ตอนที่ 41 ไก่ดินที่สิ้นหวัง
ตอนที่ 41 ไก่ดินที่สิ้นหวัง
“นี่มันเป็นวิชาอะไร ทำไมมันถึงดูคล้ายกับร่างอวตารจริงๆ อย่างนั้น!”
“ร่างอวตารเป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งขอบเขตแม่น้ำสวรรค์เท่านั้นถึงจะสามารถสร้างขึ้นมาได้!”
“เจ้าหลิงอวิ๋นคนนี้มีเบื้องหลังอะไร ทำไมถึงมีวิชาที่น่าสะพรึงกลัวมากมายขนาดนี้!”
ฝูงชนต่างตกตะลึงกับพลังที่หลิงอวิ๋นแสดงออกมา
ในตอนนี้ใบหน้าของจ้าวอู๋จีที่เคยมั่นใจเต็มเปี่ยม กลับเริ่มจางหายไปทันที
เขาใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อผลักดันเยี่ยเมิ่งเยียนให้ก้าวสู่จุดสูงสุด
แต่ในตอนนี้ พลังอันแข็งแกร่งที่หลิงอวิ๋นแสดงออกมาทำให้ความพยายามทั้งหมดของเขากำลังจะสูญเปล่า!
“ชักจะน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ” กู้ชิงเฉิงยิ้มเล็กน้อยด้วยริมฝีปากสีแดงสด ดวงตาคมกริบเปล่งประกายอย่างมีเลศนัย
“เขาแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?”
เจี้ยนอู่เสวี่ยที่เคยคิดจะท้าประลองกับหลิงอวิ๋นหลังจากเข้าสู่สำนักชั้นในหมดความมั่นใจทันที
“พี่อันเย่ว พี่หลิงของเรากำลังจะล้างแค้นให้พี่แล้ว!” หนิงเสี่ยวตงลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น ตาจับจ้องไปที่เวทีไม่กะพริบ
บนเวที
หลิงอวิ๋นไม่ได้โจมตีทันที แต่เขาก้าวเดินไปหาเยี่ยเมิ่งเยียนทีละก้าว
ทุกครั้งที่หลิงอวิ๋นเดินเข้ามาใกล้ ก็เหมือนกับเขาเหยียบลงบนหัวใจของเยี่ยเมิ่งเยียนร่างกายของนางเริ่มสั่นสะท้าน
แสงที่ห่อหุ้มร่างของนางไม่ได้ส่องประกายสดใสเหมือนเมื่อก่อน มันเริ่มสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว ในขณะนี้พลังที่หลิงอวิ๋นแผ่ออกมาน่ากลัวเกินไป แม้แต่หมาก็ยังต้องเงียบเสียง
“เยี่ยเมิ่งเยียน เจ้าเพิ่งพูดไปว่าไม่มีใครเอาชนะเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
หลิงอวิ๋นยื่นมือที่ห้อมล้อมด้วยเปลวไฟขนาดใหญ่ของเขาออกมา และลูบผ่านแสงปกป้องร่างของเยี่ยเมิ่งเยียนอย่างแผ่วเบา
“หลิงอวิ๋น”
เยี่ยเมิ่งเยียนรู้สึกคอแห้งและกระหายน้ำ ยิ่งหลิงอวิ๋นไม่โจมตีนาง ทำให้นางยิ่งรู้สึกไม่มั่นคง
นางพยายามดึงพลังวิชาเกราะเหล็กสวรรค์เร้นลับออกมาอย่างสุดกำลัง
“ดูเหมือนเจ้าจะกังวล และกลัวมากเลยสิ?”
สายตาของหลิงอวิ๋นเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นอัจฉริยะมีรากวิญญาณระดับเทพ และยังมีวิชาลับโบราณคอยปกป้อง อีกทั้งยังมีพลังขอบเขตกงล้อสมุทรขั้นหก แต่เจ้าก็ยังรู้สึกหวั่นกลัวงั้นหรือ?”
ใบหน้าของเยี่ยเมิ่งเยียนมืดมนอย่างยิ่ง แต่ในขณะนี้ แสงสว่างของหลิงอวิ๋นนั้นเจิดจ้าเกินไป
นางไม่กล้าเสียแรงแม้แต่น้อยในการโจมตี จึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับวิชาลับปกป้องโบราณ
เมื่อเห็นท่าทางของเยี่ยเมิ่งเยียนที่พยายามเรียกใช้วิชาเกราะเหล็กสวรรค์เร้นลับ หลิงอวิ๋นก็หัวเราะเล็กน้อย
“เยี่ยเมิ่งเยียน ในช่วงสองสามวันนี้ข้าคิดว่าไก่ดินตัวนี้คงจะพัฒนาขึ้นบ้าง ที่ไหนได้ เจ้ากลับเรียนรู้แค่เคล็ดวิชาของเต่าเพียงแค่นั้น ไม่ได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเลย”
“หรือว่าจ้าวอู๋จีไม่เคยสอนเจ้าว่าการป้องกันที่ดีที่สุดคือการโจมตี?”
