ตอนที่ 29 ปรับแต่งอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง
ตอนที่ 29 ปรับแต่งอาวุธเวทย์มนตร์ระดับสูง
ฉู่เสวียนกลับไปที่ถ้ำที่เขาเคยอยู่ หลังจากย้ายก้อนหินมาปิดทางเข้าถ้ำให้แน่นอีกครั้ง และตั้งค่ายกลเสร็จแล้ว เขาก็เปิดถุงเก็บของแล้วนำร่างของโอวหยางห่าวออกมา
หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างระมัดระวัง ฉู่เสวียนก็เกือบจะตาบอด เพราะมีแสงจ้าส่องออกมาจากวัตถุที่อยู่ในถุงเก็บของของโอวหยางห่าว
เขาสมควรที่จะเป็นอัจฉริยะของนิกายเสินกังอย่างแท้จริง และสมกับที่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสสูงสุด!
เพราะสมบัติที่อยู่ในถุงเก็บของของเขานั้นแพรวพราวเป็นอย่างมาก!
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของฉู่เสวียนคือหินวิญญาณระดับต่ำที่ถูกกองไว้เป็นเนินเขา หากนับจำนวนดูคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีมากกว่าหนึ่งพันก้อน ถัดจากกองหินวิญญาณระดับต่ำ ก็มีหินวิญญาณระดับกลางอีกจำนวนมาก รวมๆกันแล้ว ก็น่าจะเกิน 20 ก้อน
นอกจากหินวิญญาณเหล่านี้แล้ว ยังมีอาวุธระดับกลางหลายชิ้นวางอยู่ในกล่องหยกอีกด้วย ซึ่งอาวุธแต่ละอย่างนั้น จะใช้ควบคู่ไปกับทักษะดาบเทียนกังของนิกายเสินกัง
อย่างไรก็ตาม มีเพียงผู้ฝึกฝนเคล็ดลับวิชาดาบเท่านั้นที่จะมีได้
นี่ขนาดแค่ฉู่เสวียนมองไปที่ของเพียงสองสามอย่างเท่านั้น
เมื่อมองดูดีๆแล้ว ก็ยังมีอาวุธเวทย์มนตร์อีกสองชิ้น หนึ่งคือดาบบังเหินที่โอวหยางห่าวใช้เมื่อครู่ อาวุธวิเศษนี้เรียกว่า "ดาบบังเหินเทียนกัง" และเป็นอาวุธเวทย์มนตร์บินได้ระดับสูง
มันสามารถบินได้เป็นพันลี้ภายในหนึ่งชั่วโมง และระยะทางสามพันลี้นั้นใช้หินวิญญาณระดับต่ำเพียงก้อนเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการบินด้วยการเติมพลังวิญญาณจากหินวิญญาณระดับต่ำลงไป
สำหรับอาวุธเวทย์มนตร์ที่บินได้ของฉู่เสวียน มันสามารถบินได้เพียงสามร้อยลี้ต่อชั่วโมง และระยะทางหนึ่งพันลี้จะใช้หินวิญญาณระดับต่ำหนึ่งก้อน ไม่มีความสามารถในการเร่งความเร็วเหมือนกับของโอวหยางห่าว และอีกอย่างดาบของเขาไม่มีทางแข่งกับดาบบังเหินเทียนกังได้อย่างแน่นอน!
และอาวุธเวทมนต์อย่างที่สองคือโล่ไม้สีทอง แม้ว่าจะเป็นไม้ แต่ก็แข็งแกร่งมาก เป็นโล่ทำจากไม้เวทย์ นอกจากนี้ยังเป็นโล่ชั้นยอดอีกด้วย ความสามารถในการป้องกันก็ถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของบรรดาอาวุธป้องกันคุณภาพสูงจำนวนมาก
อาวุธเวทย์มนตร์ทั้งสองนี้ สามารถตอบสนองความต้องการของฉู่เสวียนในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
“เดี๋ยวนะ มียาสร้างรากฐานอยู่ด้วยอย่างนั้นหรือ?” เมื่อฉู่เสวียนค้นหาต่อไป เขาก็พบยาสร้างรากฐานที่มุมถุงเก็บของอย่างน่าประหลาดใจ!
