บทที่ 46: แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
“จวินฝานคารวะไทเฮา”
มู่จวินฝานโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อสตรีตรงหน้า “ตอบไทเฮา ชิงเยว่คือนางกำนัลส่วนพระองค์ของไทเฮา นางเป็นตัวแทนของไทเฮาและตำหนักฉือซิ่ง”
“แต่ในตอนที่กระหม่อมกับองค์หญิงหกมาถึงที่นี่ นางกลับแสดงท่าทีหยาบคาย การกระทำเช่นนี้มันไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงของตำหนักฉือซิ่งหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่น ความจริงแล้วที่กระหม่อมทำไปก็เพื่อชื่อเสียงของไทเฮาและตำหนักฉือซิ่งเท่านั้น”
เสียงของเด็กหนุ่มนั้นฟังดูสดใสและไพเราะ แต่คำพูดของเขากลับเฉียบคมแฝงไปด้วยพลัง
คำพูดเหล่านั้นไม่กี่ประโยคของมู่จวินฝานทำให้ไทเฮาไร้ข้อโต้แย้ง พระนางจึงทำได้เพียงเฝ้าดูเงียบ ๆ ขณะที่คนของอีกฝ่ายยังคงลงโทษชิงเยว่ต่อไป
ยามนี้เสียงตบและเสียงร้องดังก้องไปทั่วตำหนัก ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ พระพักตร์ของไทเฮาก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในทางกลับกัน มู่จวินฝานดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นสิ่งใดเลย เขากวักมือเรียกมู่ไป๋ไป่พลางกล่าวว่า “เจ้ามานี่สิ เจ้ามาที่นี่เพื่อคารวะไทเฮาไม่ใช่หรือ?”
พวกเขาทั้ง 2 จำต้องมีเหตุผลที่ต้องบุกเข้ามาในตำหนักฉือซิ่งเช่นนี้
มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นปาดดวงตาที่แดงก่ำของตัวเอง เธอกัดริมฝีปากระงับความโกรธแล้วพยักหน้า
จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปหามู่จวินฝานโดยทำตามที่เขาบอกอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะโค้งคำนับให้กับไทเฮา
“หม่อมฉันคารวะไทเฮาเพคะ”
เนื่องจากไทเฮาโกรธแค้นจากการถูกองค์รัชทายาทตำหนิ พระนางจึงไม่สามารถปั้นพระพักตร์ทำดีต่อหน้ามู่ไป๋ไป่ได้อีก
ดังนั้นพระนางจึงแค่นเสียงในลำคอก่อนจะหันหน้าหนีไปไม่มองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
หลังจากที่ชิงเยว่ถูกตบสั่งสอนถึงร้อยครั้งแล้ว นางก็ถูกองครักษ์ลากเข้ามาหาทุกคนช้า ๆ
มู่จวินฝานที่เห็นดังนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “จวินฝานกับไป๋ไป่ไม่ขอรบกวนไทเฮาอีก หากมีโอกาสพวกกระหม่อมจะมาคารวะไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮารู้สึกเพียงว่าถ้อยคำของรัชทายาทนั้นมีความหมายแฝง “...”
“ในเมื่อเสด็จแม่ของหม่อมฉันคารวะไทเฮาเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็กลับพร้อมกันเถิดเพคะ”
มู่ไป๋ไป่ถือโอกาสนี้พูดขึ้นมา มีหรือไทเฮาที่อยู่ในวังหลังมานานจะไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
พระนางจึงส่งเสียงเยาะเย้ยในลำคอ
ในเมื่อตนไม่สามารถทำอะไรกับองค์รัชทายาทได้ แล้วพระนางจะจัดการกับพระสนมผู้นี้ได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พระนางจะปฏิเสธ มู่จวินฝานก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“เนื่องจากกระหม่อมได้รับบัญชาจากเสด็จพ่อให้รับส่งมู่ไป๋ไป่กลับตำหนักอิ๋งชุนทุกวัน ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่อาจขัดเสด็จพ่อได้”
ต่อมา เด็กหนุ่มโบกมือให้คนของเขาเข้าไปช่วยพยุงหว่านผินลุกขึ้น “ในเมื่อเราจะออกเดินทางแล้ว หว่านผิน ท่านร่วมทางไปกับเราเลยดีหรือไม่?”
ในเมื่อเด็กทั้ง 2 มาที่นี่เพื่อช่วยนางโดยเฉพาะ มีหรือซูหว่านจะปล่อยโอกาสนี้ไป นางจึงพยักหน้าเบา ๆ และขอบคุณมู่จวินฝานเงียบ ๆ
“...” เมื่อองค์รัชทายาทเป็นคนออกหน้าเอง ไทเฮาจึงไม่อาจพูดอะไรได้อีก
ช่างสมกับเป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เขามาที่นี่เพื่อมาเอาคนไปจากมือของพระนางอย่างไม่เกรงกลัว
คงมีทางเดียวคือพระนางจะต้องตอบตกลง
หลังจากทั้ง 3 คนออกจากตำหนักฉือซิ่งเรียบร้อยแล้ว มู่จวินฝานก็ได้พามู่ไป๋ไป่กับหว่านผินกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุน
นอกจากนี้เขาได้สั่งให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรของซูหว่าน เพื่อให้แน่ใจว่านางเพียงแค่หวาดกลัวไม่ได้รับผลกระทบอย่างอื่น จากนั้นเขาจึงสามารถกลับไปได้อย่างสบายใจ
มู่ไป๋ไป่นั้นตาแดงก่ำตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักฉือซิ่ง เธอคอยยืนอยู่ข้างกายคนเป็นแม่โดยที่คอยวุ่นวายอยู่ไม่ห่าง
“ไทเฮารังแกกันมากเกินไปแล้ว ถ้าตอนเย็นท่านพ่อกลับมา ข้าจะฟ้องท่านพ่อ”
“ไป๋ไป่อย่าได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเลยดีหรือไม่?” หว่านผินยิ้มด้วยใบหน้าซีดเซียวและดึงลูกสาวมากอดไว้ในอ้อมแขนซึ่งทำให้หัวใจของนางอบอุ่นขึ้นมา
“ท่านจะไม่ให้ข้าโกรธได้อย่างไร!” มู่ไป๋ไป่ประท้วง “ครั้งล่าสุดที่เราไปตำหนักฉือซิ่ง ไทเฮาก็รังแกเรา คราวนี้พระนางยังบังคับให้ท่านแม่กินยาอีก”
ยิ่งพูดเด็กหญิงก็ยิ่งรู้สึกโกรธ และคิดว่าไทเฮาเป็นแม่สามีที่ร้ายกาจมาก
“แม่รู้ดีว่าไป๋ไป่เสียใจแทนแม่” ดวงตาของซูหว่านแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจนางกลับรู้สึกเป็นสุข ไป๋ไป่ของนางโตขึ้นแล้วและรู้วิธีที่จะเอาใจใส่แม่ของตัวเอง “แต่เรื่องนี้ ไป๋ไป่ฟังแม่ได้หรือไม่?”
นางเองก็มีความกังวลของตัวเอง
ทั้งคราวก่อนและครั้งนี้ แม้ไทเฮาจะสร้างความลำบากใจให้แก่นาง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังปล่อยให้พวกนางหลุดมือมาได้
ตอนนี้ไทเฮาจะต้องมีความแค้นต่อนางมากแน่
หากไป๋ไป่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องมู่เทียนฉงอีกครั้ง มันจะเป็นการเติมเชื้อไฟลงในกองไฟ นางไม่รู้ว่าไทเฮาจะใช้วิธีอื่นจัดการพวกนางในอนาคตอีกหรือไม่
อย่างน้อยปล่อยให้พระนางได้ระบายความโกรธต่อหน้าบ้าง ดีกว่าสะสมความแค้นแล้วไปทำอะไรลับหลัง
แต่มู่ไป๋ไป่ก็ยังรู้สึกโกรธมากอยู่ดี พอเธอเห็นท่าทางของซูหว่าน เธอก็พูดไม่ออก
เด็กหญิงจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ พลางแอบคิดหาวิธีแก้ปัญหาเรื่องของตำหนักฉือซิ่งอยู่เงียบ ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็ไม่อาจไปช่วยเหลือซูหว่านได้ตลอดเวลา
และพวกเธอก็คงไม่โชคดีเสมอไปที่จะมีมู่เทียนฉงหรือมู่จวินฝานมาช่วยเหลือ
ดังนั้นเธอจะต้องแก้ไขปัญหานี้ด้วยตัวเอง
ในตอนเย็น ยามที่มู่เทียนฉงเสด็จมาที่ตำหนักอิ๋งชุน ซูหว่านก็ยืนรอต้อนรับเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซึ่งในขณะนี้ชายหนุ่มรู้สึกพึงพอใจกับนิสัยอ่อนโยนของหว่านผินมาก
หลังจากร่วมหลับนอนกับนางเมื่อคืนก่อน ท่าทีของเขาที่มีต่อหญิงสาวก็ดีขึ้นมาก และยังสั่งให้คนส่งรางวัลมากมายมายังตำหนักอิ๋งชุน
มู่ไป๋ไป่มองดูท่าทีของพ่อขี้โมโหของเธอ ถ้าเขาไม่ยุ่งเรื่องราชกิจ เขาคงจะรั้งอยู่ในห้องของแม่เธอตลอดทั้งวัน
“เราได้ยินมาว่าไป๋ไป่มีสหายร่วมเรียนแล้วหรือ?” ก่อนที่มู่เทียนฉงจะจากไป เขาก็นึกถึงฎีกาที่อาจารย์เสิ่นถวายให้เขาในวันนี้ เขาจึงเรียกเจ้าตัวเล็กมาใกล้ ๆ “เป็นเด็กจากตระกูลหลัวใช่หรือไม่?”
“ใช่เพคะ!” เด็กหญิงรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงหลัวเซียวเซียว
เธอเล่าสั้น ๆ ว่า เธอกับองค์รัชทายาทช่วยหลัวเซียวเซียวในวันที่นางตกลงไปในทะเลสาบไป่ฮวาได้อย่างไร
แน่นอนว่าเธอได้ขยายความส่วนที่เกี่ยวข้องกับนายน้อยหลัวเพื่อทำให้นางดูสงสารมากยิ่งขึ้น
“โดยสรุปแล้ว แม้ว่าหลัวเซียวเซียวจะเป็นคนของตระกูลหลัว แต่พี่ชายของนางกลับทำเหมือนนางไม่ใช่มนุษย์เลย”
มู่ไป๋ไป่ถกแขนเสื้อพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธว่า “ถ้าไป๋ไป่ไม่ออกหน้าไปช่วย ชีวิตน้อย ๆ ของนางคงต้องเอามาทิ้งในวังหลวงแห่งนี้แล้ว”
“ไป๋ไป่เห็นว่าท่านพี่รัชทายาทมีสหายร่วมเรียนอยู่ข้างกาย ดังนั้นไป๋ไป่จึงคิดว่าไป๋ไป่ก็อาจจะมีสหายร่วมเรียนได้ด้วย…”
พอมู่เทียนฉงได้ยินดังนี้ ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้น
ตอนนี้ใกล้จะถึงวันเกิดของลี่เฟยแล้ว นางเป็นคนประกาศเองว่าจะให้ลูกหลานตระกูลหลัวเข้ามาร่วมฉลองกับนางในวัง ใครจะไปคิดว่าลูกหลานของตระกูลหลัวจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายในวังหลวงแห่งนี้
เดิมทีเขาคิดว่าเด็กที่ชื่อหลัวเซียวเซียวเป็นเพียงสามัญชนธรรมดาที่ไม่มีชาติตระกูลและไม่เหมาะสมที่จะเป็นสหายร่วมเรียนกับลูกสาว แต่ตอนนี้เขาคงต้องเปลี่ยนใจ
มู่ไป๋ไป่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นจนหมดแล้ว เมื่อเธอเห็นมู่เทียนฉงขมวดคิ้วอยู่เงียบ ๆ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย “ท่านพ่อ… ท่านไม่เห็นด้วยหรือเพคะ?”
หากผู้เป็นพ่อไม่เห็นด้วย เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องส่งหลัวเซียวเซียวกลับไปอยู่ในมือนายน้อยตระกูลหลัว และเธอก็ไม่รู้ว่าชีวิตของนางต่อจากนั้นจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง
“ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อสายตาของไป๋ไป่… หลัวเซียวเซียวเป็นคนดีมาก!” เด็กหญิงทำท่าทางกระตือรือร้นเกินจริง “นางฉลาด เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากมีนางเป็นสหายร่วมเรียนกับไป๋ไป่ การเรียนของไป๋ไป่ก็จะก้าวหน้าขึ้นแบบทบทวีแน่นอน”
เดิมทีมู่เทียนฉงอยากจะบอกว่าเขาเห็นด้วย แต่พอเห็นท่าทางน่าสนใจของลูกสาว เขาก็อยากเห็นนางพยายามพูดโน้มน้าวเขาต่ออีก เขาจึงเลือกที่จะแสร้งทำเป็นเงียบ
มู่ไป๋ไป่ไม่เข้าใจเจตนาของคนเป็นพ่อ ดังนั้นเธอจึงขยับตัวโยกไปซ้ายทีขวาทีอย่างเป็นกังวล โดยเลือกทักษะการออดอ้อนที่เคยรู้มาไปเกือบทั้งหมด
พอถึงเวลาที่เธองัดไม้ตายของตัวเองออกมาจนหมดก๊อกแล้ว ในที่สุดมู่เทียนฉงก็พยักหน้าเบา ๆ
“ท่านตกลงแล้ว ยอดไปเลย! ไป๋ไป่รู้ว่าท่านพ่อตามใจไป๋ไป่ที่สุด!” เจ้าตัวเล็กส่งเสียงหัวเราะด้วยความดีใจ
จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปบนตักของพ่อโดยใช้แขนขาสั้น ๆ ของตัวเอง ก่อนจะหอมแก้มเขาฟอดใหญ่
แม้แต่ฮ่องเต้หนุ่มซึ่งสามารถรักษาท่าทางของตัวเองได้ดีก็ยังเสียอาการเล็กน้อย และเหม่อมองคนตัวเล็กอยู่นาน
ในทางกลับกัน ซูหว่านที่อยู่ด้านข้างยกมือขึ้นปิดริมฝีปากพลางหัวเราะเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่ง
หากมองจากระยะไกล ภาพของทั้ง 3 คนดูเหมือนครอบครัวสุขสันต์ที่ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุข