บทที่ 11 ความตกใจของซูซิ่ว
“เจี้ยนจวิน ทำไมคุณยังไม่เข้านอนอีกล่ะ” ซูซิ่วถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสามีของเธอยังยืนอยู่ที่เดิม
สวี่เจี้ยนจวินไม่ตอบ แต่จ้องหน้าซูซิ่วด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วถามว่า “ไอ้เด็กนั่นเป็นใครกันแน่?”
“จะเป็นใครได้ล่ะคะ ก็ลูกของเพื่อนเก่าฉันเอง คุณอย่าไปคิดมากเลย” ซูซิ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
“ยังคิดจะโกหกอีกเหรอ!” สวี่เจี้ยนจวินโกรธจนตัวสั่น เขาไม่ใช่คนโง่ ฟางเสิ่นนั่งอยู่ในบ้านเป็นเวลาหลายชั่วโมง และดูไม่มีทีท่าว่าให้ความเคารพต่อเขาในฐานะเจ้าของบ้านเลย หากเป็นเพียงแค่ลูกของเพื่อนก็คงไม่มีท่าทีเช่นนั้น ประกอบกับประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายครั้ง เขาพอจะเดาได้ว่า ฟางเสิ่นต้องถูกเชิญมาเพื่อรักษาอาการป่วยของเขาอย่างแน่นอน
ซูซิ่วหน้าเจื่อนลงทันที ไม่รู้จะตอบสามีอย่างไรดี พลางเผลอมองไปที่ชามน้ำขุ่นใบนั้นอย่างลืมตัว
สายตาของสวี่เจี้ยนจวินก็ถูกดึงดูดไปยังชามน้ำขุ่นใบนั้นเช่นกัน เมื่อเห็นสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ทันที ความโกรธที่เก็บเอาไว้อยู่ลึกๆ ถูกจุดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าภรรยาของเขาไม่ฟังคำเตือน และทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดความโกรธนั้นออกมา
เขาก้าวเข้าไปไม่กี่ก้าวก่อนจะสะบัดโต๊ะด้วยความโมโห ชามน้ำขุ่นนั้นตกลงพื้นและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ น้ำขุ่นที่อยู่ภายในกระจายไปทั่วพื้นห้อง
“จะรักษาๆๆ ทั้งวันทั้งคืนก็เอาแต่ทำเรื่องไร้สาระอยู่ได้ เอาของแปลกๆ มาทำไมกัน นี่เธออยากให้ฉันตายเร็วๆ ใช่ไหม! ฉันไม่ป่วยสักหน่อย หมอทุกคนก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้ป่วย!” สวี่เจี้ยนจวินตะคอกใส่ซูซิ่วอย่างรุนแรงเพื่อระบายความโกรธ ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนและปิดประตูดังปัง
ซูซิ่วถูกสามีตะคอกใส่จนไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว รู้สึกเจ็บแปลบในใจจนพูดไม่ออก จนกระทั่งได้ยินเสียงบางอย่างตกลงไปกระแทกพื้นดังขึ้นมาจากในห้อง เธอจึงได้สติและหน้าซีดเผือด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าอาการของสวี่เจี้ยนจวินนั้นสามารถกำเริบขึ้นมาได้ทุกเมื่อโดยไม่มีสัญญาณเตือน
ซูซิ่วรีบวิ่งเข้าไปในห้องนอนของสามีทันที และก็เห็นว่าสวี่เจี้ยนจวินนอนหมดสติอยู่บนพื้น ใบหน้าซีดเซียวราวกับคนตาย ร่างกายเย็นเฉียบไปหมด นี่คืออาการป่วยที่แสดงออกเมื่ออาการกำเริบ
หัวใจของซูซิ่วเต้นแรงขึ้นทันที เธอจำได้ว่า ตอนที่ฟางเสิ่นออกจากบ้าน เขาเคยพูดไว้ว่าสามีของเธอจะต้องมีอาการกำเริบในคืนนี้แน่นอน และกำชับให้เธอให้น้ำในชามนั้นแก่สามี อย่าปล่อยให้ช้าเกินไป
ฟางเสิ่นพูดแบบนี้ก็เพราะว่าเขารู้ดีว่า ภายใต้พลังของหินตรึงวิญญาณ อาการของสวี่เจี้ยนจวินถูกกดเอาไว้ชั่วคราว แต่เนื่องจากฟางเสิ่นอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน การบรรเทาอาการจึงเป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อฟางเสิ่นออกจากบ้านไป การกดพลังของหินตรึงวิญญาณก็จะหายไป และอาการป่วยก็จะกำเริบรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ราวกับถูกตอบโต้กลับมาอย่างรุนแรง
หากเธอไม่รีบให้น้ำขุ่นในชามใบนั้นแก่เขาดื่ม เพื่อให้สารสีเทาในน้ำกดอาการป่วยเอาไว้ อาการของสวี่เจี้ยนจวินจะยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ร่างกายและวิญญาณจะแยกออกจากกันมากยิ่งกว่าเดิม
ซูซิ่วพยายามยกร่างสามีขึ้นไปบนเตียงอย่างทุลักทุเล และก็พบว่าอาการของเขารุนแรงกว่าเดิมมากจนแทบจะหยุดหายใจไปแล้ว ผิวพรรณซีดเผือดจนดูไม่เหมือนคนมีชีวิตอยู่
“น้ำ น้ำ…”
เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างที่ฟางเสิ่นทำนายไว้ ราวกับว่าเขาได้เห็นมันด้วยตาตัวเอง ซูซิ่วก็รู้สึกตกใจและเชื่อฟังเขามากขึ้น เธอรู้สึกกังวลมากขึ้นเมื่อคิดถึงชามน้ำขุ่นที่ถูกสวี่เจี้ยนจวินทำลายไป
“จะทำยังไงดี ทำไมคุณถึงได้ดื้อดึงขนาดนี้นะ… เดี๋ยวก่อน น้ำ… นอกจากชามนั้นแล้วยังมีเหลืออยู่ในหม้ออีก!”
ซูซิ่วนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ฟางเสิ่นต้มหม้อน้ำนั้น มันไม่ได้มีแค่ชามเดียว แต่เหลือน้ำอีกครึ่งหม้อ ฟางเสิ่นเพียงแค่ตักเอาชามที่มีสารสกัดเข้มข้นที่สุดไป ส่วนที่เหลือเขาไม่เห็นคุณค่าจึงทิ้งไว้ในหม้อไม่แตะต้อง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูซิ่วรีบวิ่งไปที่ห้องครัว แล้วหิ้วหม้อน้ำที่เหลืออยู่ทั้งหมดกลับมา เธอตักน้ำขุ่นใส่ชามแล้วนำไปป้อนให้สวี่เจี้ยนจวิน
โชคดีที่ร่างกายของเขายังมีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดอยู่บ้าง เขาดื่มน้ำขุ่นนั้นเข้าไปได้โดยไม่รู้สึกตัว และเพื่อความมั่นใจ ซูซิ่วจึงป้อนน้ำที่เหลือในหม้อทั้งหมดให้สามีดื่มจนหมด
หลังจากป้อนไปจนหมดแล้ว ซูซิ่วก็เฝ้าดูอาการของสวี่เจี้ยนจวินด้วยความหวาดหวั่น
ในขณะที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สารสีเทาที่มาจากหินตรึงวิญญาณก็ค่อยๆ ซึมเข้าไปในร่างของสวี่เจี้ยนจวิน และช่วยฟื้นฟูความเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณกับร่างกาย
ใบหน้าที่เคยซีดเซียวของสวี่เจี้ยนจวินเริ่มมีสีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย การหายใจเริ่มดังขึ้น และหัวใจก็กลับมาเต้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่นานนัก เขาก็ครางเบาๆ พร้อมทั้งพยายามลืมตาขึ้น
ซูซิ่วมองดูภาพนั้นด้วยความตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
เธอรู้ดีว่า ทุกครั้งที่สวี่เจี้ยนจวินหมดสติลง จะไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกใดๆ เลย บางครั้งหมดสติแค่ชั่วโมงเดียว บางครั้งก็นานถึง 5-6 ชั่วโมง แต่นี่ผ่านไปไม่ถึง 10 นาที เขากลับรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญช่วงเวลาส่วนใหญ่ใน 10 นาทีนั้นก็เสียไปกับการป้อนน้ำ มันแทบจะพูดได้ว่า หลังจากที่เขาได้ดื่มน้ำเข้าไป ไม่ถึง 3 นาที ก็มีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
นี่มัน… เป็นไปได้อย่างไร น้ำนี้สามารถรักษาอาการป่วยของสามีได้จริงๆ หรือ?
ความรู้สึกยินดีอย่างสุดขีดแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของซูซิ่ว ทำให้เธอไม่อาจระงับความรู้สึกนั้นได้ และมีน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว จากเดิมที่เธอแทบจะสิ้นหวัง เธอมองว่าฟางเสิ่นเป็นเหมือนความหวังสุดท้าย และไม่ได้คาดหวังอะไรมากเลย แต่กลับกลายเป็นว่า ฟางเสิ่นคือคนที่สามารถรักษาสามีเธอได้จริงๆ
เมื่อมองดูดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของสวี่เจี้ยนจวิน ซูซิ่วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจอย่างห้ามไม่ได้
สวี่เจี้ยนจวินพยายามปลอบภรรยาของเขา แม้จะรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมด เขาจำได้เพียงว่าโกรธใส่ซูซิ่ว พอเข้ามาในห้องนอนก็หมดสติไป แล้วความรู้สึกที่ราวกับมีช่องว่างในความทรงจำก็บอกเขาว่าอาการป่วยของเขากำเริบขึ้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือ ครั้งนี้รู้สึกเหมือนเวลาที่เขาหมดสติมันสั้นมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หลังจากพยายามปลอบภรรยาอยู่พักหนึ่ง ซูซิ่วก็สงบลงและเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินว่าน้ำที่เขาทำลายไปนั้นสามารถรักษาอาการของเขาได้ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที สวี่เจี้ยนจวินถึงกับพูดไม่ออก
ทั้งสองไม่รู้เลยว่า หากเป็นน้ำที่อยู่ในชามตอนแรก เขาจะฟื้นตัวได้ทันทีหลังดื่มเข้าไป แต่เนื่องจากน้ำที่ฟางเสิ่นทิ้งไว้นั้นมีสรรพคุณที่น้อยกว่ามาก เขาจึงต้องใช้เวลาถึง 3 นาทีกว่าจะเริ่มเห็นผล
พวกเขาถือว่าโชคดีมากที่น้ำในชามนั้นสามารถเก็บสรรพคุณไว้ได้นานถึงครึ่งวัน แต่น้ำในหม้อนั้นจะคงสภาพไว้ได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมง หากอาการของสวี่เจี้ยนจวินกำเริบช้ากว่านี้ เขาคงไม่ตายก็พิการไปครึ่งตัวแน่นอน
“ผมเข้าใจแล้ว เด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษจริงๆ พรุ่งนี้คุณเชิญเขามาที่บ้านให้ได้ เราต้องขอบคุณเขาอย่างจริงใจ โรคนี้ของผมต้องพึ่งเขาเท่านั้นถึงจะรักษาให้หายขาดได้” สวี่เจี้ยนจวินพูดอย่างครุ่นคิดก่อนจะหันไปกำชับซูซิ่ว
สวี่เจี้ยนจวินเป็นคนเฉลียวฉลาด เขารู้ว่าฟางเสิ่นไม่ได้รับเงินจากพวกเขาเลยสักหยวนเดียวแล้วก็จากไป นั่นแสดงว่าฟางเสิ่นมั่นใจว่าพวกเขาไม่มีทางเบี้ยวเงินแน่นอน โรคของเขาในตอนนี้ยังไม่หายขาด วันนี้ฟางเสิ่นเพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น ต่อให้หายขาดแล้วจริงๆ สวี่เจี้ยนจวินก็ไม่กล้าไปขัดแย้งกับคนที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้เพียงเพราะเงินแค่ไม่กี่หยวนแน่นอน
เมื่อคิดถึงท่าทีตอนที่เจอกันครั้งแรก ที่เขายังคิดจะวางท่าในฐานะผู้ใหญ่ใส่ฟางเสิ่น ก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้พูดอะไรโง่ๆ ออกมาให้ต้องกระทบกระทั่งกัน
ในขณะที่สวี่เจี้ยนจวินและซูซิ่วกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฟางเสิ่นก็กลับมาที่บ้านพักของตัวเอง เขาวางหินตรึงวิญญาณไว้ที่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องนอนที่ชั้นสอง
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฟางเสิ่นก็นั่งขัดสมาธิบนเตียง แววตาจริงจังมากขึ้น จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เปิดใช้ดวงตาสวรรค์และมองออกไปยังที่ไกลๆ
จบบท