บทที่ 6 การค้นพบสมบัติ
หลังจากที่ฟางเสิ่นผ่านการขจัดมลทินในร่างกาย ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าจากเดิม
ตอนนี้เขาเข้าสู่ขั้นแรกของผู้ฝึกตนสายดินแล้ว ซึ่งก็คือ “ระดับสร้างแผ่นดิน” ระดับนี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของวิชาผู้ฝึกตนสายดิน มีทั้งหมด 9 ขั้น ตอนนี้ฟางเสิ่นอยู่ที่ ขั้นที่ 1 ของระดับสร้างแผ่นดิน
เมื่อแผ่นดินประจำตัวได้ถูกบ่มเพาะจนสำเร็จแล้ว มันจะค่อยๆ ขยายตัวออกไปโดยรอบ ทำให้พลังของผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อบ่มเพาะจนถึงขีดสุดแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นต่อไป
ความทรงจำเกี่ยวกับวิชาผู้ฝึกตนสายดินผุดขึ้นมาในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางเสิ่นก็พูดออกมาเบาๆ
“เปิดดวงตาสวรรค์” เขาชี้นิ้วขึ้นแล้วแตะไปที่กลางหน้าผากของตนเอง จากนั้นความรู้สึกเวียนศีรษะก็เกิดขึ้นทันที พอกลับมามีสติเขาก็พบว่าโลกตรงหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ทุกสิ่งรอบตัวกลับมืดลงและพร่ามัว มีเพียงพื้นที่ห่างจากเขาไปหลายกิโลเมตรที่ส่องแสงสว่างขึ้นมา เขามองไปในทิศทางนั้น ตรงนั้นคือเกาะที่เขาปล่อยเมล็ดพลังลงไปเมื่อสามวันก่อน ทะเลสาบเล็กๆ บนเกาะนั้นส่องแสงสีขาวเรืองรองออกมาครอบคลุมพื้นที่ประมาณสิบเมตรรอบๆ ทะเลสาบ และพื้นที่ใต้ดินลึกลงไปอีกสิบเมตรก็มีแสงสีขาวเช่นกัน
ฟางเสิ่นเข้าใจทันที นั่นคือ แผ่นดินประจำตัว ของเขาเอง พื้นที่ที่ถูกแสงสีขาวปกคลุมคือขนาดของแผ่นดินประจำตัวในขณะนี้ ความรู้สึกเชื่อมโยงราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อทำให้เขารับรู้ถึงทุกอณูของผืนดินนั้นได้อย่างชัดเจน
“อืม?” ภายในแผ่นดินประจำตัว ดินและก้อนหินทั้งหมดโปร่งใส ทว่ากลับมีวัตถุเล็กๆ สองชิ้นที่เปล่งแสงสีเทาและดำอ่อนๆ ออกมา ดูแปลกแยกจากสิ่งรอบข้างอย่างสิ้นเชิง
“โชคดีขนาดนี้เลยเหรอ? เจอวัตถุธรรมชาติหายากเข้าแล้ว!” ฟางเสิ่นรู้สึกยินดีอย่างมาก
“ดวงตาสวรรค์” เป็นความสามารถพื้นฐานของผู้ฝึกตนสายดิน เมื่อเข้าสู่การฝึกตนอย่างเต็มตัวแล้วก็สามารถเปิดใช้ได้ มันช่วยให้ผู้ฝึกมองเห็นสิ่งต่างๆ ในมุมมองพิเศษ ตอนเปิดใช้ครั้งแรก ความสามารถจะยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่เมื่อระดับพลังเพิ่มขึ้น ความสามารถของมันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ตอนแรกฟางเสิ่นแค่อยากลองใช้เพื่อทำความคุ้นเคยเท่านั้น แต่กลับพบวัตถุธรรมชาติหายากโดยไม่คาดคิด
แสงสีเทาคือวัตถุธรรมชาติหายากระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุด ส่วนแสงสีดำเป็นระดับ 2 ซึ่งสูงกว่าสีเทาอยู่พอสมควร
ถึงจะเป็นระดับต่ำสุด แต่นั่นก็ยังเป็นวัตถุธรรมชาติหายาก ซึ่งเป็นผลึกพลังจากสวรรค์และโลก จึงไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
“ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีจริงๆ” แม้แต่ในโลกต่างมิติ การค้นหาวัตถุธรรมชาติหายากก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฟางเสิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีที่ตนเป็นผู้ฝึกตนสายดินคนแรกของโลก ไม่มีใครมาแย่งชิง นี่คือข้อดีของการไม่มีคู่แข่ง
เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ฟางเสิ่นก็รีบออกเดินทางไปยังเกาะที่เขาสร้างแผ่นดินประจำตัวเอาไว้ โดยไม่ต้องลงมือขุดเอง วัตถุธรรมชาติหายากทั้งสองชิ้นก็ถูกแผ่นดินประจำตัวผลักดันออกมา นี่เป็นเพราะพลังของฟางเสิ่นยังอยู่ในระดับต่ำ หากแผ่นดินประจำตัวขยายไปอีกสักระยะ และเขาก้าวเข้าสู่ระดับพลังที่สูงขึ้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองอีก แค่สั่งจากที่ไหนก็สามารถดึงวัตถุออกมาได้แล้ว
วัตถุธรรมชาติหายากสองชิ้นนี้ ชิ้นที่มีแสงสีเทาเป็นก้อนหินดำขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนชิ้นที่มีแสงสีดำคือหยกใสที่มีเนื้อโปร่งแสง เห็นเป็นหยดน้ำสีเขียวข้างใน แฝงด้วยพลังชีวิตอันสมบูรณ์
เมื่อเห็นหยกใสชิ้นนั้น ฟางเสิ่นก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขาสามารถใช้ดวงตาสวรรค์วิเคราะห์มันได้ สิ่งนี้มีชื่อว่า “หยกกักเก็บไขกระดูก” ตัวหยกด้านนอกไม่มีค่าอะไร แต่ของล้ำค่าอยู่ที่หยดน้ำสีเขียวด้านใน สามารถนำไปใช้ฝึกตนได้ หรือใช้เป็นยาเพื่อรักษาคนก็ได้อย่างดีเยี่ยม หากใช้เป็นยารักษาก็จะมีประสิทธิภาพมาก แม้จะไม่ได้ถึงขั้นฟื้นกระดูกและชุบชีวิตคนตาย แต่ก็สามารถช่วยยืดอายุได้ ไม่ว่าจะมองยังไง หยดน้ำสีเขียวเล็กๆ นั้นก็สามารถยืดอายุคนได้ถึงสามปี สำหรับผู้สูงวัยที่ใกล้จะสิ้นอายุขัย ไม่มีอะไรจะมีค่ามากไปกว่าชีวิตอีกแล้ว
ส่วนก้อนหินสีดำเรียกว่า “หินตรึงวิญญาณ” มันมีประโยชน์ต่อวิญญาณของมนุษย์มาก แต่ไม่ได้ช่วยในการฝึกตน ฟางเสิ่นตัดสินใจทันทีว่าจะนำมันไปลงขายบนเว็บไซต์ของตน ส่วนหยกกักเก็บไขกระดูกนั้นมีมูลค่าสูงมาก ไม่ว่าจะใช้ฝึกตนเองหรือขายออกไป หากต้องการขายให้ได้มูลค่าสูงสุด เว็บไซต์อาจไม่ใช่ช่องทางที่ดี ฟางเสิ่นจึงต้องคิดให้รอบคอบอีกที
ตอนบ่าย คณะทัวร์ทั้งหมดขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางกลับ
รถเคลื่อนไปอย่างราบรื่น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เริ่มงีบหลับจากความเหนื่อยล้าหลังจากเที่ยวสนุกกันมาเต็มที่ตลอดห้าวัน ฟางเสิ่นเองก็รู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้คุ้มค่า เขาจึงนั่งหลับตาพักผ่อนบนที่นั่งของตนเอง
เดินทางมาได้ครึ่งทาง จู่ๆ รถบัสก็หยุดกะทันหัน ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนสะดุ้งตื่น ฟางเสิ่นมองออกไปเห็นว่ามีรถตู้คันหนึ่งจอดขวางถนนอยู่ข้างหน้า
คนขับรถสบถออกมาแล้วเดินลงไปดูสถานการณ์ อีกด้านหนึ่งซูไกด์ก็ลงจากรถตามไปด้วย สีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่กำลังจะเข้าไปเจรจา ประตูรถตู้ก็ถูกเปิดออกอย่างแรง ชายฉกรรจ์ท่าทางน่ากลัวหลายคนพุ่งลงมาจากรถทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หนึ่งในนั้นฟาดไม้กระบองเข้าไปที่ศีรษะของคนขับอย่างรุนแรงจนเลือดไหลอาบและเขาล้มลงไปกับพื้น คนอื่นๆ ในกลุ่มต่างถือเหล็กแท่งและมีดแหลม บุกเข้าไปยังรถบัสอย่างดุดัน
“ปล้น! ช่วยด้วย~” ซูไกด์กรีดร้องขึ้นมา แต่ก็ถูกชายคนหนึ่งฟาดฝ่ามือลงที่ใบหน้า แก้มข้างนั้นบวมขึ้นมาทันที
“หยุดพูดมาก! พวกกูต้องการแค่เงิน ใครที่อยากมีชีวิตรอดก็รีบเอาเงินกับของมีค่าทั้งหมดออกมาเดี๋ยวนี้!” ชายคนหนึ่งที่ตัดผมทรงสไปก์กับชายรอยสักรูปมังกรพุ่งขึ้นมาบนรถบัส เขาแกว่งมีดแหลมในมือขู่ทุกคนอย่างดุดัน
