บทที่ 10 วิญญาณแยกออกจากร่าง
เวลาหนึ่งทุ่มตรง สวี่เจี้ยนจวิน สามีของซูซิ่วเดินกลับเข้ามาในบ้าน
“นี่ใครเหรอ?” เขาเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน จึงหันไปมองซูซิ่วอย่างสงสัย
“เสี่ยวฟางเป็นลูกของเพื่อนเก่าทางฝั่งตะวันออก แวะมาที่บ้านเราเพื่อมาทักทายกันนิดหน่อยน่ะค่ะ” ซูซิ่วเหลือบมองฟางเสิ่นเล็กน้อยด้วยความประหม่าก่อนจะตอบไปตามที่ตกลงกันไว้
ฟางเสิ่นไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะทั้งคู่ได้ปรึกษาและเตรียมคำพูดนี้ไว้ก่อนแล้ว
แม้สวี่เจี้ยนจวินจะป่วยด้วยโรคประหลาด แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้รู้ตัวว่าเป็นเช่นนั้น เขาไม่สามารถจดจำเรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่อาการกำเริบได้เลย แต่ถึงจะจำอะไรไม่ได้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าในความทรงจำ เมื่อได้รับฟังจากคนรอบข้าง เขาจึงพอจะเข้าใจว่าตัวเองมีอาการป่วย และพยายามให้ความร่วมมือกับครอบครัวในการรักษามาโดยตลอด
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งคู่ได้ลองวิธีรักษามากมายแต่ก็ไม่เห็นผล แม้กระทั่งวิธีที่เกี่ยวข้องกับไสยศาสตร์ เช่น การเชิญนักพรตหรือนักบวชหลายคนมาก็แล้ว แต่ก็ไม่เคยเจอใครที่มีความสามารถจริง ทุกคนล้วนแต่เป็นพวกต้มตุ๋นมาหลอกเอาเงินทั้งสิ้น ครั้งล่าสุดพวกเขาถูกนักพรตปลอมหลอกเอาเงินไปหลายแสนหยวนแล้วก็หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้สวี่เจี้ยนจวินไม่พอใจมากและไม่ยอมให้ใครมารักษาเขาอีก
พวกเขาเสียเงินไปมากมายกับวิธีการเหล่านี้ แต่ไม่เพียงแค่ไม่ได้ผล อาการของสวี่เจี้ยนจวินกลับยิ่งทรุดลงเรื่อยๆ เขาจึงเกิดความโกรธและสั่งห้ามใครก็ตามพูดถึงเรื่องการรักษาโรคนี้อีกต่อไป
สวี่เจี้ยนจวินตอบรับในลำคออย่างไม่ใส่ใจนัก และไม่ได้สงสัยอะไรเพิ่มอีก แต่เขาก็ไม่ได้ต้อนรับฟางเสิ่นอย่างจริงใจนัก บรรยากาศในบ้านดูเย็นชามากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ทักทายตามมารยาทแล้ว เขาก็เดินเข้าห้องทำงานของตัวเองไปทันที
ในฐานะผู้ฝึกตน ฟางเสิ่นมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเองอยู่บ้าง ในสายตาเขาแล้ว สวี่เจี้ยนจวินเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องให้ความเคารพมากนัก
“เป็นยังไงบ้าง?” ซูซิ่วถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ
ฟางเสิ่นนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้าเธอโดยไม่ได้ตอบทันที เพราะจากการมองผิวเผินนั้น สวี่เจี้ยนจวินก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป เขาเป็นชายวัยกลางคนที่สุขภาพแข็งแรง แต่งตัวภูมิฐาน การเดินเหินมั่นคงและไม่มีลักษณะของผู้ป่วยเลยสักนิดเดียว
ถ้าหากมันดูออกได้ง่ายขนาดนั้น ป่านนี้คงจะมีใครสักคนตรวจพบความผิดปกติแล้ว
ฟางเสิ่นหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ ก่อนจะปรับสีหน้าจริงจังขึ้น เขานิ่งเงียบและเปิดใช้ดวงตาสวรรค์มองไปยังห้องทำงานของสวี่เจี้ยนจวินทันที
ภายใต้ทัศนวิสัยพิเศษของดวงตาสวรรค์ กำแพงห้องทำงานที่กั้นอยู่ตรงหน้าแทบจะไร้ความหมาย ฟางเสิ่นสามารถมองทะลุไปยังด้านในได้อย่างชัดเจน และเมื่อเขาเห็นสวี่เจี้ยนจวินอยู่ในนั้น ก็พบความผิดปกติทันที
