโลกคงจะเหมือนกันหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นวันหยุด แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ลูก ๆ อย่างพวกเราได้พักผ่อนบ้าง”
เด็กหญิงส่ายหัวพลางกัดลูกท้อเข้าปากเต็มคำ เป็นผลให้รสเปรี้ยวแทรกซึมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้เธอต้องปิดปากกลั้นเสียง แล้วใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นเหยเก
“องค์หญิงหก หม่อมฉันบอกแล้วว่าลูกท้อพวกนี้ยังไม่สุกจึงยังมีรสเปรี้ยว”
เมื่อหลัวเซียวเซียวเห็นเช่นนั้น นางก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วบอกให้อีกฝ่ายคายลูกท้อในปาก
จากนั้นนางก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “หม่อมฉันเตือนองค์หญิงหกตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่พระองค์ก็ไม่ยอมฟัง”
“ถุย ถุย ถุย…” มู่ไป๋ไป่คายทุกอย่างในปากออกมา รสชาติของลูกท้อนั้นทั้งเปรี้ยวและฝาด มันไม่อร่อยอย่างที่เธอคิดเลย
“ข้าเห็นว่ามันเปลี่ยนกลายเป็นสีแดง ก็เลยคิดว่ามันกินได้น่ะสิ”
หลัวเซียวเซียวไม่เข้าใจว่ามู่ไป๋ไป่ในฐานะองค์หญิงไม่เคยได้กินผลไม้หวาน ๆ เลิศรสบ้างเลยหรืออย่างไร ทำไมนางถึงเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับผลไม้ป่าพวกนี้ องค์หญิงหกช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดมากจริง ๆ
“หม่อมฉันมีขนมหอมหมื่นลี้ที่เหลือจากเมื่อวาน องค์หญิงต้องการกินมันล้างปากสักหน่อยหรือไม่เพคะ?” เด็กหญิงถามขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจเมื่อนางเห็นว่าคนข้าง ๆ มีสีหน้าเศร้าหมอง
มู่ไป๋ไป่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “รีบเอามันออกมาเลย ปากข้าฝาดไปหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวล หากข้ากินขนมของเจ้า 1 ชิ้น ข้าจะชดใช้คืนให้เจ้าคืนนี้”
จากนั้นเธอก็เอื้อมมือออกไปขอขนมโดยไม่เหนียมอายแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีดูถูกใด ๆ มันทำให้หลัวเซียวเซียวหัวเราะออกมาเบา ๆ
องค์หญิงหกไม่เพียงแค่เป็นคนแปลกประหลาดที่สุดเท่าที่นางเคยพบมา แต่นางยังเป็นองค์หญิงที่นิสัยดีที่สุดที่ตนเคยพบอีกด้วย
ต่อมา เด็กหญิงหยิบขนมหอมหมื่นลี้ที่ถูกห่ออย่างประณีตมาให้มู่ไป๋ไป่
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องคืนขนมหม่อมฉันหรอกเพคะ ทุกคนในตำหนักอิ๋งชุนดีต่อหม่อมฉันมาก พวกนางแบ่งขนมที่เหลือให้กับเซียวเซียวทุกวัน”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้กินขนมในตำหนักอิ๋งชุนมากกว่าที่นางเคยกินในจวนตระกูลหลัวรวมกันหลายปีเสียอีก
“แค่ได้กินขนมไม่กี่ชิ้นเจ้าก็บอกว่าพวกนางเป็นคนดีแล้วหรือ?” มู่ไป๋ไป่กัดขนมหอมหมื่นลี้เข้าไปในปากเพื่อเจือจางรสฝาด แล้วพูดติดตลกด้วยรอยยิ้ม
หลัวเซียวเซียวยิ้มเอียงอายในขณะที่กล่าวว่า “ด้วยความกรุณาที่องค์หญิงมอบให้ ทำให้ทุกวันนี้หม่อมฉันได้มีชีวิตที่ดีมากเพคะ”
ตอนนี้นางมีเตียงอุ่น ๆ ให้นอน มีเสื้อผ้าสะอาดให้สวมใส่ มีอาหารให้กินอิ่มท้อง และมีตำราให้ได้ศึกษา
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางไม่เคยกล้านึกฝันยามที่อยู่ในจวนตระกูลหลัว
มู่ไป๋ไป่รับรู้โดยธรรมชาติว่าหลัวเซียวเซียวต้องการจะสื่อถึงอะไร
ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าของร่างเดิมก็มีประสบการณ์เช่นเดียวกับเด็กผู้หญิงคนนี้ เมื่อมองดูอีกฝ่าย เธอก็เหมือนกำลังมองเห็น ‘มู่ไป๋ไป่’ ในอดีต
“อะไรกัน?” จู่ ๆ คนตัวเล็กก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา “องค์หญิงคนนี้จะพาเจ้าไปท่องโลกกว้างพบเจอสิ่งต่าง ๆ อีกมากมายในอนาคต เจ้าเตรียมตั้งตารอดูเถอะ”
“เอาล่ะ วันนี้ เรามาเริ่มกันที่ห้องครัวของฝ่าบาทกันดีกว่า”
“หา?” หลัวเซียวเซียวไม่เข้าใจว่าทำไมบทสนทนาของพวกนางจึงจบลงที่ห้องครัวของฮ่องเต้
มู่ไป๋ไป่ไม่ได้ปล่อยให้อีกคนมีเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และดึงนางตรงไปยังห้องครัวหลวงซึ่งเป็นห้องครัวที่เอาไว้ทำอาหารให้ฮ่องเต้โดยเฉพาะ
ต้องบอกว่าห้องครัวหลวงแห่งนี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมอาหารอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก
ในทุกวันเหล่าพ่อครัวต่างเค้นสมองหาวิธีสร้างสรรค์อาหารใหม่ ๆ เพื่อเอาใจฝ่าบาท
ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นปัญหาหนักอกหนักใจของพวกเขามาก
มิหนำซ้ำ ช่วงนี้ไทเฮาไม่ค่อยอยากอาหารด้วย
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันแล้วที่สำรับอาหารที่ส่งกลับจากตำหนักฉือซิ่งไม่ถูกแตะต้องเลย และไทเฮาก็ได้สั่งให้หมอหลวงมาตรวจพระนางแล้ว แต่ก็ไม่พบปัญหาอะไร
สาเหตุที่ไทเฮาไม่แตะต้องอาหารที่ถูกส่งมาจากห้องครัวหลวงอาจเป็นเพราะว่าพระนางเหนื่อยเกินไปจึงเสวยไม่ลงเพียงเท่านั้น
เหล่าพ่อครัวจึงกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขามซึ่งก็คือการคิดหาวิธีส่งอาหารสำรับใหม่ที่แตกต่างกันให้กับตำหนักฉือซิ่งทุกวัน อย่างไรก็ตาม ไทเฮาก็ไม่มีความอยากอาหารเพิ่มขึ้นบ้างเลย
พอมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวเดินเข้าไปในห้องครัวหลวง ปรากฏว่าพ่อครัวไม่ได้ยุ่งอยู่กับการทำอาหารอยู่หน้าเตา แต่พวกเขากำลังรวมตัวกันอยู่ที่ประตูด้วยท่าทางเศร้าโศก
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” คนตัวเล็กที่เห็นท่าทีแปลกประหลาดจึงดึงนางกำนัลที่ทำงานในครัวมาถาม
อีกฝ่ายจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร แต่พอนางเห็นว่าเธอแต่งตัวแปลก ๆ และสามารถเดินเข้าออกวังหลังได้อย่างอิสระ นางก็รู้ได้ทันทีว่าตัวตนของคนผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา นางจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟังด้วยท่าทางนอบน้อม
“ถ้าวันนี้ไทเฮายังไม่สามารถเสวยพระกระยาหารได้ หัวของพวกข้าน้อยคงจะหลุดจากบ่า” หลังจากนางกำนัลพูดจบ นางก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
