บทที่ 44: ขอเพียงไม่ใช่ลี่เฟย
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่เดินไปถึงประตูห้องโถงด้านหน้า เธอก็เห็นพระสนมที่แต่งตัวสีสันสดใสหลายคนกำลังลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลเข้าไปช่วยพยุง
แล้วเธอก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างพวกนางอยู่เบา ๆ
“ข้าได้ยินมาว่าตะเกียงในตำหนักชิงเหอไม่ดับลงจนกระทั่งกลางดึกเมื่อวานนี้”
พระสนมในชุดสีเหลืองสดใสยกมือขึ้นปิดรอยยิ้มยินดีของตัวเอง
“พอข้านึกถึงภาพที่ลี่เฟยนั่งรออยู่คนเดียวในตำหนักที่ว่างเปล่าเพื่อรอฝ่าบาทเกือบทั้งคืน ข้าก็อยากจะหัวเราะยิ่งนัก”
“ถูกต้อง” พระสนมอีกคนในชุดสีฟ้าครามเห็นด้วย
“ข้าไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย แต่วันนี้พอได้พบหว่านผินแล้ว นางกับลี่เฟยนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว หากข้าเป็นฝ่าบาท ข้าก็อยากจะเลือกหว่านผินมากกว่า”
“เอาเถอะ ขอเพียงไม่ใช่ลี่เฟย ทุกอย่างก็ถือว่าดี”
มู่ไป๋ไป่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาแอบฟังเหล่าสนมพูดคุยหัวเราะกัน
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ตีหัวตัวเองแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่านพี่รัชทายาทแล้ว!”
ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนี้นะ!
ในเมื่อมู่เทียนฉงสามารถเลิกชอบลี่เฟยและไปชอบพระสนมคนอื่นได้ ทำไมเขาถึงพยายามยกท่านพ่อให้คนอื่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของเธอทั้งหน้าตาดีและเป็นคนที่เพียบพร้อมมาก ดังนั้นนางจึงเหมาะสมกับพ่อของเธอมาก
“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?” เจ้าส้มทำหน้าสับสนเมื่อเห็นคนตัวเล็กตีหัวตัวเอง
“เจ้าไม่ไปที่ห้องโถงด้านหน้าแล้วหรือ? รีบหน่อยสิ ข้าอยากลองชิมของว่างที่กองอยู่บนโต๊ะนั้นสักหน่อย พระสนมพวกนั้นไม่มีทางกินมันแน่นอน อันไหนอร่อยคราวหน้าข้าจะได้บอกให้เจ้าเอามาให้กินอีก”
“กิน ๆๆ วัน ๆ เจ้าก็รู้จักแต่จะกิน” มู่ไป๋ไป่เบะปากใส่แมวอ้วน “ตอนนี้องค์หญิงคนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องไปทำ”
“มีอะไรสำคัญไปกว่าการกินอีกอย่างนั้นหรือ?” เจ้าส้มพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าการกินนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก…”
เด็กหญิงไม่สนใจที่แมวตัวโตพูดและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อคิดหาวิธีที่จะทำให้มู่เทียนฉงชอบซูหว่าน
ในตอนค่ำ ฮ่องเต้หนุ่มเสด็จมาที่ตำหนักอิ๋งชุนเพื่อรับประทานอาหารเย็นตามปกติ
หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ มู่ไป๋ไป่ก็รั้งผู้เป็นพ่อที่กำลังจะกลับตำหนักของตัวเองโดยอ้างว่าจะแสดงผลของการร่ำเรียนที่ผ่านมาให้เขาเห็น
“เป็นโอกาสที่หายากจริง ๆ ที่ไป๋ไป่จะเป็นคนเอ่ยปากท่องบทกวีให้เราฟัง”
มู่เทียนฉงดูพึงพอใจขณะฟังเสียงไพเราะของคนตัวเล็กที่ท่องบทกวี 2-3 บท
สมแล้วที่นางเป็นลูกสาวของเขา นางสามารถท่องบทกวียาก ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“อิอิ ไป๋ไป่อยากให้ท่านพ่อมีความสุข” มู่ไป๋ไป่รีบดื่มน้ำเพื่อให้ลำคอที่แห้งผากของตัวเองชุ่มชื้นขึ้น
“ท่านพ่อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมวันนี้ท่านไม่บรรทมที่ตำหนักอิ๋งชุนล่ะเพคะ?”
ซูหว่านที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เหลือบมองลูกสาวด้วยสายตาประหลาดใจ
“เจ้าอยากให้พ่อพักที่นี่อย่างนั้นหรือ?” มู่เทียนฉงเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “หรือมีใครสอนให้เจ้าพูดแบบนี้?”
“ไม่มีใครสอนอะไรไป๋ไป่เลยเพคะ”
มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจ พลางคิดว่าฝ่าบาทก็ยังคงเป็นฝ่าบาท เขาระวังตัวมาก แม้แต่สีหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนไปในตอนที่กล่าวเช่นนั้น
ถัดมา คนตัวเล็กอมลมไว้ในปากทำให้แก้มพอง พร้อมกับแสดงสีหน้าหดหู่
“ไป๋ไป่เพียงได้ยินมาว่าท่านพ่อยุ่งกับราชกิจจนไม่มีเวลาพักผ่อน ตำหนักอิ๋งชุนอยู่ไกลจากตำหนักเย่าเจิ้ง ไป๋ไป่เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องเดินทางกลับไปกลับมา”
“อีกอย่าง ท่านแม่เพิ่งทำกำยานหอมชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายขึ้นมา มันเหมาะกับท่านพ่อมาก ท่านไม่อยากลองดูสักหน่อยหรือเพคะ?”
ขณะที่เด็กหญิงพูด เธอก็ยิ้มและกะพริบตากลมโตปริบ ๆ
“ไป๋ไป่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า…” ในเวลานี้ซูหว่านรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น นางได้ทำกำยานหอมขึ้นมาจริง ๆ และคิดเอาไว้ว่าจะนำมาถวายให้กับมู่เทียนฉงในภายหลัง
แต่นางไม่คาดคิดว่าเจ้าตัวเล็กจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในเวลานี้
“แน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าไป๋ไป่ฉลาด” มู่ไป๋ไป่เชิดคางกลม ๆ ขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดสายตาของไป๋ไป่ไปได้หรอก”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่” มู่เทียนฉงรู้สึกขบขันกับท่าทางของลูกสาว
จากนั้นดวงตาของเขาก็เหลือบไปมองหว่านผินที่ดูงดงามด้านข้าง ทันใดนั้นใจของเขาก็สั่นไหว “สิ่งที่ไป๋ไป่พูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
“ทูลฝ่าบาท เป็นเรื่องจริงเพคะ” หญิงสาวย่อกายลงตอบ
“ฝ่าบาทมีราชกิจรัดตัวหนักหนา หม่อมฉันไม่อาจช่วยเหลือพระองค์ได้ หม่อมฉันทำเป็นเพียงแค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
ในขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ได้แอบสั่งให้นางกำนัลในตำหนักดับเทียนบางส่วนลง ทำให้ภายในห้องมีแสงสลัว และกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ก็ถูกลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง
ตอนนี้แสงพร้อม บรรยากาศเป็นใจ เพียงแค่นี้ทุกอย่างก็ลงตัว
มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าหากมู่เทียนฉงยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านอีก แสดงว่าเขาต้องไม่ใช่ผู้ชายแท้ ๆ แน่
“ถ้าอย่างนั้น เราจะพักที่นี่ต่ออีกสักคืน” มู่เทียนฉงมีสีหน้าอ่อนลงและมองซูหว่านด้วยสายตาอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย
สายตาที่เร่าร้อนของชายหนุ่มนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน มันทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนขึ้น
นางจึงรีบลดสายตาลงอย่างเขินอาย “หม่อมฉันจะส่งคนให้ไปจัดเตรียมให้เพคะ…” หว่านผินลองพูดหยั่งเชิง
“อืม” มู่เทียนฉงพยักหน้าเป็นการตอบตกลงให้นางนอนกับเขา
แล้วมู่ไป๋ไป่ก็ปิดปากก่อนจะรีบหลบฉากออกไปจากห้องเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าเสียงกรี๊ดด้วยความตื่นเต้นของเธอจะไปทำลายบรรยากาศนั้นลง
จากนั้นนางกำนัลและขันทีก็เดินเข้าออกกันให้วุ่น พวกเขาใช้เวลาตระเตรียมอยู่นานกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี
…
วันรุ่งขึ้น
จนกระทั่งมู่ไป๋ไป่ออกเดินทางไปยังศาลาหมิงหลี่ มู่เทียนฉงกับซูหว่านก็ยังไม่ออกมาจากห้อง
แล้วเธอก็เดินผิวปากอย่างมีความสุขในระหว่างที่มุ่งหน้าไปเรียน
“ดูเหมือนว่าไป๋ไป่จะสามารถคลายความกังวลเรื่องเมื่อวานได้สำเร็จแล้ว”
มู่จวินฝานกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินผ่านอุทยานหลวงช้า ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกัน
วันนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก ฝนได้เริ่มตกลงมาปรอย ๆ อีกแล้ว และเม็ดฝนก็ได้ปลิวมาตามสายลมเป็นระยะ ๆ
เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อป้องฝนให้น้องสาว ทำให้แขนเสื้อของเขาเปียกแทน
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคำแนะนำของท่านพี่รัชทายาท”
มู่ไป๋ไป่ลดเสียงของตัวเองลงให้ฟังดูลึกลับ
“เมื่อคืนท่านพ่อโปรดปรานท่านแม่แล้ว!”
