ตอนที่แล้วบทที่ 93: ตัวสร้างสีสันของบ้าน  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 95 ใครเล่นจนร้องไห้คนนั้นต้องรับผิดชอบปลอบ

บทที่ 94: 益母草(อี้มู่เฉ่า)โกฐหัวบัว


ตอนที่เพิ่งกลับมาใหม่ ๆ นั้น หลัวอี้หางก็ได้ถามหลัวเฉิงเกี่ยวกับทุ่งหญ้าหลังบ้านว่า สามารถปลูกอะไรได้ไหม

หลัวเฉิงก็ไปถามฝ่ายดูแลพืชพรรณมา พวกเขาบอกว่าพื้นที่นั้นมีความชันเกินกว่า 25 องศา ไม่สามารถเปิดเป็นที่นาได้ เพราะกลัวว่าน้ำและดินจะไหลลง

แต่ถ้าจะหว่านเมล็ดดอกไม้ก็ทำได้

ตอนนี้ทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยหญ้าป่าและดอกไม้ป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มันไม่ได้ขึ้นแน่นมากนัก มีแค่ประปรายเท่านั้น

แน่นอนว่าพืชที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ความหนาแน่นของมันย่อมไม่เทียบเท่ากับพืชที่ปลูกโดยมนุษย์

ดังนั้น หลัวอี้หางก็คิดมาตลอดว่าจะหว่านเมล็ดอะไรบางอย่างในพื้นที่นั้นดี

ควรจะเป็นเมล็ดที่มีอัตราการงอกสูง ขึ้นได้แน่น โตเร็ว ไม่ต้องการปุ๋ยหรือสภาพอากาศดีมากนัก ทนต่อแมลงศัตรูพืช มีอายุการเจริญเติบโตนาน และถ้ามีประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือดูสวยงามก็จะยิ่งดี

หลัวอี้หางค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ก็พบว่ามีเมล็ดพืชที่ตรงตามคุณสมบัติเหล่านี้ไม่กี่ชนิด

หลังจากจดจำชนิดพืชที่เหมาะสมได้แล้ว เขาก็ไปหาดูที่คลังสินค้าของเฉียงหวา เพราะที่นั่นก็มีขายเมล็ดพันธุ์

เดิมทีเขาตั้งใจจะหาซื้อเมล็ดดอกเก๋อซาง (格桑花) แต่ก็ไม่มี มีแต่เมล็ดอี้มู่เฉ่า (益母草)

ก็ดีเหมือนกัน เมล็ดอี้มู่เฉ่านี้ก็ตรงตามคุณสมบัติที่เขาต้องการ อีกทั้งดอกของมันยังสามารถนำมาเลี้ยงผึ้งเพื่อเก็บน้ำผึ้งได้ และเมล็ดก็ราคาถูก เพียงแค่ 25 หยวนต่อหนึ่งชั่ง (500 กรัม)

ที่คลังสินค้ามีอยู่ 20 ชั่ง หลัวอี้หางก็เลยซื้อทั้งหมด นำกลับมาเก็บไว้ในห้องเก็บของที่บ้าน และยังไม่ได้มีโอกาสหว่าน

แต่ตอนนี้ก็เหมาะเจาะที่จะใช้มันเพื่อล่อใจเด็กน้อย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน

หลัวอี้หางก็พาหลัวฉีไปล้างมือ ล้างหน้า

ส่วนกระโปรงที่เปียกน้ำ...ปล่อยมันไปก่อน เพราะมันก็เกือบจะแห้งแล้ว ทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน

ทรงผมที่ยุ่งเหยิง...หลัวอี้หางพยายามจะจัดใหม่ดู แต่ก็ทำไม่ได้ดีนัก เลยตัดสินใจแกะออก แล้วหวีให้เรียบ จากนั้นก็มัดเป็นหางม้าสูง