คนปกติทั่วไป เมื่อมองผ่านดวงตาสวรรค์ จะมองเห็นเพียงร่างกายที่พร่ามัว แต่ร่างของสวี่เจี้ยนจวินกลับมีเงาอีกหนึ่งเงาทับอยู่
เงานั้นมีขนาดเท่ากับร่างกายของสวี่เจี้ยนจวิน และทั้งสองร่างแนบชิดกันอย่างแปลกประหลาด แต่ว่าก็ยังมีระยะห่างเล็กน้อยระหว่างทั้งสองร่าง เหมือนกับมีคนดึงร่างวิญญาณของสวี่เจี้ยนจวินออกจากตัว ทำให้เขามีสองร่างซ้อนกันอยู่
“วิญญาณแยกจากร่าง”
ด้วยความทรงจำจากวิญญาณต่างโลก ฟางเสิ่นจึงสามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเงาที่เขาเห็นคือวิญญาณของสวี่เจี้ยนจวิน ปกติแล้ววิญญาณของคนทั่วไปจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย แม้แต่ดวงตาสวรรค์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ในกรณีนี้ วิญญาณของสวี่เจี้ยนจวินกลับถูกดึงออกมาจากร่าง
อย่างไรก็ตาม มันยังไม่ถึงขั้นแยกออกมาอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าวิญญาณออกจากร่างได้จริงๆ มีเพียงสองกรณีเท่านั้น คนผู้นั้นจะต้องเป็นเซียนผู้บรรลุญาณ หรือไม่ก็เป็นเพียงร่างไร้ชีวิตไปแล้ว ซึ่งในกรณีของสวี่เจี้ยนจวินนั้นไม่ใช่ทั้งสองกรณี
“ไม่แปลกใจเลยที่หาไม่เจอว่าเขาป่วยเป็นอะไร” ฟางเสิ่นพึมพำกับตัวเอง
สวี่เจี้ยนจวินป่วยด้วยอาการ “วิญญาณแยกจากร่าง” ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาวะทางวิญญาณและจิตใจ โดยที่วิทยาการสมัยใหม่ไม่สามารถตรวจพบได้ เนื่องจากอาการของเขาไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอทางกายภาพ ดังนั้นผลตรวจร่างกายจึงออกมาว่าไม่มีปัญหา สาเหตุของอาการนี้ต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติทำให้วิญญาณของเขาถูกดึงออกจากร่าง
ภายนอกดูเหมือนว่าเขาไม่ได้มีความเสี่ยงถึงชีวิต แค่อาจจะสูญเสียความทรงจำหรือทำตัวแปลกๆ บ้าง แต่ฟางเสิ่นรู้ดีว่า หากปล่อยไว้นานเกินไป จนวิญญาณหลุดออกจากร่างโดยสมบูรณ์เมื่อใด ร่างกายของสวี่เจี้ยนจวินจะเริ่มเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วและอาจถึงขั้นเสียชีวิตกะทันหัน
ฟางเสิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่าอาการนี้เกิดจากอะไร แต่เขาก็ยังไม่มีวิธีรักษา หากเขาสามารถบรรลุการฝึกตนขั้นที่ 5 ของสายดิน อาการนี้ก็คงจะรักษาได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้สิ่งที่พอจะช่วยได้ก็มีแค่หินตรึงวิญญาณเท่านั้น
ฟางเสิ่นหันไปมองหินตรึงวิญญาณ ก็เห็นว่ามันแผ่แสงสีเทาออกมาอย่างแผ่วเบา แสงนี้ค่อยๆ แผ่ออกไปทั่วทั้งบ้านอย่างช้าๆ
เมื่อฟางเสิ่นมองดูอย่างตั้งใจ เขาก็สังเกตเห็นว่ามีแรงดึงดูดลึกลับบางอย่างทำให้ร่างกายและวิญญาณของสวี่เจี้ยนจวินเชื่อมโยงกันอย่างอ่อนๆ เป็นการทำงานของกลไกตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของร่างกายที่พยายามดึงวิญญาณกลับเข้ามาอยู่ในร่าง แต่การที่วิญญาณออกจากร่างไปแล้วจะดึงกลับเข้ามาไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อใดที่การเชื่อมโยงนี้อ่อนแอลง วิญญาณจะเคลื่อนออกจากร่างจนทำให้สวี่เจี้ยนจวินหมดสติ หรืออาจกลายเป็นคนละคนไปเลย
ตอนที่สวี่เจี้ยนจวินเพิ่งกลับมา ความเชื่อมโยงนี้อ่อนแอมากจนแทบจะขาดสะบั้น อาการวิญญาณแยกจากร่างเกือบจะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง แต่แสงสีเทาที่หินตรึงวิญญาณแผ่ออกมาก็เข้ามาช่วยเสริมความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและวิญญาณให้แน่นขึ้นอีกครั้ง
“มันได้ผลจริงๆ ด้วย” ฟางเสิ่นยิ้มอย่างดีใจ สมแล้วที่เป็นวัตถุหายากระดับแรร์อย่างแท้จริง ภายใต้พลังของมัน อาการวิญญาณแยกจากร่างจะไม่แสดงออกมาอีก หากใช้เวลานานพอ วิญญาณของสวี่เจี้ยนจวินจะสามารถกลับเข้าร่างได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา
“คุณฟาง?” ซูซิ่วรีบถามทันทีที่เห็นฟางเสิ่นลืมตาขึ้นมา สีหน้าของเธอแสดงถึงความวิตกกังวลอย่างมาก
“มีวิธีรักษาครับ ยังพอช่วยได้” ฟางเสิ่นพยักหน้าเบาๆ ตอบ
ได้ยินเช่นนี้ ซูซิ่วก็โล่งอกจนแทบร้องไห้ออกมา แม้ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฟางเสิ่นพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ แต่เธอก็อดขอบคุณเขาซ้ำๆ ไม่ได้
ฟางเสิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากต้องการรักษาให้หายขาด ก็จำเป็นจะต้องใช้หินตรึงวิญญาณประจำอยู่ที่นี่ตลอด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้ บ้านพักของเขาเองก็ยังต้องใช้หินตรึงวิญญาณเพื่อดูดซับพลังอาฆาตอยู่ ซูซิ่วเองก็ไม่มีทางที่จะยอมจ่ายเงินหนึ่งล้านหยวนเพื่อซื้อหินนี้ ดังนั้นจึงเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
ฟางเสิ่นขอให้ซูซิ่วต้มน้ำร้อน แล้วเขาก็หย่อนหินตรึงวิญญาณลงไป ต้มนานหนึ่งชั่วโมงจนได้น้ำที่ขุ่นมัวหนึ่งชาม
ภายใต้ดวงตาสวรรค์ของฟางเสิ่น เขามองเห็นว่าสารสีเทาๆ จำนวนมากได้ซึมเข้าสู่น้ำจนกลายเป็นน้ำขุ่นชามนั้น ซึ่งสามารถใช้รักษาอาการวิญญาณแยกจากร่างได้
อย่างไรก็ตาม สรรพคุณของน้ำนี้จะคงอยู่ได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นสารสีเทาจะระเหยออกไปหมด ทำให้ไม่เหลือสรรพคุณอะไรเลย
“น้ำชามนี้ช่วยรักษาอาการป่วยของสามีฉันได้จริงๆ เหรอ?” ซูซิ่วมองน้ำขุ่นตรงหน้าด้วยความลังเล เธอเคยเห็นพวกนักพรตจอมปลอมเอาของแปลกๆ แบบนี้มาให้หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลสักครั้ง เมื่อนำไปตรวจสอบก็พบว่าเป็นสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกายทั้งสิ้น
น้ำของฟางเสิ่นก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากสิ่งที่พวกหลอกลวงเคยให้มาเลย
“คุณลองดูได้ครับ ถ้าไม่เห็นผล พวกเราไม่คิดเงิน” ฟางเสิ่นตอบเสียงเรียบพลางลุกขึ้น เขาต้องรีบกลับเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
ฟางเสิ่นไม่กลัวว่าซูซิ่วจะเบี้ยวเงิน เพราะอาการวิญญาณแยกจากร่างไม่สามารถรักษาให้หายได้ในทันที จำเป็นต้องใช้หินตรึงวิญญาณคอยควบคุมอาการ น้ำชามนี้จะช่วยบรรเทาอาการได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาได้อย่างถาวร หากต้องการรักษาให้หายขาด อาจจะต้องดื่มน้ำลักษณะนี้อีกหลายชาม
หลังจากส่งฟางเสิ่นกลับไปแล้ว ซูซิ่วก็เดินกลับเข้าบ้าน แล้วพบว่าสวี่เจี้ยนจวินเดินออกมาจากห้องทำงานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
จบบท