“แค่ก ๆ…” ใบหน้าของมู่จวินฝานเปลี่ยนเป็นสีแดงจาง ๆ ก่อนที่เขาจะเคาะหัวเล็ก ๆ ของน้องสาวเบา ๆ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความโปรดปรานคืออะไร? ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าได้หลุดพูดคำนี้ต่อหน้าคนอื่นอีก”
“เพคะ… ทำไมไป๋ไป่ถึงจะไม่เข้าใจ” มู่ไป๋ไป่พูดขึ้นเสียงสูง ในขณะที่มุ่ยปาก “ท่านพ่อโปรดปรานท่านแม่ก็เลยมีไป๋ไป่ขึ้นมาไง”
“บางทีคราวนี้ไป๋ไป่อาจจะมีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ได้”
“...” มู่จวินฝานไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ใครสอนเรื่องนี้ให้นางกัน?
ขณะที่ทั้ง 2 กำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงศาลาหมิงหลี่ก่อนจะได้รับแจ้งว่าอาจารย์เสิ่นป่วยจึงจะต้องพักผ่อน 2-3 วัน ดังนั้นใน 2-3 วันนี้จึงจำเป็นต้องยกเลิกชั้นเรียน
“ยอดไปเลย!” มู่ไป๋ไป่ปรบมือด้วยความดีใจ “แค่นี้ไป๋ไป่ก็จะกลับไปนอนต่อได้แล้ว”
“ไม่ได้ ท่านอาจารย์ไม่สบาย ทำไมเจ้าถึงมีความสุขแบบนั้นล่ะ?”
ในช่วงที่ผ่านมาเด็กหญิงถูกอาจารย์เสิ่นลงโทษอยู่บ่อยครั้ง พอผู้เป็นพี่ชายพูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บฝ่ามือขึ้นมาเลย
แล้วคนตัวเล็กก็ยิ้มใสซื่อพลางกล่าวว่า “มีเพียงยามที่อยู่ต่อหน้าท่านพี่รัชทายาทไป๋ไป่ถึงกล้าพูดเช่นนี้ เรารู้กันเพียงเท่านี้ก็พอเนาะ”
“เจ้า..” มู่จวินฝานทนความน่ารักของน้องสาวไม่ได้ เขาจึงผ่อนลมหายใจอย่างเอือมระอา
“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับตำหนักอิ๋งชุน แต่เจ้าจะต้องไม่ลืมทำการบ้าน จำสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเจ้าเมื่อวานนี้ได้หรือไม่ ข้าจะมาตรวจการบ้านเจ้าในภายหลัง”
มู่ไป๋ไป่คิดกับตัวเองว่ามันคงจะแปลกถ้าเธอเอาแต่ร่ำเรียนหนัก ๆ ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ควรต้องนอนพักผ่อนไม่ใช่หรือ?
ในเวลาเดียวกัน คนตัวเล็กกลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ซึ่งความคิดกับการแสดงออกนั้นช่างแตกต่างกันสุดขั้ว