“เร็วเข้า อย่ามัวลีลาอยู่ได้ เอาของมาให้กูเดี๋ยวนี้!” ชายทรงสไปก์ตวาดเสียงดัง พลางคว้ากระเป๋าสตางค์ของชายร่างท้วมที่นั่งอยู่แถวหน้ามาด้วยท่าทีหยาบคาย แล้วถ่มน้ำลายใส่กระเป๋าสตางค์อย่างไม่สนใจ
คนอื่นๆ ในรถต่างพากันตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว รีบล้วงเงินและของมีค่าออกมามอบให้ หากใครช้าหรือท่าทางขัดขืน ชายทรงสไปก์ก็ไม่ลังเลที่จะเตะต่อยด้วยความโหดเหี้ยมทันที
ดวงตาของฟางเสิ่นเย็นเยียบ เมื่อชายทรงสไปก์เดินมาถึงที่นั่งของเขา ฟางเสิ่นก็ยื่นมือออกไปบีบคอของมันอย่างรวดเร็ว จากนั้นกดมันลงไปกระแทกกับพื้นทางเดินอย่างแรง
“โครม~”
รถบัสสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เลือดไหลออกมาจากจมูกและปากของชายทรงสไปก์ ซี่โครงของมันหักไปหลายซี่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง นักท่องเที่ยวที่เตรียมใจยอมเสียทรัพย์สินเพื่อให้เรื่องจบไปต่างพากันอ้าปากค้าง
สภาพอันน่าสยดสยองของชายทรงสไปก์ทำให้ชายรอยสักมังกรตกใจจนแทบพูดไม่ออก มันพยายามจะคว้าตัวคนใกล้ๆ มาเป็นตัวประกัน แต่ยังไม่ทันได้ขยับตัว ฟางเสิ่นก็พุ่งเข้าไปหามันราวกับสายลม แขนของมันเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีจากการที่ฟางเสิ่นใช้มือฟันใส่จนกระดูกหัก จากนั้นฟางเสิ่นต่อยเข้าที่ท้องอย่างจัง ร่างของมันลอยขึ้นไปกระแทกกับหน้าต่างจนกระจกแตกร้าวเป็นใยแมงมุม
“เฮ้ย! พวกมึงทำอะไรกันน่ะ ไอ้สไปก์ ไอ้เสือ!?” ความผิดปกติบนรถบัสทำให้ชายอีกสองคนที่อยู่ด้านนอกหันมามอง พวกมันไม่ได้ขึ้นรถ แต่ยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ซูไกด์และคนขับรถ พร้อมกับมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง
เมื่อพวกมันเดินเข้ามาใกล้และมองเห็นสภาพของเพื่อนร่วมแก๊ง ฟางเสิ่นก็ออกจากรถบัสแล้ว เขาเหยียบพื้นอย่างแรงจนร่างพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับกระสุนปืน ร่างของชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างซูไกด์ก็ลอยกระเด็นออกไปเหมือนถูกปืนใหญ่ยิงใส่ กระดูกหักไปหลายส่วน ชายคนสุดท้ายเห็นสถานการณ์แล้วก็พยายามหนี แต่ฟางเสิ่นก้าวไม่กี่ก้าวก็ตามทัน เขาเตะใส่ชายคนนั้นอย่างแรงจนร่างมันลอยไปปะทะกับต้นไม้แล้วร่วงลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
“คุณฟาง คุณ…” ซูไกด์ลูบใบหน้าที่บวมเป่ง ราวกับความเจ็บปวดได้หายไป เธอยืนมองฟางเสิ่นด้วยความตะลึงงัน
“ผมขอตัวก่อน เรื่องที่เหลือฝากคุณจัดการด้วยแล้วกัน” ฟางเสิ่นพูดจบก็ไม่ได้กลับไปที่รถบัส แต่ขึ้นไปในรถตู้ของพวกโจรแทน เขาสตาร์ทรถแล้วขับออกไปทันที
ถึงแม้สิ่งที่เขาทำจะถือว่าเป็นการป้องกันตัวและช่วยเหลือคนอื่น แต่เขาก็ลงมือรุนแรงไปหน่อย แม้จะไม่มีความผิดอะไร แต่ฟางเสิ่นก็ไม่อยากเสียเวลาไปที่สถานีตำรวจท้องถิ่น ยิ่งถ้าพวกเขาไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ข้ามพื้นที่ได้ เขาก็อาจต้องยุ่งยากไม่จบสิ้น ดังนั้นจึงเลือกที่จะจากไปเงียบๆ จะดีกว่า
บนรถบัส นักท่องเที่ยวทุกคนยังยืนนิ่งอึ้ง พอเห็นฟางเสิ่นขับรถจากไปก็ได้สติกลับคืนมา ต่างพากันพูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างออกรส และนักท่องเที่ยวบางคนที่ได้รับนามบัตรของฟางเสิ่นก็ล้วงมันออกมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อโดยไม่รู้ตัว ความรู้สึกภายในใจที่เคยว้าวุ่นก็กลับมาสงบลงอย่างประหลาด
จบบท