เขาแปลกใจเล็กน้อย
ด้วยทรัพยากรทางการเงินของโอวหยางห่าว เขาไม่น่าจะซื้อยาสร้างรากฐานได้ไม่ใช่หรือ
จากนั้นฉู่เสวียนก็พอจะคิดถึงที่มาของยาสร้างรากฐานได้ และคิดว่าเขาจะต้องได้มาจากผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเสินกัง เพื่อเอาไว้ใช้ในตอนเลื่อนขอบเขตในอนาคตอย่างแน่นอน
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะให้ความสำคัญกับโอวหยางห่าวคนนี้จริงๆ” ฉู่เสวียนยิ้ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาฆ่าโอวหยางห่าวแม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะโกรธจัดและต้องการฉีกฆาตกรที่ฆ่าเขาออกเป็นชิ้นๆ แต่ก็หาตัวฆาตรกรคนนั้นไม่เจอ
“อย่างไรก็ตาม เม็ดยาสร้างรากฐานอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ข้าเข้าสู่ขั้นตอนการสร้างรากฐานได้ ฉะนั้นน้ำอัมฤทธิ์โลหิตสร้างรากฐานยังคงจำเป็นสำหรับข้าอยู่”
ฉู่เสวียนไม่คิดว่าเขาจะมีความสามารถในการกลั่นลมปราณมากขนาดนั้น ที่จะใช้เม็ดยาสร้างรากฐานเพียงหนึ่งเม็ดก็จะสามารถเลือนระดับไปสู่ช่วงสร้างรากฐานได้
“เช่นนั้นก็แปลงพลังของมันให้เป็นพลังต่อสู้ของข้าโดยเร็วที่สุด”
เขาเลิกสนใจยาสร้างรากฐาน ก่อนจะหยิบดาบบังเหินเทียนกังและโล่ไม้สีทองออกมา
อาวุธเวทย์มนตร์ทั้งสองนี้ โอวหยางห่าวได้ทำเครื่องหมายแก่นโลหิตไว้
และการที่เขาทำเครื่องหมายแก่นโลหิตลงไปก็เพื่อปรับแต่งอาวุธเวทย์มนตร์และทำเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเขาเป็นเจ้าของ เพื่อกันไม่ให้ศัตรูขโมยไประหว่างการต่อสู้
แต่สิ่งที่ดีกว่าเครื่องหมายแก่นโลหิตก็คือเครื่องหมายคู่วิญญาณโลหิต ซึ่งเป็นการทำเครื่องหมายที่บ่งบอกความเป็นเจ้าของโดยการหยดแก่โลหิตควบคู่ไปกับพลังวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม จะสามารถทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู้ช่วงสร้างฐานรากแล้วเท่านั้น
ด้วยระดับในปัจจุบันของฉู่เสวียน เขาทำได้เพียงหยดแก่นโลหิตลงไปประทับตราเท่านั้น
เขาเหยียดนิ้วทั้งสองออกแล้วฉีดพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อตรวจสอบ ในไม่ช้าเขาก็พบเครื่องหมายแก่นโลหิตที่โอวหยางห่าวได้ทำไว้บนดาบบังเหินเทียนกัง พลังวิญญาณก็ถูกบีบออกไป ในเวลาประมาณหนึ่งในสี่ของชั่วโมง เครื่องหมายแก่นโลหิตที่โอวหยางห่าวได้ทำไว้ ก็ถูกลบออกจนหมด
ดังนั้นในตอนนี้ก็เท่ากับว่าดาบบังเหินเทียนกังไม่มีเจ้าของแล้ว
ฉู่เสวียนจึงตบหน้าอกของเขา และคายเลือดออกมาหนึ่งหยด แล้วหยดลงบนพื้นผิวของดาบบังเหินเทียนกัง
จากนั้นมันก็เริ่มซึมลงไปในผิวของอาวุธ
กระบวนการนี้กินเวลาไปสามชั่วโมง
ในถ้ำมืดสนิท แต่ดวงตาของฉู่เสวียนกลับสดใส
เสร็จแล้ว!