“เพราะอะไรกัน?” มู่ไป๋ไป่ลูบคางตัวเองพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด “บอกข้ามาสิว่าช่วงนี้มีอาหารประเภทใดบ้างที่ถูกส่งไปยังตำหนักฉือซิ่ง”
เธอพอจะรู้จักฝีมือของพ่อครัวในห้องครัวหลวงอยู่บ้าง แน่นอนว่าพวกเขามีความเก่งกาจถึงได้มายืนในจุดนี้
อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้มีนิสัยในการทำอาหารแบบผิด ๆ กล่าวคือ อาหารที่ถูกส่งไปยังแต่ละตำหนักขึ้นอยู่กับรสนิยมของเจ้าของตำหนักนั้น ๆ
ตัวอย่างเช่น ตำหนักอิ๋งชุนขึ้นชื่อว่าเป็นตำหนักที่ชอบอาหารรสเปรี้ยวหวาน อาหารที่ถูกส่งจากห้องครัวหลวงไปยังตำหนักอิ๋งชุนในทุกวันส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารรสเปรี้ยวและหวาน
ไม่ว่าเธอจะชอบกินอาหารเหล่านั้นมากแค่ไหน แต่การได้กินมันทุกวันก็ต้องมีเบื่อกันบ้าง ดังนั้นทุกวันนี้เธอจึงออกไปหาเก็บผลไม้ป่ามาล้างปาก
“ไทเฮาทรงเสวยพระกระยาหารที่เบาท้อง ดังนั้นอาหารที่ถูกส่งไปในช่วงนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารมังสวิรัติ” นางกำนัลรายงานชื่ออาหาร 2-3 รายการออกมาและมู่ไป๋ไป่ก็รู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกำลังเปลี่ยนเป็นสีเขียวเมื่อได้ยินมัน
การที่ต้องกินพืชผักเหล่านี้ทุกวัน เธอจึงไม่แปลกใจเลยที่ไทเฮามีนิสัยแปลก ๆ และพระนางก็ชอบจับแม่ของเธอไปทรมานทุกครั้งที่มีโอกาส
แต่มีสุภาษิตกล่าวว่า หากอยากจะมัดใจใครก็ต้องใช้เสน่ห์ปลายจวัก
ถ้าเธอสามารถแก้ปัญหาเรื่องที่ไทเฮาไม่ยอมเสวยพระกระยาหารได้ อีกฝ่ายจะปฏิบัติต่อซูหว่านดีขึ้นในอนาคตหรือไม่?
ยิ่งคิดมู่ไป๋ไป่ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้ เธอจึงโบกมือแล้วพูดว่า “ไปบอกพ่อครัวว่าผู้ช่วยชีวิตมาแล้ว ถ้าพวกเจ้าไม่อยากหัวหลุดออกจากบ่าก็รีบจุดเตากันเร็วเข้า”
นางกำนัลยืนตัวแข็งทื่อโดยไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้ต้องการจะสื่อว่าอะไร
“เจ้าไม่ได้ยินที่องค์หญิงหกสั่งหรืออย่างไร” หลัวเซียวเซียวพูดขึ้นมา “หากพวกเจ้ามีทางเลือกอื่น องค์หญิงหกก็ไม่จำเป็นจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเช่นนี้”
“องค์หญิงหก!?” ดวงตาของนางกำนัลเป็นประกาย
แม้ว่านางจะทำงานอยู่ในครัวหลวง แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับองค์หญิงหก
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าองค์หญิงหกมีความสามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้หรือไม่ แต่นางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทมากมาย ขอเพียงแค่นางเอ่ยถ้อยคำดี ๆ กับฝ่าบาทสัก 2-3 คำ ไม่ใช่ว่าพ่อครัวทุกคนในครัวหลวงจะสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้หรอกหรือ?
นางกำนัลคนนั้นจึงรีบไปเรียกพ่อครัวมาอย่างมีความสุข และในไม่ช้าห้องครัวที่เคยว่างเปล่าก็เต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งพวกเขาต่างก็มองดูคนร่างเล็กที่ยืนอยู่บนเก้าอี้อย่างสงสัย