67 - ถ้ามีปัญญาก็ตบข้าให้ตาย
67 - ถ้ามีปัญญาก็ตบข้าให้ตาย
"เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้มันแปลก!"
หลี่ซุนกงคิดถึงองค์ชายแปด หลี่เยว่ขึ้นมา
ตั้งแต่เด็ก หลี่เยว่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าโง่ฉิน ธุรกิจเหล่านี้จะเป็นของเขาหรือไม่?
แต่หลี่เยว่ไม่ได้เป็นที่โปรดปรานเลย
เขาอาจจะใช้มือของฉินโม่เป็นตัวแทน เปิดร้านไห่ตี้เหลา ปลูกผัก และตอนนี้ยังทำธุรกิจน้ำตาลขาวอีก
การดึงพวกเรามาร่วมด้วยก็เพื่อกระจายความเสี่ยง จากนั้นก็ให้ฉินโม่เชิญเขาเข้ามาทำธุรกิจ
มันชัดเจนเลยว่านี่คือการพยายามปกปิดสิ่งที่ทำอยู่
“ท่านพ่อ อะไรที่มันแปลก? ท่านบอกแค่ว่าจะทำหรือไม่ทำ ถ้าทำก็เอาเงินสามหมื่นตำลึงไปให้เจ้าโง่เถอะ!”
“ทำบ้าอะไร!”
หลี่ซุนกงจ้องบุตรชายอย่างดุเดือด “บ้านเรามีเงินเยอะขนาดนั้นหรือ ข้าไม่ใช่ขุนนางคดโกงที่รีดไถราษฎรจะมีเงินขนาดนั้นได้อย่างไร?”
“แต่ในคลังเงินของเรา เต็มไปด้วยเงินเหรียญต้าเฉียน!”
“หุบปาก!”
หลี่ซุนกงตะคอก “เด็กๆ จับตัวเจ้าเด็กไม่เอาถ่านนี่กลับไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาหารสามมื้อต่อวันต้องส่งถึงห้องเขา น้ำชาผสมโสมต้องไม่ขาด หากมีใครปล่อยให้เขาหนีออกไป ข้าจะตีให้ตายด้วยมือของตัวเอง!”
“ท่านพ่อ ข้าไม่อยาก...!”
เสียงร้องด้วยความสิ้นหวังของหลี่หยงเมิ่งดังไปทั่วจวนเฉิงจวิ้นอ๋อง
บรรดาคนรับใช้ในจวนต่างแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
อีกฟากหนึ่งที่จวนเอ้อกว๋อกง
เฉิงซานฝูกำลังเฆี่ยนบุตรชายทั้งสองคนอยู่
“ให้พวกเจ้าทำธุรกิจ ให้พวกเจ้าไม่กลับบ้าน ให้พวกเจ้ายอมรับคนอื่นเป็นพี่ใหญ่!”
“ท่านพ่อ นี่มันเป็นเรื่องดี ทำไมถึงต้องตีพวกเราด้วย?”
สองพี่น้องไม่เข้าใจเลยจริงๆ
เฉิงซานฝูด่าว่า “พวกเจ้าเหมาะจะทำธุรกิจไหม? พวกเจ้าได้ทำให้ตระกูลเฉิงของเราต้องอับอายแล้ว พวกเจ้าจะออกหน้าออกตาไปทำธุรกิจหรือ?”
“ท่านพ่อ องค์ชายแปดยังทำเลย!”
“นั่นยิ่งทำไม่ได้ใหญ่!”
เฉิงซานฝูพูดด้วยความโกรธ "บ้านเราขาดเงินขาดทองหรือ? ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าอย่าไปเล่นกับเจ้าโง่ฉิน พวกเจ้าอยากให้ข้าตายหรืออย่างไร?
เจ้าโง่ฉินอย่างน้อยก็มีพรสวรรค์ในการคำนวณและทำอาหาร จนทำให้ฮ่องเต้และฮองเฮาพอใจ แต่พวกเจ้าเคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์บ้าง?”
"ใจเย็นๆ หน่อยท่านพี่"
ภรรยาเอ้อกว๋อกงเข้ามาปลอบใจ "พวกเขายังเด็กไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้คน!"
เฉิงซานฝูด่าว่า "ตอนที่ข้าอายุเท่าพวกมันก็เป็นทัพหน้าให้ฝ่าบาทบุกตะลุยเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว พวกมันคิดว่าเจ้าโง่ฉินใจดีชวนทำธุรกิจหรือ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้!"
ใครๆ ในเมืองหลวงก็รู้ดีว่าเจ้าโง่ฉินเป็นใคร
ทั้งทักษะคำนวณ ทำอาหาร ปลูกผัก และตอนนี้ยังทำธุรกิจน้ำตาลขาว
นี่เป็นสิ่งที่คนโง่ทำได้หรือ?
ดังนั้นเบื้องหลังคงเป็นองค์ชายแปด หลี่เยว่
เขาต้องการทำอะไรกันแน่?
องค์ชายสี่ก็มีเจตนาเช่นเดียวกันทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นชินอ๋องบุตรในสายเลือดของฮองเฮา ต่อให้ไท่จื่อกลายเป็นฮ่องเต้ในอนาคตก็ไม่มีทางฆ่าน้องตัวเอง ส่วนหลี่เยว่ มารดาของเขาเป็นเพียงนางกำนัน จะไปชิงบัลลังก์กับผู้อื่นได้อย่างไร?
เรื่องของเขาและบุตรตรีของจูกว๋อกง หลิวรูอวี้เป็นที่รู้กันดีทั่วเมืองหลวง
หลิวเฉิงหู่เป็นใคร?
เขาเป็นเทพสงครามแห่งต้าเฉียน ผู้บัญชาการใหญ่แห่งทัพภาคใต้
การแต่งงานกับบุตรีของเขาจะทำให้หลี่เยว่มีโอกาสครองบัลลังก์ถึงสามส่วน และด้วยเหตุนี้เองที่ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้การสมรสดังกล่าวเกิดขึ้น
ความคิดที่จะชิงบัลลังก์จากไท่จื่อจึงเป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น
"ท่านพ่อ ท่านดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว ถ้ามีโอกาสส่งพวกเราไปแนวหน้า เราก็สามารถสร้างเกียรติประวัติในสงครามได้ไม่เป็นรองท่าน!"
"ถุย! ในชีวิตของพวกเจ้าเคยฆ่าใครหรือไม่ คนโง่เขลาอย่างพวกเจ้าถ้าส่งไปแนวหน้าก็มีแต่จะไปตายเปล่า!"
เฉิงซานฝูโกรธจัดและเฆี่ยนบุตรชายทั้งสองจนนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น
ฉินโม่ไม่รู้เลยว่าพี่น้องทั้งสามของเขากำลังอยู่ในสถานการณ์แย่ขนาดไหน ตอนนี้ถึงเวลาเปิดร้านแล้ว แต่กลับไม่มีลูกค้าสักคนที่ไห่ตี้เหลา!
"เกิดอะไรขึ้น? เมื่อวานไม่ได้บอกเวลาเปิดร้านให้พวกเขาหรือ?"
"คุณชาย ข้าบอกไปชัดเจนแล้ว และเราก็แจกบัตรคิวไปมากกว่าหกร้อยใบ!" หยางหลิวเกินเองก็ตกใจไม่น้อย
ฉินโม่ยืนที่หน้าร้าน เห็นผู้คนที่เดินผ่านมามองเข้าไปในร้านครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเดินหนีไป เหมือนกับว่ากำลังหลบเลี่ยงบางอย่าง
มีบางอย่างผิดปกติแน่!
"ลุงหลิวเกิน ไปสืบมาว่าเกิดอะไรขึ้น!"
"รับทราบครับ คุณชาย!"
หยางหลิวเกินรีบออกไป และกลับมาหลังจากครึ่งชั่วยาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล "คุณชาย เกิดเรื่องแล้ว!"
"เจอสาเหตุแล้วหรือ?"
"มีคนปล่อยข่าวลือว่า ผักที่เราปลูกฝืนฤดูกาลกินแล้วจะถูกฟ้าลงโทษ ยังบอกด้วยว่าเราหมักเหล้าเอง ซึ่งถือว่าผิดกฎหมาย!"
"ไม่ต้องสงสัยเลย นี่ต้องเป็นฝีมือกงซุนหมวกเขียวกับพรรคพวกแน่นอน!"
ฉินโม่หัวเราะเยาะ มันเป็นแผนการที่เจ้าเล่ห์จริงๆ
แม้แต่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า ข่าวลือยังแพร่กระจายได้ง่ายมาก
"แล้วเราจะทำอย่างไรดี?"
หยางหลิวเกินเริ่มวิตก "ถ้าไม่มีใครมากินผักของเรา ไห่ตี้เหลาก็จะต้องปิดตัวลง!"
"อย่ากังวล ข้าจะหาทางจัดการเอง!"
เพียงไม่นานหลังจากที่เขาพูดจบ ก็มีคนกลุ่มใหญ่ยกขบวนเข้ามาในร้าน
ผู้นำขบวนเป็นชายในชุดขุนนาง เขาเดินมาข้างหน้าและประกาศว่า "ข้าคือเฉินว่านชิง ผู้ว่าเมืองฉางอาน ได้ยินว่าไห่ตี้เหลาหมักเหล้าโดยผิดกฎหมาย ข้าจึงมาที่นี่เพื่อตรวจสอบตามกฎหมายของต้าเฉียน!"
หยางหลิวเกินหน้าซีดทันที "ท่านผู้ว่า ข้าน้อยขอเรียนว่าเหล้าของเราไม่ได้กลั่นจากข้าวหรือธัญพืชแต่อย่างใด เรา..."
ฉินโม่หัวเราะเยาะ "ผู้ว่าการเมืองถึงกับเดินทางมาที่ร้านของข้าด้วยตัวเองนับว่ายิ่งใหญ่ไม่น้อย ใครมอบความกล้าให้เจ้ามาตรวจสอบร้านตระกูลฉิน?"
เขาก้าวไปข้างหน้า จับคอเสื้อเฉินว่านชิงขึ้น "บอกมา ใครสั่งเจ้า?"
เฉินว่านชิงเริ่มหายใจลำบาก เหล่าทหารที่ตามมาก็ชักอาวุธขึ้นทันที "ปล่อยท่านผู้ว่าการเดี๋ยวนี้!"
"ฮ่ะ พวกเจ้ากล้าชักดาบใส่ข้าหรือ?"
ฉินโม่ตบหน้าเฉินว่านชิงเต็มแรง "พวกเจ้ากล้าชักอาวุธโจมตีตระกูลฉินที่เป็นขุนนางคุณูปการหรือพวกเจ้าคิดก่อการกบฏ? เจ้ากล้าพูดว่าข้าหมักเหล้าเองโดยไม่มีหลักฐาน พูดลอยๆ แบบนี้ก็คิดจะจับกุมข้าหรือ?"
เฉินว่านชิงโดนตบจนหน้ามืดไปครู่หนึ่ง
เขากัดฟันและพูดว่า "เจ้าโง่ฉิน เจ้ากล้าทำร้ายขุนนาง แม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรชายของฉินกว๋อกงและว่าที่สามีองค์หญิงจิ่นหยาง แต่ข้าจะฟ้องร้องเจ้าหน้าบัลลังก์อย่างแน่นอน!"
"เพี้ยะ!"
ฉินโม่ตบหน้าเขาอีกครั้ง "เจ้าเป็นใครถึงกล้าเรียกข้าว่าโง่? รีบบอกมา ใครสั่งให้เจ้ามา? ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะตบจนเจ้าตาย!"
แม้ว่าในสังคมศักดินาจะเป็นสังคมเผด็จการที่ชั่วร้าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉินโม่ชอบมาก นั่นคือการได้เป็นชนชั้นปกครอง ตัวอย่างเช่นธุรกิจตระกูลฉินทั้งหมดถือเป็นสมบัติของฉินกว๋อกง หากไม่ได้ทำผิดในข้อหาก่อการกบฏขุนนางทั่วไปไม่สามารถตรวจค้นโดยปราศจากราชโองการได้
"ไม่มีใครสั่งข้ามา ข้าได้ยินมาว่ามีคนดื่มเหล้าที่ไห่ตี้เหลาเมื่อวานนี้ ในขณะที่แผ่นดินขาดแคลนอาหาร ฝ่าบาทได้สั่งห้ามหมักเหล้า เจ้าซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ไม่เพียงไม่ทำตามกฎ ยังกล้าขายเหล้าอย่างเปิดเผย ไม่เคารพฝ่าบาทและกฎหมายกฎหมายบ้านเมือง นี่เป็นความผิดฐานก่อกบฏอย่างชัดเจน! ถ้าเจ้ามีปัญญา ก็ตบข้าให้ตายไปเลยสิ เจ้าจะทำหรือเปล่า? ถ้ามีปัญญาก็ตบต่อสิ!"
……………