เขารู้สึกได้ว่าดาบเทียนกังเล่มนี้เริ่มเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเขาได้แล้ว
จากนั้นเขาก็เริ่มทำเครื่องหมายกับโล่ไม้ทองคำด้วยวิธีเดียวกันอีกครั้ง
หลังจากที่ลบเครื่องหมายแก่นโลหิตเดิมออกก็ได้ประทับตราแก่นโลหิตของเขาลงไปเพื่อปรับแต่ง
การประทับตราอาวุธเวทย์มนตร์คุณภาพสูงสองชิ้นนี้ส่งผลให้ฉู่เสวียนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย เขาจึงเก็บอาวุธใส่ถุงเก็บของและหลับไปทันที
หลังจากผ่านไปทั้งคืน เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ และรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง
“ข่าวการตายของโอวหยางห่าวอาจจะยังไม่แพร่กระจายออกไป ก่อนที่นิกายเสินกังจะออกมาตรวจสอบ ข้าควรกลับไปที่ตรอกไท่ผิงโดยเร็วที่สุดเพื่อซื้อของที่ข้าต้องการ”
ฉู่เสวียนรีบไปที่ตรอกไท่ผิงในทันที
คราวนี้เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาอีกครั้ง กลายเป็นผู้บ่มเพาะร่างผอมที่มีดวงตาลึกล้ำ
รูปลักษณ์ของเขาตอนนี้ ไม่ต่างจากชายที่เสพยาอย่างนักจนไม่ได้พักผ่อน
ฉู่เสวียนเดินผ่านแผ่งขายของของผู้บ่มเพาะทั่วไป และกำลังจะเข้าไปซื้อยาอายุวัฒนะที่ศาลาไป๋เฉา
แต่ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแผงขายของแผงหนึ่งที่ดูแปลกๆ
ในแผงขายของแผงนั้นได้ขายหนังสือที่เป็นเคล็ดลับวิชาของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิกายอู๋จี๋หลายเล่มวางขายอยู่
หนึ่งในนั้นคือหนังสือ "เทคนิควิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิง" ที่เขาได้ฝึกฝน
นอกจากนี้ยังมีวัสดุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการกลั่นหลอมน้ำอัมฤทธิ์โลหิตสร้างรากฐานอยู่ด้วย
ทันใดนั้นฉู่เสวียนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติขึ้นมา
ทั้งที่นิกายอู๋จี๋ก็ถูกทำลายไปแล้ว เหตุใดถึงมีสิ่งของพวกนี้มาขาย และยังมีวัตถุดิบที่สามารถเอามากลั่นน้ำอมฤตโลหิตได้โดยตรงแบบนี้ด้วยล่ะ?
หรือว่านิกายสายธรรมทั้งห้าตั้งใจจะเอาเหยื่อเหล่านี้มาตกปลาตัวใหญ่อย่างพวกเขากัน !
หากว่าใครที่ใจง่ายมางับเหยื่อเหล่านี้เข้าไป ชีวิตของคนผู้นั้นก็คงจะหายไปด้วย
ฉู่เสวียนจึงเลือกที่จะเมินเฉย และกำลังจะเดินจากไป
ทว่าในตอนนั้นเจ้าของร้านผมขาวก็ได้พูดขึ้นมาทันทีว่า "สหายเต๋า สินค้าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสินค้าคุณภาพสูง เจ้าไม่สนใจบ้างหรือ"
ฉู่เสวียนที่ระมัดระวังตัวมาก ก็ได้ตอบไปว่า "ข้าไม่สนใจ "
เจ้าของร้านผมขาวก็ได้หัวเราะชอบใจออกมาอีกครั้ง “แล้วพระสูตรกลั่นโลหิตปีศาจล่ะ เจ้าไม่ต้องการมันหรือ?”
ฉู่เสวียนตกตะลึงและมองไปที่เจ้าของแผงลอยทันที
เสียงนี้ไม่ได้ผ่านหูของเขาเข้ามา แต่มันดังขึ้นมาในใจของเขาต่างหาก!
เทคนิคการส่งผ่านเสียง
นี่เป็นเทคนิคที่ใช้ได้แค่เฉพาะผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานเท่านั้น
เมื่อใช้วิธีนี้ออกมา ก็จะสามารถได้ยินแค่คนที่ผู้สื่อต้องการจะสื่อสารด้วยเท่านั้น
และหากว่าต้องการจะขัดขวางการสนทนา ก็ต้องใช้ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานขั้นที่ 2 ถึงสองคน
และสำหรับ "พระสูตรกลั่นโลหิตปีศาจ" นั้น สิ่งนี้สำคัญสำหรับเขาจริงๆ เพราะนี้คือเคล็ดลับวิชาของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของนิกายอู๋จี๋
ส่วนเคล็ดลับวิชาของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณทั้งสามแบบ เช่น "เทคนิควิญญาณแปลงโลหิตช่วงชิง" จริงๆ แล้วเป็นเพียงหนึ่งในเคล็ดลับวิชาเบื้องต้นของพระสูตรกลั่นโลหิตปีศาจ
"อาจารย์อาหลิวอย่างนั้นหรือ?" ฉู่เสวียนคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที
ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานนั้นย่อมรู้สูตรการกลั่นหลอมน้ำอัมฤทธิ์โลหิตสำหรับเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐาน เช่นเดียวกับเคล็ดลับวิชาของผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานของนิกายอู๋จี๋
ซึ่งจะเป็นใครไปได้อีกถ้าไม่ใช่หลิวเจิ้งสง?
เจ้าของร้านผมขาวยิ้มแล้วพูดว่า "ตามข้ามา"
เขาเอื้อมมือออกไปเก็บสิ่งของทั้งหมดลงในแหวนเก็บของ แล้วเดินออกจากตรอกไท่ผิงไปอย่างช้าๆ
ฉู่เสวียนไม่ลังเลและรีบเดินตามเขาไปทันที
หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งสองก็เดินออกจากตรอกไทผิงไปไม่ต่างจากผู้บ่มเพาะธรรมดาคนอื่นๆ ที่เข้ามาและจากไป
หลิวเจิ้งสงเดินออกไปเรื่อยๆจนกระทั่งแน่ใจว่าออกมาไกลจากตรอกไท่ผิงพอสมควรแล้ว
“เจ้าคือฉงเจิ้งชิงหรือหลิวจินเผิง ?” เขากระซิบถาม
ฉู่เสวียนหัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา เพราะสองคนนี้คือศิษย์ฝ่ายในของนิกายอู๋จี้ ที่อยู่ในอันดับที่ 12 และ13 แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาตอนที่แข่งขันเพื่อชิงอันดับที่ 10 ของนิกายอยู่เหมือนกัน
แต่ตอนนี้ไม่มีข่าวคราวอะไรเกี่ยวกับพวกเขาทั้งสองเลย และบางทีพวกเขาก็อาจจะเสียชีวิตไปนานแล้วก็ได้
ฉู่เสวียนโค้งคำนับหลิวเจิ้งสงด้วยความเคารพ "ข้าคือฉู่เสวียน ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณของนิกายอู๋จี้ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับอาจารย์อาหลิว"
หลิวเจิ้งสงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อ "ฉู่เสวียน? ฉู่เสวียนที่เป็นศิษย์อันดับที่ 10 ฝ่ายในของนิกายอู๋จี๋จริงๆหรือ? ข้าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย คนที่ช่วยชีวิตเฉินเกอและเว่ยหัว และยังเอาชนะโอวหยางห่าว แท้จริงแล้วคือเจ้า”
ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ แต่ไม่ได้อธิบายอะไรออกมา
เมื่อนิกายอู๋จี๋ล่มสลาย เขายังอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 เท่านั้น แต่ที่เขาสามารถมาอยู่ในอันดับที่ 10 ได้ ก็เพราะเขาอาศัยความช่ำชองในการใช้เทคนิคพิษ ฯลฯ
ดังนั้นการที่หลิวเจิ้งสงจะไม่คาดคิดว่าเป็นเขา มันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว