ตอนที่ 48 โชคร้ายจริงๆ
ตอนที่ 48 โชคร้ายจริงๆ
“ดี! ไอ้โจรน้อย เจ้าพกยันต์โจมตีมามากนัก งั้นพวกเราก็ค่อยๆ เล่นกับเจ้าไปเรื่อยๆ!”
ฉู่เหวินเต้าออกคำสั่งให้ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตแดนเร้นลับจัดการหลิงอวิ๋น และเลือกที่จะถอยกลับไปก่อน
“ฮ่าฮ่า! ตระกูลฉู่ไม่มีไข่! ล้วนขี้ขลาดตาขาว!”
หลิงอวิ๋นตะโกนใส่กลุ่มของ ฉู่เหวินเต้าที่กำลังจากไป
ฉู่เหวินเต้าโกรธจนแทบกระอักเลือดและตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ส่งคนตามพวกมันไป! ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ต้องฆ่าไอ้โจรนั่นให้ได้!!!”
“รับทราบ!”
ทันทีที่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตแดนเร้นลับของตระกูลฉู่ได้รับคำสั่ง ก็เรียกคนมาไล่ตามพวกหลิงอวิ๋นไปอย่างห่างๆ
“ไอ้หนู! เจ้าทำไมถึงมียันต์โจมตีระดับหกมากมายขนาดนี้ เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นนักสร้างยันต์?”
อู๋เต๋อพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น พลางโอบกอดหลิงอวิ๋นอย่างสนิทสนม
ว่านฮวายวี่กลั้นหายใจเล็กน้อย ดวงตาที่สว่างสดใสมองมาที่หลิงอวิ๋นราวกับรอคอยคำตอบ
หลิงอวิ๋นงุนงงและถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าของร้านอู๋ แล้วทำยังไงถึงจะกลายเป็นนักสร้างยันต์ได้ล่ะ?”
“อ่า...”
อู๋เต๋อถึงกับพูดไม่ออกในทันที
ว่านฮวายวี่เผยแสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
หลิงอวิ๋นเกาท้องจมูกอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เมื่อได้เห็นพลังของยันต์ เขาคิดว่า ถ้าสามารถสร้างยันต์ได้เองล่ะก็ไม่ว่าใครจะเป็นศัตรูของเขา หากมียันต์ในมือก็ชนะได้สบาย!
“ฮึ! หลิงอวิ๋น! เจ้าช่างเห็นสิ่งไร้สาระพวกนี้เป็นของล้ำค่า น่าหัวเราะจริงๆ!”
เสียงเย็นชาของหานเยว่ดังขึ้นมาในหัวของเขา ขัดจังหวะความคิดฝันไปไกลของเขา
หลิงอวิ๋นไม่พอใจเล็กน้อยและตอบกลับว่า “หานเยว่ นักสร้างยันต์เป็นอาชีพที่ทรงเกียรติและหายาก จะเรียกว่ามันเป็นสิ่งไร้สาระได้อย่างไร?”
“ฮึ! ระดับความสามารถเป็นตัวกำหนดมุมมอง”
“ที่เจ้าคิดว่ายันต์มันทรงพลังนัก นั่นก็เพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป”
“แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังของยันต์นั้นมีขีดจำกัด”
“จำไว้ให้ดี! ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ย่อมต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเอง นั่นจึงจะเรียกว่าความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”
ในขณะที่พวกเขาสามคนเดินเข้าสู่เมืองโบราณร้าง ถนนกว้างทั้งสองข้างเต็มไปด้วยแผงลอยที่มีของโบราณหลากหลายวางขาย
หากต้องการขุดค้นวัตถุจากแดนลับโบราณ เมืองโบราณร้างนี้ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนั้น...
“เฮ้! น้องอู๋!”
จากแผงลอยทางด้านขวา มีชายชราผู้แขนเดียวโบกมือทักทายอู๋เต๋อ
“ลุงหวาง”
อู๋เต๋อนำหลิงอวิ๋น และว่านฮวายวี่มายังแผงลอยนั้น
เมื่อมองไปยังของโบราณมากมายที่วางขายบนแผง เขาโบกพัดเก่าของเขาไปมาและหัวเราะ “ลุงหวาง ช่วงนี้ได้ของมาไม่น้อยเลยนะ”
ทั้งสองเคยร่วมมือกันในแดนลับโบราณมาก่อน นับเป็นคนรู้จักกันดี
ลุงหวางเหลือบมองหลิงอวิ๋นและว่านฮวายวี่แวบหนึ่ง ก่อนหันมาหาอู๋เต๋อและพูดว่า “น้องอู๋ เจ้ายังไม่ยอมแพ้กับที่นั่นอีกหรือ?”
มือที่โบกพัดของอู๋เต๋อชะงักลงเล็กน้อย แล้วเขาก็ถอนหายใจพลางกล่าว “นั่นมันสุสานของเซียนโบราณเชียวนะ”
“เพียงแค่ห้องสุสานด้านนอกไม่กี่ห้องก็ได้เจอของล้ำค่ามากมายแล้ว”
“แถมข้าก็เปิดสุสานหลักได้ถึงเก้าส่วนแล้ว เหลืออีกแค่นิดเดียว ข้าไม่ยอมแพ้หรอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของลุงหวางก็ฉายแววชื่นชม “สุสานเซียนโบราณช่างยั่วยวนใจจริงๆ”
“ไม่ต้องพูดถึงสมบัติล้ำค่าที่ฝังอยู่ การได้ครอบครองร่างของเซียนโบราณ แม้จะผ่านไปกว่าพันปี ร่างนั้นก็คงยังไม่ผุพัง”
“หากได้เพียงหยดเลือดเซียนสักหยด ขอบเขตแม่น้ำสวรรค์ก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม”
พูดจบ สีหน้าของลุงหวางก็หม่นลงเล็กน้อย
“เมื่อเดือนที่แล้ว ป้อมตระกูลเซียวจากทุ่งหญ้าเหนือไกลส่งคนมา พวกนั้นทั้งหมดเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแดนเร้นลับ แต่พวกเขาล้วนจบชีวิตอย่างน่าอนาถ”
“เมื่อครึ่งเดือนก่อน ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งจากสำนักสวรรค์เร้นลับก็มาเช่นกัน”
ดวงตาเล็กๆ ของอู๋เต๋อหรี่ลงทันที “ฉู่เทียนฉีหรือ?”
ลุงหวางพยักหน้า ก่อนจะอุทานด้วยความทึ่ง “เด็กคนนี้มีวิธีการแพรวพราว เขาลองเข้าไปสามครั้ง แล้วก็สามารถกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง”
“ไม่กี่วันก่อน ยังมีคนเห็นฉู่เทียนฉีปรากฏตัวที่หน้าสุสานอีกครั้ง”
“มีคนคาดเดาว่าเขาอาจจะค้นพบวิธีเปิดสุสานหลักได้แล้ว”
“บ้าเอ๊ย! เป็นไปได้หรือ?!”
อู๋เต๋อถึงกับกระโดดขึ้นมาด้วยความโกรธ!
สุสานโบราณแห่งนั้น เขาเป็นคนค้นพบคนแรก เคยเข้าไปสามครั้ง และเปิดสุสานหลักได้ถึงเก้าส่วนแล้ว
ทำงานหนักมานานขนาดนี้ แต่สุดท้ายกลับถูกฉู่เทียนฉีตัดหน้าไปได้อย่างนั้นหรือ?
ในขณะนั้นเอง...
สายตาของหลิงอวิ๋นก็ถูกดึงดูดโดยจานบูชาทองสัมฤทธิ์ขนาดเล็กซึ่งมีสภาพไม่สมบูรณ์
มันควรจะมีสามขาและสองหู แต่ตอนนี้เหลือเพียงสองขาและหนึ่งหู แถมรอบๆ ยังมีสนิมขึ้นหนาเตอะ
“ท่านอาวุโส ข้าขอซื้อจานบูชาใบนี้ได้หรือไม่?”
ทันทีที่หลิงอวิ๋นเอ่ยปากถาม สายตาของอู๋เต๋อและลุงหวางก็มองไปที่จานบูชาทองสัมฤทธิ์นั้นโดยไม่รู้ตัว
นี่คือสิ่งที่พวกเขาเคยนำออกมาจากสุสานโบราณในครั้งที่ไปด้วยกัน
ทั้งสองเคยพยายามศึกษาดูแล้ว แต่ไม่พบความพิเศษอะไร
อู๋เต๋อแนะนำ “นี่คือหลิงอวิ๋น ผู้ช่วยของข้าในครั้งนี้”
“เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ”
ลุงหวางยิ้มพร้อมแสดงสีหน้าว่าเข้าใจแล้ว จากนั้นเขาหยิบจานบูชาทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาและยื่นให้หลิงอวิ๋น
“ในเมื่อเจ้ากับสิ่งนี้มีวาสนาต่อกัน งั้นข้าจะมอบจานบูชาชำรุดใบนี้ให้เจ้า”
“อ่า...”
หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าควรจะจ่ายเงินดีกว่า เพราะเขารู้สึกไม่สบายใจที่จะรับของฟรีโดยไม่ได้ทำอะไรตอบแทน
อู๋เต๋อกลับหัวเราะ “ไอ้หนู ลุงหวางเป็นคนขี้เหนียวจะให้ของฟรีไม่ใช่เรื่องปกติ รีบรับไว้เถอะ แล้วไปกันได้แล้ว”
“น้องอู๋พูดแบบนี้ ข้าเสียหน้านะ” ลุงหวางแกล้งตะโกนตอบกลับ จากนั้นจึงหันไปพูดกับหลิงอวิ๋น “รับไปเถอะเจ้าหนุ่ม”
“ขอบคุณท่านอาวุโสมากแล้ว” หลิงอวิ๋นรับจานบูชาทองสัมฤทธิ์มา
เมื่อสัมผัสถึงความเย็นและน้ำหนักที่พอดี เขายังไม่พบความพิเศษอะไรเกี่ยวกับมันในตอนนี้
“ลุงหวาง ข้าคงต้องไปก่อน ไว้เจอกันใหม่”
อู๋เต๋อเดินไปข้างหน้าอย่างหงุดหงิด เมื่อคิดถึงโอกาสที่ฉู่เทียนฉีอาจจะตัดหน้าเขาได้ ทำให้เขายิ่งโมโห
ไม่นานนัก
ทั้งสามคนมาถึงใจกลางเมืองโบราณร้าง ตรงหน้าคือประตูแสงสีฟ้าอ่อนขนาดใหญ่สูงถึงร้อยเมตรที่ตั้งตระหง่าน
มีผู้คนจำนวนมากเดินผ่านประตูแสงนั้น และหายลับไปจากสายตา
“ไปกัน!”
อู๋เต๋อคว้าตัวหลิงอวิ๋น และว่านฮวายวี่ก่อนจะพุ่งเข้าสู่ประตูแสงในทันที
หลิงอวิ๋นรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไปในทันใด
พวกเขามาอยู่ในป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด ดูเหมือนจะไม่ต่างจากโลกภายนอกมากนัก
แต่ทันใดนั้นเอง!
ความรู้สึกถึงอันตรายอันรุนแรงก็พุ่งขึ้นมาในใจ
ใต้แสงสลัวของยามค่ำคืน มีเสือยักษ์สีดำสนิทเดินออกมา มันมีขนาดใหญ่กว่าภูเขา ร่างกายมหึมาของมันแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวจนทำให้ทุกคนสั่นสะท้าน
ดวงตาสีแดงสดของมันที่ใหญ่กว่าหินโม่ข้าวสองลูก ส่องแสงสีแดงจ้าทำให้ผืนดินรอบๆ ถูกย้อมเป็นสีเลือด
“นี่มัน... เป็นสัตว์อสูรขอบเขตหมื่นแปรผันขั้นสิบ!”
หลิงอวิ๋นรู้สึกคอแห้งผาก พลางหันไปมองอู๋เต๋อด้วยความตื่นตระหนก “ท่านเจ้าของร้านอู๋ ดูเหมือนว่าโชคเราจะไม่ดีนัก!”
“โชคไม่ดีหรือ?!” สีหน้าของอู๋เต๋อแปรเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“ข้าเข้าออกแดนลับโบราณหลายต่อหลายครั้ง ไม่เคยเจอสัตว์อสูรขอบเขตหมื่นแปรผันชั้นสิบสักครั้ง! ทำไมครั้งนี้ถึงโชคร้ายขนาดนี้!”
สีหน้าของว่านฮวายวี่ขาวซีด “ท่านอู๋ พวกเราไม่ต้องไปสุสานเซียนโบราณแล้วได้หรือไม่ พวกเราหนีเถอะ!”
“หนี? จะหนียังไง?”
อู๋เต๋อส่ายหัว “ไอ้สัตว์ตัวนี้มีสติปัญญาแล้ว มันยังไม่ลงมือโจมตีพวกเรา เพราะกำลังประเมินความแข็งแกร่งของข้าอยู่”
“ถ้าเราทำให้มันเห็นว่าเรากลัวล่ะก็การโจมตีของมันจะเร็วกว่าการหนีของพวกเราแน่นอน”
พูดจบอู๋เต๋อก็หยิบหอคอยหินครึ่งซีกขึ้นมา แล้วใช้พลังปราณส่งเสียงเข้าหูของหลิงอวิ๋นอย่างเงียบๆ
“ไอ้หนู ข้าจะสังหารสัตว์ร้ายตัวนี้! แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะต้องคุ้มครองข้าด้วย เข้าใจหรือไม่?”