เขามองดูแล้วก็คิดว่ามันดูดีอยู่ ฝีมือการมัดผมที่เคยฝึกกับแฟนสาวยังไม่หายไปไหน

หลังจากจัดการเรื่องทรงผมเสร็จแล้ว เขาก็พาหลัวฉีไปดูตัวเองในกระจก เด็กน้อยสะบัดหางม้าซ้ายทีขวาที แล้วหมุนตัวไปมาหลายรอบ แต่ท่าทางจะยังไม่พอใจนัก

จากนั้นเธอก็วิ่งดุ๊กดิ๊กกลับไปที่ห้อง ก่อนจะกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับชุดกางเกงยีนส์เอี๊ยมและเสื้อเชิ้ตตัวเล็ก ๆ ที่เธอใส่ตอนเช้า และยังติดกิ๊บคู่เล็ก ๆ บนหัวอีกสองอัน

เมื่อกลับมาส่องกระจกอีกครั้ง คราวนี้เธอดูพอใจแล้ว

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแม่ของเธอถึงบอกว่าเธอชอบแต่งตัวสวย

การจับคู่ชุดของเธอก็ยังดูเท่ด้วย

เมื่อเตรียมตัวเสร็จ หลัวฉีก็ดึงชายเสื้อของหลัวอี้หาง พลางส่งเสียงอ้อนว่า “พี่อี้หาง พวกเราจะไปปลูกดอกไม้กันเมื่อไหร่ล่ะ…”

“ไปเดี๋ยวนี้แหละ...” หลัวอี้หางเลียนแบบน้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กน้อย แต่ก็โดนหลัวฉีส่งเสียงฮึดฮัดใส่

แล้วหลัวอี้หางก็จูงเธอออกไปที่ลานบ้าน บอกให้หลัวฉีรออยู่ก่อน ส่วนเขาก็ไปที่ห้องเก็บของเพื่อหากระสอบที่ใส่เมล็ดอี้มู่เฉ่า

เมล็ดดอกไม้มีน้ำหนักเพียง 20 ชั่ง ไม่มากนัก เขาก็เลยใส่ไว้ในกระสอบอาหารสัตว์อย่างง่าย ๆ

เมื่อหลัวฉีเห็นก็ก้มลงไปดูด้วยความสงสัย

“อ๊ะ หน้าตามันเป็นแบบนี้เหรอ” เด็กน้อยดูผิดหวังเล็กน้อย

เมล็ดพืชก็ใช่ว่าจะสวยอะไรนัก เมล็ดอี้มู่เฉ่านั้นมีสีน้ำตาลดำ มีเหลี่ยมมุม ไม่มีความแวววาว และดูเหมือนทราย สีออกทึบ ๆ ไม่น่ามองสักเท่าไหร่

“นี่คือเมล็ดพืชนะจ๊ะ พอเมล็ดพืชนี้งอกแล้วมันจะออกดอกที่สวยงามนะ” หลัวอี้หางพูดยิ้ม ๆ อธิบายให้เด็กน้อยฟัง แต่เมื่อมองดวงตากลมโตของหลัวฉี เขาก็รู้ว่าเธอยังไม่ค่อยเข้าใจ

“หลัวฉีบอกว่าเคยปลูกดอกทานตะวันใช่ไหม? ดอกทานตะวันใช้เมล็ดอะไรปลูกเหรอ?”

“ใช้เมล็ดแตงโม” (คำว่าเมล็ดทานตะวันในภาษาจีนเรียกว่า 瓜子 "กวาจื่อ" ซึ่งแปลว่าเมล็ดแตงโม)

“ใช่แล้วล่ะ เมล็ดแตงโมก็คือเมล็ดของดอกทานตะวันใช่ไหม แล้วดอกทานตะวันเมื่อโตขึ้นก็ไม่เหมือนกับเมล็ดแตงโมเลยใช่ไหมล่ะ”

“อ๋อ เข้าใจแล้ว! หว่านเมล็ด งอก โต และออกดอก” หลัวฉีเข้าใจแล้ว กระโดดโลดเต้นไปมา “หนูอยากปลูก หนูอยากปลูก!”

เธอพูดพร้อมกับพยายามยกกระสอบเมล็ดขึ้น แต่ก็ยกไม่ขึ้น

“ยกไม่ไหว”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปหาตะกร้าเล็ก ๆ มาให้นะ” หลัวอี้หางนึกขึ้นได้ว่าในห้องของแม่เขามีตะกร้าเล็ก ๆ ใบหนึ่ง ซึ่งน่าจะได้มาตอนซื้อสตรอเบอร์รี่หรือเชอร์รี่ มันดูน่ารักทีเดียว

เมื่อหาเจอแล้ว เขาก็เอากระดาษทิชชูรองที่ก้นตะกร้า แล้วคว้าเมล็ดพืชมาใส่ไปหลายกำมือ

ตะกร้านี้เหมาะกับหลัวฉีมาก

ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป ก็เจอเข้ากับจางกุ้ยฉินและหลินเจีย พวกเธอรู้สึกเบื่อหน่ายบนพื้นที่สูง เพราะมองไปเห็นแต่รถไถสองคันทำงานตลอดเวลา พวกผู้ชายดูเหมือนจะสนุกกันมาก

พวกเธอเลยตัดสินใจกลับมา

เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังจะไปปลูกดอกไม้ พวกเธอก็อยากจะไปด้วย

พวกเขาออกจากบ้านของหลัวอี้หาง และเดินตามทางใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นเป็นระยะทางสั้น ๆ เมื่อพ้นจากพื้นที่นาขั้นบันได

ทั้งสองข้างทางคือทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สองผืนซึ่งแผ่ขยายออกไป ปกคลุมทิศทางลาดเขาทั้งสองด้าน และทอดตัวขึ้นไปจนหายลับเข้าไปในป่าที่ล้อมรอบภูเขา

ฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบานเต็มที่ ทุ่งหญ้าเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว และดอกไม้ป่าหลากหลายชนิดที่กำ

ลังบานสะพรั่ง จากระยะไกลมองดูเหมือนผ้าห่มดอกไม้

ตอนบ่ายพวกคุณปู่ทั้งหลายก็มาช่วยกันทำมงกุฎดอกไม้ให้หลัวฉีจากที่นี่ มงกุฎดอกไม้ที่ตอนนี้ยังอยู่บนคอของหลัวเซียง

แต่ทุ่งหญ้านี้แค่ดูจากระยะไกลก็สวยดี แต่พอเข้าไปใกล้จะเห็นได้ชัดว่าหญ้าขึ้นรก บางแห่งแน่น บางแห่งเบาบาง และบางแห่งยังมีพื้นดินโผล่ออกมาให้เห็น

เพราะไม่มีใครดูแล ปล่อยให้มันเติบโตไปตามธรรมชาติ มันจึงเติบโตอย่างไร้ระเบียบ

หลัวอี้หางตั้งใจที่จะใช้เมล็ดอี้มู่เฉ่ามาปลูกเพื่อเติมเต็มบริเวณที่ว่างเปล่าเหล่านั้น

หากจะทำเป็นธุรกิจจริง ๆ และปลูกอี้มู่เฉ่าในพื้นที่นา มันค่อนข้างจะยุ่งยาก ต้องเตรียมเมล็ด ต้องคลุมดิน และต้องบ่มเพาะเมล็ด ตอนนี้อาจจะช้าไปสักหน่อย

แต่หลัวอี้หางก็ไม่ได้หวังว่าจะได้ผลผลิตอะไรมากมาย แค่หว่านเมล็ดลงไปในดินก็พอ แล้วปล่อยให้มันเติบโตด้วยตัวมันเอง

แม้ว่าบริเวณทุ่งหญ้านี้จะไม่ได้จัดวางอุปกรณ์บ่มเพาะพลังวิญญาณไว้ แต่เมล็ดเหล่านี้ที่เก็บไว้ในบ้านมาหลายวัน ก็น่าจะได้รับการชำระพลังบางส่วนแล้ว

“ดูดี ๆ นะ” หลัวอี้หางหยิบเมล็ดพืชจำนวนหนึ่งจากกระสอบ วางฝ่ามือคว่ำลงบนพื้นที่ดินที่ว่างอยู่ และค่อย ๆ คลายมือออกเล็กน้อย พลางเอนฝ่ามือเล็กน้อยแล้วเขย่าเบา ๆ

เมล็ดอี้มู่เฉ่าก็หลุดออกจากซอกนิ้ว ลอยลงไปบนพื้นดินอย่างช้า ๆ

อาจจะไม่ได้ดูสวยงามมากนัก แต่ความเร็วในการหว่านนั้นเร็วมากจริง ๆ

เมล็ดพืชหนึ่งกำมือก็หว่านไปทั่วพื้นที่สองสามตารางเมตรในพริบตา

“เราจะหว่านเมล็ดแบบนี้ เมล็ดพืชตกลงบนดิน แล้วโดนลมพัด โดนน้ำฝน มันก็จะค่อย ๆ งอก เจริญเติบโต และเมื่อโตเต็มที่จะออกดอกที่สวยงาม เห็นไหมว่านี่มันน่าทึ่งมาก”

หลัวฉีพยักหน้าอย่างขอไปที เพราะความสนใจของเธอถูกดึงไปที่อื่นแล้ว

เธอดึงแขนเสื้อของหลัวอี้หาง ให้เขาช่วยหาแปลงที่เธอจะสามารถหว่านเมล็ดได้บ้าง

“ตรงนี้แหละ หลัวฉีดูดี ๆ นะ พื้นที่ว่างแบบนี้แหละที่เราจะปลูกดอกไม้ ส่วนพื้นที่ที่มีหญ้าหรือดอกไม้อื่นขึ้นอยู่แล้ว นั่นคือบ้านของหญ้าหรือดอกไม้อื่น ๆ เราไม่ควรแย่งบ้านคนอื่นนะ”

ที่ต้องบอกแบบนี้ก็เพราะเมล็ดพันธุ์มีจำนวนจำกัด

หลัวฉีพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน แล้วเธอก็เอาตะกร้าเล็ก ๆ ของเธอคล้องแขน แล้ววิ่งไปยังแปลงดินว่างเปล่าที่เธอเลือกไว้ตั้งแต่แรก

เธอเลียนแบบหลัวอี้หาง หยิบเมล็ดพืชจากตะกร้าแล้วหว่านเบา ๆ ลงบนดิน

แชะ

หลินเจียที่อยู่ข้างหลังหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปฉากนี้ และรีบโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียของเธอ

แชะ

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

หลัวอี้หางหันไปดู เห็นว่าแม่ของเขากำลังถ่ายรูปตัวเขาอยู่

หลังถ่ายเสร็จเธอก็ถามหลินเจียว่าจะแชร์ลงในโซเชียลมีเดียได้อย่างไร

“ลูกอี้หางของเราเก่งมากในการดูแลเด็ก เมื่อเขามีลูกของตัวเองนะ เขาต้องเลี้ยงดูได้ดีแน่ ๆ”

“โอ๊ย ยังไม่ได้แต่งงานเลย มีลูกยังอีกไกลอยู่ ไม่มีวี่แววอะไรเลย”

จางกุ้ยฉินพูดปัดว่าไม่มีวี่แวว แต่ในใจกลับวาดฝันภาพอนาคต

แล้วเธอก็ถ่ายรูปส่งไปให้ติงรุ่ยทันที

(ผู้เขียนขออ้อนหน่อย ไม่ได้ขอคะแนนมาหลายวันแล้วนะครับ คุณผู้อ่านที่น่ารัก ขอคะแนนสักนิดได้ไหม)

(คะแนนโหวตที่คุณไม่ต้องการ คะแนนแนะนำก็ได้ ผมรับหมด)

(และอย่าลืมนะครับ กดติดตามด้วยนะ ขอบคุณมาก)

###

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด