บทที่ 13 ทุกที่ล้วนมีหมา
ฟางเสิ่นต้มน้ำจากหินตรึงวิญญาณ หลังจากสกัดสารพลังออกมาแล้ว เขาก็ตั้งชื่อให้กับน้ำนี้อย่างง่ายๆ ว่า “น้ำวิญญาณ”
เมื่อหยิบชามน้ำวิญญาณขึ้นมา สวี่เจี้ยนจวินรีบดื่มมันลงไปในรวดเดียว สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นดังนั้น ฟางเสิ่นจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ
เรื่องทุกอย่างได้รับการแก้ไขแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
ส่วนเรื่องน้ำวิญญาณที่ต้องดื่มทุกวันนั้น เพียงแค่ให้คนมารับที่บ้านของฟางเสิ่นในแต่ละวันก็พอ เพราะหินตรึงวิญญาณยังต้องคอยกดพลังชั่วร้ายที่บ้านของเขา จึงไม่สามารถนำไปวางไว้ที่บ้านของสวี่เจี้ยนจวินได้
อีกอย่าง หินตรึงวิญญาณยังมีพลังในการปกปักรักษาบ้าน ถ้าจะเก็บมันไว้ที่บ้านสวี่เจี้ยนจวินจริงๆ ล่ะก็ เงินแค่ห้าแสนหยวนคงไม่พอแน่
ในเรื่องนี้ สวี่เจี้ยนจวินย่อมไม่กล้ามีความเห็นใดๆ
จากการประเมินของฟางเสิ่น ถ้าดื่มน้ำวิญญาณติดต่อกันมากสุดหนึ่งเดือน อาการวิญญาณแยกจากร่างของสวี่เจี้ยนจวินก็จะหายขาดโดยไม่ทิ้งอาการแทรกซ้อนใดๆ ไว้
“ฟางเสิ่นคุณไม่ต้องห่วง รอจนเปิดประมูลเมื่อไร ผมจะไปช่วยดันให้เต็มที่แน่นอน และจะประชาสัมพันธ์ความพิเศษของสองโลกประมูลให้เพื่อนๆ ของผมทุกคนได้รู้ด้วย” สวี่เจี้ยนจวินกล่าวคำสัญญาพร้อมกับตบอกแสดงความมั่นใจ หลังจากเดินไปส่งฟางเสิ่นจนถึงประตูทางออกของชุมชน
น้ำวิญญาณเพียงชามเดียวจะมีผลหรือไม่ สวี่เจี้ยนจวินผู้ที่ดื่มเข้าไปย่อมรู้ดีที่สุด
เขารู้สึกถึงความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ความรู้สึกเย็นเยียบที่มีติดตัวมาโดยตลอดหลังจากที่ล้มป่วยก็หายไปจนหมดสิ้น ทำให้เขารู้สึกสบายอย่างมาก แม้แต่อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยก็เหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งและสบายใจอย่างที่สุด
เมื่อเห็นถึงความมหัศจรรย์เช่นนี้ สวี่เจี้ยนจวินก็ไม่กล้าสงสัยแม้แต่น้อย
ฟางเสิ่นคลายคิ้วที่ขมวดอยู่
คำสัญญานี้ เป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว เพราะเพื่อนของสวี่เจี้ยนจวินล้วนเป็นคนมีฐานะ ล้วนเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของการประมูลทั้งนั้น เมื่อสวี่เจี้ยนจวินป่วยเป็นโรคประหลาด เพื่อนในวงสังคมเดียวกันย่อมรู้กันหมด ตอนนี้ฟางเสิ่นรักษาอาการป่วยของเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์ นี่ก็เป็นโฆษณาที่ดีที่สุดสำหรับการประมูล คาดว่าแบรนด์สินค้าของสองโลกประมูลจะได้รับการยอมรับมากยิ่งขึ้น
การสร้างสถานที่ประมูลขนาดใหญ่นั้น ปัจจัยสำคัญที่ต้องมีคือความสัมพันธ์ แหล่งสินค้า และเงินทุน ซึ่งขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้เลย เส้นทางที่ฟางเสิ่นต้องก้าวเดินต่อไปยังคงอีกยาวไกล
แต่ด้วยความทรงจำจากวิญญาณต่างมิติที่มีมานานหลายร้อยปี ฟางเสิ่นไม่เคยสงสัยเลยและเชื่อว่าตนจะทำสำเร็จได้อย่างแน่นอน
……
หลังกลับมาถึงบ้าน ฟางเสิ่นก็โทรหาพวกเซี่ยหย่าซวี ชวนพวกเขาออกมาพบปะสังสรรค์กัน
ครั้งนี้เขาทำธุรกิจแรกได้สำเร็จ ได้เงินมาห้าแสนหยวน พวกเขามีส่วนช่วยไม่น้อย โดยเฉพาะเจ้าเซี่ยหย่าซวี เด็กสาวคนนี้มีความชอบอย่างมาก
“โรงแรมเจียงตูงั้นเหรอ? ฟางเสิ่น นายไปขายเลือดมารึไง ถึงได้ไปเลี้ยงที่นั่น” เสียงหัวเราะของม่อฉงดังมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์
โรงแรมเจียงตูคือหนึ่งในโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหมิงจู ระดับการใช้จ่ายที่นั่นสูงมาก คนทั่วไปแทบไม่อาจจ่ายได้
ครั้งนี้ เพื่อขอบคุณเพื่อนๆ ที่ช่วยเหลือ ฟางเสิ่นจึงไม่คิดจะไปเลี้ยงที่ร้านอาหารหยุนฟู่ ร้านเล็กๆ นั่นอีก จึงเลือกโรงแรมเจียงตูแทน
เมื่อครั้งพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ฟางเสิ่นเคยไปโรงแรมเจียงตูมาบ้าง แต่หลังจากที่ครอบครัวประสบปัญหา เขาก็ไม่ได้ไปอีกเลย การเลือกที่นี่ในครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อขอบคุณเพื่อนๆ แล้ว ยังมีความหมายแฝงถึงการที่โชคชะตาเริ่มเปลี่ยนแปลง และเขาเริ่มกุมชะตากรรมของตัวเองได้แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องบอกคนอื่นให้เข้าใจ
เซี่ยหย่าซวีดูจะเดาออกเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจครั้งนี้ แต่เพราะเธอไม่ได้มีส่วนร่วมจึงไม่รู้ว่าฟางเสิ่นทำเงินได้เท่าไร
เมื่อได้นัดหมายกันว่าจะเจอกันที่โรงแรมเจียงตูแล้ว ฟางเสิ่นก็วางสาย
พอดีตอนนั้นหลี่เหยียนกลับมาพอดี
“หลี่เหยียน กินข้าวหรือยัง ไปกินข้าวด้วยกันไหม” ฟางเสิ่นเอ่ยชวน
“กินข้าว? ฟางเสิ่น คุณหนูคนนี้ไม่ได้ไปง่ายๆ หรอกนะ” หลี่เหยียนทำตาโตแล้วหัวเราะ “แต่จะให้กินก็ไม่เสียหาย ฮิฮิ อย่าคิดว่าฉันมาชอบนายนะ”
“มั่วซั่วไปกันใหญ่แล้ว ฉันแค่นัดเจอเพื่อนๆ หลายคน มีเธออีกคนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร” ฟางเสิ่นส่ายหัว
หลังจากเรียกแท็กซี่ไปถึงโรงแรมเจียงตู ฟางเสิ่นก็นึกอยากซื้อรถขึ้นมา
การไม่มีรถนั้นลำบากเกินไป อีกทั้งคนสมัยนี้ก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ใครที่ขับรถหรูไปไหนมาไหนก็มักจะได้รับความเชื่อถือมากกว่าคนที่นั่งแท็กซี่
แต่เงินห้าแสนหยวนคงซื้อรถดีๆแพงๆ ไม่ได้ อีกทั้งการก่อตั้งสถานที่ประมูลก็ต้องใช้เงินทุนมาก
เขาส่ายหัวเบาๆ ปล่อยความคิดนี้ออกไปก่อน แล้วมองไปข้างหน้า เห็นเซี่ยหย่าซวีและพวกอีกสามคนยืนรออยู่ ทั้งสองกลุ่มจึงเดินมารวมกันอย่างรวดเร็ว
“ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม มากินข้าวที่นี่จริงๆ น่ะเหรอ” ม่อฉงย่นคอแล้วถาม
“ตามฉันเข้าไปเถอะ” ฟางเสิ่นยิ้มแล้วเดินนำเข้าไปในโรงแรมเจียงตู
ไม่เสียทีที่เป็นหนึ่งในโรงแรมอันดับต้นๆ ของเมืองหมิงจู การตกแต่งภายในโอ่อ่าหรูหราจนทำให้คนที่เข้ามามองดูตาลายไปหมด เซี่ยหย่าซวีและเพื่อนๆ ดูจะไม่ค่อยสะดวกใจนัก แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นนักศึกษาชั้นหัวกะทิของมหาวิทยาลัยหลินไห่ เป็นดวงดาวแห่งอนาคตจึงปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหลี่เหยียนซึ่งมาจากตระกูลหลี่นั้น การเข้าออกโรงแรมระดับนี้ถือเป็นเรื่องปกติเหมือนอยู่บ้าน เธอจึงทำตัวตามสบายไม่มีความรู้สึกแปลกแยกใดๆ
ทั้งห้าคนหาที่นั่งในโถงนั่งเล่นและนั่งลงด้วยกัน
“ไม่ต้องเกรงใจนะ อยากกินอะไรก็สั่งได้เลย” ฟางเสิ่นพูดยิ้มๆ
“ฟุ่มเฟือยจริงๆ” เซี่ยหย่าซวีจ้องฟางเสิ่นตาโต “นายรวยแล้วจริงๆ เหรอ”
“ก็แค่เงินเล็กน้อย” ฟางเสิ่นตอบกลับเบาๆ
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็คิดว่าเขาไม่ได้ทำเงินมาได้มากนัก ตอนสั่งอาหารจึงสั่งเพียงเมนูราคาถูกๆ ฟางเสิ่นจึงต้องสั่งเมนูจานเด่นของโรงแรมเจียงตูด้วยตัวเอง แม้จะสั่งไปไม่มาก แต่ก็ต้องจ่ายเป็นเงินเกือบหมื่นหยวน ซึ่งฟางเสิ่นก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย
ไม่นานพวกเขาก็เริ่มกินดื่มกัน ฟางเสิ่นได้แนะนำให้หลี่เหยียนรู้จักกับเซี่ยหย่าซวีและเพื่อนๆ จนพวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น
“อ้าว นั่นไม่ใช่คุณชายฟางหรือไง?” ขณะกำลังกินกันอยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันดังขึ้นมา แล้วหลินจือหรงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ สายตาของเขามองกวาดไปที่โต๊ะอาหารและหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง
“คุณชายฟางที่แท้ก็กินของจืดๆ แบบนี้นี่เอง?”
ฟางเสิ่นวางตะเกียบลง สายตาเย็นชา “ทำไม เดินไปที่ไหนมาไหนก็มีหมาเห่าได้ทุกทีสินะ”
“แก~” ใบหน้าของหลินจือหรงแข็งทื่อ ความโกรธฉายวาบในดวงตา แต่เขาไม่ได้ระเบิดอารมณ์ออกมา เพียงก้มตัวลงพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแผ่วเบา “อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าลงมือ ตอนนี้คุณปู่เองก็อนุญาตแล้ว ไม่มีใครคอยปกป้องพวกแกอีก ต่อไปนี้ฉันจะทำให้พวกแกได้เห็นความร้ายกาจของฉันเอง”
หลินจือหรงลูบแก้มขาวๆ ของตัวเอง ราวกับยังคงรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการโดนตบก่อนหน้านี้ ความโกรธในใจเขายิ่งทวีมากขึ้น
“ไสหัวไปซะ” ฟางเสิ่นตะโกนเสียงต่ำด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นเยียบของฟางเสิ่น หลินจือหรงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจจนเขาถอยหลังไปหลายก้าว สีหน้าซีดขาวไปเล็กน้อย
ขณะนั้นมีคนตะโกนเรียกชื่อหลินจือหรงจากด้านหลัง หลินจือหรงที่รู้สึกหวาดกลัวก็รีบอาศัยโอกาสนั้นผละไปทันที แม้แต่คำขู่ยังไม่กล้าพูดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ฟางเสิ่นลูบหินตรึงวิญญาณในกระเป๋า สีหน้าฉายแววเย็นชา คำพูดของหลินจือหรงนั้นได้จุดไฟโทสะในตัวเขาขึ้นจริงๆ
พลังชั่วร้ายในบ้านพักจะปรากฏออกมาเฉพาะตอนกลางคืน ในเวลาปกติไม่จำเป็นต้องทิ้งหินตรึงวิญญาณไว้ในบ้าน ประกอบกับเพิ่งกลับมาจากบ้านของสวี่เจี้ยนจวิน ฟางเสิ่นจึงเก็บหินตรึงวิญญาณติดตัวมาด้วย
เขาใช้มือบีบกุมทำสัญลักษณ์ลับ พลันพลังชั่วร้ายที่กักเก็บอยู่ในหินตรึงวิญญาณก็ถูกกระตุ้น กลายเป็นพลังมืดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าลอยออกมา แล้วเคลื่อนไปตามคำสั่งของฟางเสิ่น พุ่งเข้าไปในร่างของหลินจือหรง
จบบท