บทที่ 205 ความกตัญญู (ฟรี)
บทที่ 205 ความกตัญญู (ฟรี)
แม้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านจะมีอารมณ์ดีเพียงใด แต่ในตอนนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะต่อปากต่อคำกลับไป
"นางหวัง ยายจี้ อย่ามาก่อกวนและสร้างความวุ่นวายไปมา เรื่องซื้อเรือนี่ เมียเฉียนคุนไม่ได้เอามีดมาจ่อคอพวกเจ้า บังคับให้พวกเจ้าซื้อสักหน่อย!"
เมียเฉียนคุนได้สร้างถนนให้กับหมู่บ้าน และยังเตรียมที่จะสร้างโรงเรียนประถมเล็กๆ ให้กับหมู่บ้าน พร้อมทั้งจัดหาครูมาสอนหนังสือ
แต่ตอนนี้ กลับถูกคนในครอบครัวตัวเองคิดร้ายและใส่ร้ายป้ายสี
"นางไม่ได้บังคับให้พวกเราซื้อ แต่นางซื้อแล้วไม่ให้พวกเราใช้ แถมยังทำให้พวกเราอิจฉา นั่นมันตั้งใจแกล้งชัดๆ!" ยายจี้ในที่สุดก็ร้องไห้เสร็จ และเมื่อได้สติกลับมา ก็เริ่มพูดจาคมคายขึ้นมาทันที
ส่วนนางหวังก็รีบสานต่อทันที "ตอนที่พี่สะใภ้รองซื้อเรือ ถ้าให้พวกเราใช้ด้วย พวกเราจะต้องควักกระเป๋าไปซื้อเรือผุพังของยายหวงทำไมกัน!"
คนที่มามุงดูเหตุการณ์ก็ทนฟังไม่ไหวแล้ว แม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
หัวหน้าหมู่บ้านก็โมโหจนแทบจะระเบิด แต่ก็ยังคงความเป็นผู้นำหมู่บ้าน จึงไม่อาจแสดงอารมณ์ออกมาตามใจชอบได้
"ยังมีอะไรอีกล่ะ?"
ยายจี้อ้าปากขึ้น น้ำลายกระเด็นฟุ้งกระจาย
"ยังมีนะ สะใภ้รองให้ค่าแรงสูงเหลือเกิน คนงานที่ฟาร์มเลี้ยงกุ้งก็หนีไปหมดแล้ว แล้วใครจะมาทำงานให้พวกเรา? ถ้ากุ้งเน่าเสียหมด ไม่มีคนทำงาน สะใภ้รองจะชดใช้เงินให้เรา?"
ไม่เพียงแต่หัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้น แม้แต่คนที่มามุงดูก็ตาค้างกันไปหมด
เคยเห็นคนไม่มีเหตุผลมามาก แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนี้มาก่อน!
บรรดาแม่บ้านที่ทำงานในฟาร์มเลี้ยงกุ้งต่างก็ทนไม่ไหว พากันออกมาพูดเพื่อความยุติธรรม
"ยายจี้ บ้านพวกเจ้าให้ค่าแรงเหมือนกับขอทานเลย เมียเฉียนคุนให้ค่าแรงสูง ทำไมพวกเราจะไปทำงานให้นางไม่ได้ล่ะ? หรือว่ายังไง พวกเราถูกผูกติดกับฟาร์มเลี้ยงกุ้งของพวกเจ้า ลงนามในสัญญาขายตัวไว้หรือไง?"
"ใช่แล้ว คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าที่ดินในเมืองหรือไง มองกระจกดูตัวเองบ้างสิ พวกเจ้ามีชะตาชีวิตแบบนั้นที่ไหนกัน"
"ข้าว่าฟาร์มเลี้ยงกุ้งผุๆ พังๆ ของพวกเจ้ากำลังจะเจ๊งแล้วล่ะ ให้ค่าแรงนิดเดียวแต่ละเดือน แทบไม่พอกินด้วยซ้ำ แทนที่จะทำงานอย่างโง่เง่าที่นั่น ยังไงก็ไปทำงานให้เมียเฉียนคุนดีกว่า อย่างน้อยตอนเที่ยงยังได้กินข้าวฟรีด้วย"
มีแม่เฒ่าร่างอวบผลักยายจี้อย่างแรง แล้วตะโกนเสียงดัง
"ยายจี้ เมื่อไหร่บ้านเจ้าจะจ่ายค่าแรงที่ค้างลูกข้าสักที นี่มันผ่านมาปีหนึ่งแล้วนะ!"
ในชั่วพริบตา คนที่มาทวงหนี้ก็พบช่องทางระบายความไม่พอใจ ต่างพากันรุมล้อมยายจี้และนางหวัง
หัวหน้าหมู่บ้านถอยหลังไปสองสามก้าว มองพวกเขาอย่างเย็นชา
"คนย่อมมุ่งสู่ที่สูง น้ำย่อมไหลลงที่ต่ำ บ้านพวกเจ้าให้ค่าแรงน้อย ก็อย่าไปโทษคนงานที่ไม่อยากอยู่เลย! ถ้าอยากรักษาคนงานไว้ก็ขึ้นค่าแรงสิ ไปโทษเมียเฉียนคุนทำไม?"
หัวหน้าหมู่บ้านเดินจากไป ทิ้งให้ยายจี้และนางหวังถูกผู้คนล้อมรุม
อีกด้านหนึ่ง ตาจี้สูบยาเส้นฉึบๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
เขาทำหน้าบึ้งตึง พูดกับจี้คุนเป่าว่า "ลูกชายคนที่สาม ไปเรียกพี่ชายรองของเจ้ากลับมา ข้าอยากถามดูหน่อยว่าเขาสั่งสอนเมียตัวเองยังไง จะบีบคั้นพ่อแม่จนตาย จะทำให้บ้านเราแตกแยก เขาถึงจะพอใจหรือไง!"
"พ่อ ท่านลืมไปแล้วหรือ พี่ชายรองตอนนี้กำลังทำงานอยู่ที่สนามทราย กลับมาไม่ได้หรอก" จี้คุนเป่าเตือนความจำ หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ฟังคนแก่โมโหหรอก
ตาจี้ได้ยินคำพูดนี้แล้ว ถึงได้นึกขึ้นมาได้ เขาช่างโมโหจนลืมไปสนิท
"งั้นก็รอตอนกลางคืน รอตอนกลางคืนที่ไอ้ลูกอกตัญญูนั่นกลับมา เจ้าต้องเรียกมันมาหาข้า ข้าต้องสั่งสอนมันให้ดี!"
หลายชั่วยามต่อมา เซี่ยชิงหยาดูรายชื่อในทะเบียน คาดว่าจำนวนคนก็ครบแล้ว
เธอมองดูท้องฟ้าข้างนอก พระจันทร์ขึ้นสูงเหนือยอดไม้แล้ว ท้องฟ้าสีฟ้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันคงประมาณหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มแล้ว ทำไมจี้เฉียนคุนยังไม่กลับมาอีก?
ในขณะนั้นเอง จี้เฉียนคุนกำลังยืนเงียบอยู่ในลานบ้านเก่าของตระกูลจี้
ตาจี้เคาะกล้องยาสูบลงกับพื้นดังตึกๆ ความโกรธแค้นที่สะสมมาทั้งวันระเบิดออกมาในที่สุด
"ไอ้ลูกอกตัญญู! แกตั้งใจจะทำให้พ่อแม่ตายด้วยความโกรธใช่ไหม?"
จี้เฉียนคุนชำเลืองมองยายจี้และตาจี้แวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างเย็นชา "แน่นอนว่าไม่ใช่"
ตาจี้โกรธจัดกับท่าทีเย็นชาของจี้เฉียนคุน เขายกกล้องยาสูบที่ยังร้อนอยู่ขึ้นสูง
แล้วฟาดลงบนตัวจี้เฉียนคุน กล้องยาสูบยังระอุด้วยความร้อน สามารถจินตนาการได้ว่าถ้าโดนตัวคงจะถูกลวกแน่ๆ
จี้เฉียนคุนก็ไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ได้ยืนนิ่งอยู่กับที่ แต่บิดตัวหลบกล้องยาสูบที่ฟาดเข้ามา
"แกยังกล้าหลบอีก! แกรู้ไหมว่าเมียแกไปจ้างคนในหมู่บ้านเรา ให้ค่าแรงสูงลิบ คนงานในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ของเราไปอยู่กับนางหมด ต่อไปฟาร์มกุ้งไม่มีคนดูแล จะทำงานยังไง!"
จี้เฉียนคุนจ้องมองตาจี้อย่างไร้อารมณ์ น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย
"พ่อแม่ให้ค่าแรงคนอื่นเท่าไหร่ ที่ไหนให้ค่าแรงสูงกว่า เขาก็ไปที่นั่นเอง ขาอยู่บนตัวคนอื่น พวกท่านห้ามเขาไม่ได้หรอก"
ยายจี้ร้องไห้โฮขึ้นมา "สวรรค์! ข้าเลี้ยงลูกอกตัญญูแบบนี้มาได้ยังไงกัน ลูกสะใภ้จะทำให้ข้าแม่ผัวคนนี้ตายด้วยความโกรธอยู่แล้ว ลูกชายอกตัญญูยังมาช่วยพูดให้เมียอีก!"
สองคนคนหนึ่งร้องไห้โฮ อีกคนจ้องจี้เฉียนคุนอย่างดุดัน
ส่วนจี้เฉียนคุนถอยหลังไปสามก้าว ก้มหน้าลงเล็กน้อย
"ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฟ้ามืดแล้ว ข้าขอตัวก่อน"
พูดจบ จี้เฉียนคุนก็หันหลังเดินจากไป ไม่สนใจเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของยายจี้และคำสาปแช่งอย่างร้ายกาจของตาจี้ เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ
จ้างคนในหมู่บ้านจำนวนมากหรือ?
ภรรยาของเขาคงรับงานใหญ่มาอีกแล้วแน่ๆ เขารู้สึกภูมิใจและชื่นชมในตัวนา่ง
รออีกหน่อยเถอะ
รออีกหน่อย ขอให้นางออีกนิด เขาก็จะลาออกจากงานที่แหล่งทราย แล้วมาเลี้ยงครอบครัวด้วยกันกับนาง
คิดแบบนั้นแล้ว จี้เฉียนคุนก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกมาก
เมื่อกลับถึงบ้าน ต้าหยาและเอ้อร์หยาก็วิ่งมาต้อนรับพ่อที่ประตูอย่างกระตือรือร้น
"พ่อ วันนี้พ่อกลับมาช้าจังเลย เอ้อร์หยาหิวแล้ว!"
เอ้อร์หยาลูบท้องน้อยๆ ของตัวเอง แม่ทำอาหารเสร็จแล้ว แต่พ่อยังไม่กลับมา แม่ก็เลยไม่ยอมกิน
แม่ไม่กินข้าว แต่ก็ไม่ได้ห้ามพี่สาวกับนาง
แต่แม่ไม่กินข้าว พ่อก็ยังไม่กลับมา นางกับพี่สาวจะกล้ากินได้ยังไงกัน
จี้เฉียนคุนมองต้าหยาแวบหนึ่ง พูดเสียงอ่อนโยน "ต่อไปถ้าพ่อยังไม่กลับ พวกเจ้าก็กินข้าวกับแม่ก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้ท้องหิว"
จากนั้น จี้เฉียนคุนก็ไปหาเซี่ยชิงหยาที่กำลังยุ่งอยู่ในครัว
"ทำไมวันนี้กลับมาช้าจัง งานที่แหล่งทรายทำไม่เสร็จเหรอ?"
เซี่ยชิงหยากำลังจะดับไฟเตา แต่ชายข้างกายกลับพูดขึ้นมา เสียงฟังดูมีแววน้อยใจอยู่บ้าง
"ทำบะหมี่อาหารทะเลให้หน่อยสิ"
"หา?" เซี่ยชิงหยาชะงัก "ทำไมอยู่ๆ อยากกินบะหมี่อาหารทะเลล่ะ"
พอดีที่อาหารทะเลที่จับมาสามอวนนั้น นอกจากที่ขายไปแล้ว ส่งให้เถ้าแก่เฮยแล้ว ที่บ้านก็ยังเหลืออยู่บ้าง
นางปอกกุ้งอย่างคล่องแคล่ว เตรียมทำบะหมี่กุ้งสดกับลูกชิ้นปลา
ส่วนจี้เฉียนคุนก็หยิบเก้าอี้เตี้ยมานั่ง พูดเสียงเบา "ไปโดนด่าที่บ้านเก่ามาตั้งครึ่งวัน อยู่ๆ ก็อยากกินบะหมี่อาหารทะเลฝีมือเจ้าขึ้นมา"