เพี้ยะ!
หลิงอวิ๋นตบนางเข้าเต็มใบหน้า
ฝ่ามือใหญ่ที่ล้อมด้วยเปลวไฟส่งเยี่ยเมิ่งเยียนกระเด็นลอยไป
นางกลิ้งไปกับพื้นไกลกว่า 10 เมตรอย่างน่าอนาถ แต่แสงป้องกันร่างกายของนางยังคงสว่างอยู่
เยี่ยเมิ่งเยียนลุกขึ้นจากพื้น เมื่อเห็นว่าร่างกายของตนเองยังไม่เป็นอะไร นางก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
ที่แท้การโจมตีของหลิงอวิ๋นก็ไม่ได้รุนแรงอย่างที่พลังของเขาบ่งบอก
นางคิดในใจว่าเพียงแค่ต้องต้านทานวิชามหาวิชาฟาดฟ้าทลายพสุธาของหลิงอวิ๋นได้เท่านั้น...
แต่แล้ว ดาบที่ล้อมด้วยแสงไฟและเปล่งประกายสีทองพุ่งข้ามระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้งสอง กระแทกเข้ากับแสงป้องกันของนางทันที
จากนั้น...
ในขณะที่เยี่ยเมิ่งเยียนมองดูด้วยความตกตะลึง และเผยใบหน้าตื่นกลัวสุดขีด
แสงป้องกันร่างกายของนางแตกสลาย!
เหมือนกับความหวังในใจของนางที่เพิ่งจุดติดขึ้นมา ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!
พลังที่เหลือจากการโจมตีด้วยดาบของหลิงอวิ๋นพุ่งเข้ากระแทกร่างของเยี่ยเมิ่งเยียนและตรึงนางไว้กับเวทีประลอง
“อะ... นี่มัน”
ฝูงชนต่างขยี้ตาและจ้องมองไปที่ร่างของเยี่ยเมิ่งเยียนที่ถูกตรึงอยู่บนเวทีด้วยความไม่เชื่อสายตา
เพียงแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้น!
เยี่ยเมิ่งเยียนไม่สามารถต้านทานการโจมตีด้วยนิ้วเดียวของหลิงอวิ๋นได้เลย!
“นี่คือรากวิญญาณระดับเทพตามที่เล่าลือกันอย่างนั้นหรือ?”
แกร๊บ!
ที่พักแขนของเก้าอี้ที่จ้าวอู๋จีนั่งอยู่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ นี่คือผู้ที่เขาทุ่มเทความพยายามทั้งหมดในการฝึกฝนให้กลายเป็นอัจฉริยะหรือ?
รากวิญญาณระดับเทพอย่างนั้นหรือ?
ในขณะนี้ จ้าวอู๋จีรู้สึกเหมือนตนเองกลายเป็นเรื่องตลกที่สุดในโลก
หลิงอวิ๋นหยิบดาบสายฟ้าพิโรธขึ้นมาในมือ แล้วเดินไปหาที่เยี่ยเมิ่งเยียนทีละก้าว
“เยี่ยเมิ่งเยียน ชะตากรรมของเจ้า ถูกกำหนดไว้แล้วตั้งแต่ในชื่อของเจ้า”
“เหมือนภาพมายาที่หายไปในสายหมอก สุดท้ายเจ้าย่อมจางหายไป!”
“ในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าจะเอาดวงตาหนึ่งข้างของเจ้า”
“หลังจากทดสอบรากวิญญาณใหม่แล้ว ข้าจะทำตามสัญญาระหว่างเรา และเอาอีกข้างของเจ้า!”
พูดจบหลิงอวิ๋นขยับข้อมือ และแทงดาบเข้าที่ตาซ้ายของเยี่ยเมิ่งเยียน
“อ๊าาา!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของเยี่ยเมิ่งเยียน
“หยุดมือ!”
จ้าวอู๋จีที่ตื่นจากภวังค์รีบพูดออกมา ก่อนที่จะได้ผลการทดสอบรากวิญญาณ เขาจะไม่ยอมให้เยี่ยเมิ่งเยียนเป็นอะไรไปแน่นอน
ฟิ้ว!
จ้าวอู๋จีก้าวเท้ากลางอากาศ ข้ามระยะหลายร้อยเมตรในพริบตา กระโดดขึ้นจากที่นั่งผู้ชมและพุ่งตรงไปยังเวทีประลอง
“อาจารย์!” เยี่ยเมิ่งเยียนร้องไห้โหยหวน พยายามคลานไปหาอาจารย์ของนางพร้อมทิ้งรอยเลือดไว้อย่างน่าสะพรึงกลัวบนพื้น
แต่จ้าวอู๋จีกลับทำเหมือนไม่สนใจใยดี ดึงตัวเยี่ยเมิ่งเยียนขึ้นมาอย่างหยาบคาย
“ไป! ตอนนี้! เราจะไปทดสอบรากวิญญาณใหม่เดี๋ยวนี้!”
เยี่ยเมิ่งเยียนถูกอ้างถึงในฐานะผู้ที่มีรากวิญญาณอันยิ่งใหญ่ และยังมีฉู่เทียนฉีแห่งสำนักสวรรค์เร้นลับเป็นผู้รับรอง
ในใจของจ้าวอู๋จียังคงมีความหวังอยู่เล็กน้อย!
หากเยี่ยเมิ่งเยียนสามารถวัดผลออกมาได้ว่าเป็นรากวิญญาณระดับเทพ ทุกสิ่งทุกอย่างก็อาจกลับมาแก้ไขได้ทันเวลา
“เจ็บเหลือเกิน อาจารย์ ข้าเจ็บเหลือเกิน...” เยี่ยเมิ่งเยียนร้องด้วยความเจ็บปวด
เยี่ยเมิ่งเยียนที่ไม่เคยถูกจ้าวอู๋จีต่อว่ามาก่อน ในตอนนี้ต้องเผชิญกับการกระชากอย่างหยาบคายจากเขา ความเจ็บปวดทางกายยังน้อยกว่าความเจ็บปวดที่ฉีกกระชากจิตใจของนาง
ทั้งที่นางเป็นอัจฉริยะมีรากวิญญาณระดับเทพ
แต่ทำไมหลิงอวิ๋นถึงสามารถย่ำยีและข่มเหงนางได้ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างง่ายดาย?
ความคิดที่นางไม่เคยแม้แต่จะนึกถึงก็ผุดขึ้นมาในหัว
หรือว่าการทดสอบครั้งนั้น ที่นางคิดว่าตนเองเป็นคนทำลายแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศได้... แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของหลิงอวิ๋น?
เมื่อความคิดนี้โผล่ขึ้นมา นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วร่าง ราวกับมีความมึนงงเข้าครอบงำ
นางไม่สามารถจินตนาการถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้เลยหากความจริงเป็นเช่นนั้น
นางไม่กล้าคิดถึงมัน!
“ไม่... ไม่ใช่แน่ มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน”
“รากวิญญาณของข้าส่องแสงระยิบระยับ มีอำนาจบารมีได้รับการรับรองจากอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างฉู่เทียนฉีแล้ว”
“ข้าเยี่ยเมิ่งเยียนคืออัจฉริยะที่แท้จริงที่ครอบครองรากวิญญาณระดับเทพ!”
“ทดสอบเถิด อาจารย์ ข้าจะทดสอบรากวิญญาณอีกครั้ง!” เยี่ยเมิ่งเยียนพยายามยืนขึ้นอย่างโซซัดโซเซ มองไปรอบๆ ด้วยตาข้างเดียว
นางกำลังมองหาแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศ เพราะนั่นคือความหวังสุดท้ายในชีวิตของนาง
“รีบนำแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศมาเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยวนี้ เอาเข้ามาในลานประลองแห่งนี้!” จ้าวอู๋จีตะโกนออกมาด้วยความซับซ้อนใจอย่างที่สุด
แท้จริงแล้วแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศถูกส่งมายังสำนักสวรรค์เร้นลับผ่านช่องทางลับตั้งแต่เมื่อคืน
แต่เพื่อให้เยี่ยเมิ่งเยียนสามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ในวันนี้จ้าวอู๋จีไม่ได้สนใจเรื่องการทดสอบรากวิญญาณใหม่ แต่กลับทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเสริมสร้างพลังให้กับนางแทน
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เหล่าผู้อาวุโสขอบเขตแดนเร้นลับสองคน นำแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศขนาดมหึมา สูงร้อยเมตร บินเข้ามาในลานประลอง
เมื่อเห็นแผ่นศิลาแห่งเกียรติยศอันใหม่เอี่ยมนี้ หลิงอวิ๋นยิ้มมุมปากเล็กน้อย
ทันใดนั้นหลิงอวิ๋นก็หันไปตะโกนเรียกจ้าวอู๋จีว่า “ท่านจ้าวอู๋จี การทดสอบรากวิญญาณต้องทำแน่นอน แต่ข้าหลิงอวิ๋นก็ยังไม่ได้ทดสอบระดับรากวิญญาณของข้าเช่นกัน แต่ก่อนหน้านั้น เราควรจะแจกของรางวัลสำหรับอันดับภูผาสายน้ำก่อนดีหรือไม่?”
“เพราะการทดสอบรากวิญญาณกับการแข่งขันอันดับภูผาสายน้ำนั้นเป็นคนละเรื่องกัน”
“ดูเถิด ทุกคนยังรอของรางวัลกันอยู่!”
ก้าวเท้าของจ้าวอู๋จีหยุดชะงักทันที เขาไม่อยากเสียเวลาอีก จึงตัดสินใจเตรียมแจกของรางวัลให้เสร็จสิ้น
แต่แล้ว...
“ท่านจ้าวอู๋จี โปรดช้าก่อน!”
เสียงหนึ่งที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารอันมหาศาลดังมาจากนอกลานประลอง
เฉินเฉาอันที่เดินทางอย่างเหน็ดเหนื่อยก็บินพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว