ตอนที่แล้วบทที่ 43: มีแขกมาหรือ?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 45: ช่างหาได้ยากนัก

บทที่ 44: ขอเพียงไม่ใช่ลี่เฟย


ทันทีที่มู่ไป๋ไป่เดินไปถึงประตูห้องโถงด้านหน้า เธอก็เห็นพระสนมที่แต่งตัวสีสันสดใสหลายคนกำลังลุกขึ้นโดยมีนางกำนัลเข้าไปช่วยพยุง

แล้วเธอก็ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างพวกนางอยู่เบา ๆ

“ข้าได้ยินมาว่าตะเกียงในตำหนักชิงเหอไม่ดับลงจนกระทั่งกลางดึกเมื่อวานนี้”

พระสนมในชุดสีเหลืองสดใสยกมือขึ้นปิดรอยยิ้มยินดีของตัวเอง

“พอข้านึกถึงภาพที่ลี่เฟยนั่งรออยู่คนเดียวในตำหนักที่ว่างเปล่าเพื่อรอฝ่าบาทเกือบทั้งคืน ข้าก็อยากจะหัวเราะยิ่งนัก”

“ถูกต้อง” พระสนมอีกคนในชุดสีฟ้าครามเห็นด้วย

“ข้าไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย แต่วันนี้พอได้พบหว่านผินแล้ว นางกับลี่เฟยนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว หากข้าเป็นฝ่าบาท ข้าก็อยากจะเลือกหว่านผินมากกว่า”

“เอาเถอะ ขอเพียงไม่ใช่ลี่เฟย ทุกอย่างก็ถือว่าดี”

มู่ไป๋ไป่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาแอบฟังเหล่าสนมพูดคุยหัวเราะกัน

หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ตีหัวตัวเองแล้วพูดว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่านพี่รัชทายาทแล้ว!”

ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนี้นะ!

ในเมื่อมู่เทียนฉงสามารถเลิกชอบลี่เฟยและไปชอบพระสนมคนอื่นได้ ทำไมเขาถึงพยายามยกท่านพ่อให้คนอื่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น แม่ของเธอทั้งหน้าตาดีและเป็นคนที่เพียบพร้อมมาก ดังนั้นนางจึงเหมาะสมกับพ่อของเธอมาก

“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?” เจ้าส้มทำหน้าสับสนเมื่อเห็นคนตัวเล็กตีหัวตัวเอง

“เจ้าไม่ไปที่ห้องโถงด้านหน้าแล้วหรือ? รีบหน่อยสิ ข้าอยากลองชิมของว่างที่กองอยู่บนโต๊ะนั้นสักหน่อย พระสนมพวกนั้นไม่มีทางกินมันแน่นอน อันไหนอร่อยคราวหน้าข้าจะได้บอกให้เจ้าเอามาให้กินอีก”

“กิน ๆๆ วัน ๆ เจ้าก็รู้จักแต่จะกิน” มู่ไป๋ไป่เบะปากใส่แมวอ้วน “ตอนนี้องค์หญิงคนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องไปทำ”

“มีอะไรสำคัญไปกว่าการกินอีกอย่างนั้นหรือ?” เจ้าส้มพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าการกินนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในโลก…”

เด็กหญิงไม่สนใจที่แมวตัวโตพูดและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อคิดหาวิธีที่จะทำให้มู่เทียนฉงชอบซูหว่าน

ในตอนค่ำ ฮ่องเต้หนุ่มเสด็จมาที่ตำหนักอิ๋งชุนเพื่อรับประทานอาหารเย็นตามปกติ

หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเสร็จ มู่ไป๋ไป่ก็รั้งผู้เป็นพ่อที่กำลังจะกลับตำหนักของตัวเองโดยอ้างว่าจะแสดงผลของการร่ำเรียนที่ผ่านมาให้เขาเห็น

“เป็นโอกาสที่หายากจริง ๆ ที่ไป๋ไป่จะเป็นคนเอ่ยปากท่องบทกวีให้เราฟัง”

มู่เทียนฉงดูพึงพอใจขณะฟังเสียงไพเราะของคนตัวเล็กที่ท่องบทกวี 2-3 บท

สมแล้วที่นางเป็นลูกสาวของเขา นางสามารถท่องบทกวียาก ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน

“อิอิ ไป๋ไป่อยากให้ท่านพ่อมีความสุข” มู่ไป๋ไป่รีบดื่มน้ำเพื่อให้ลำคอที่แห้งผากของตัวเองชุ่มชื้นขึ้น

“ท่านพ่อ นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมวันนี้ท่านไม่บรรทมที่ตำหนักอิ๋งชุนล่ะเพคะ?”

ซูหว่านที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เหลือบมองลูกสาวด้วยสายตาประหลาดใจ

“เจ้าอยากให้พ่อพักที่นี่อย่างนั้นหรือ?” มู่เทียนฉงเลิกคิ้วขึ้น ในขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป “หรือมีใครสอนให้เจ้าพูดแบบนี้?”

“ไม่มีใครสอนอะไรไป๋ไป่เลยเพคะ”

มู่ไป๋ไป่ลอบถอนหายใจ พลางคิดว่าฝ่าบาทก็ยังคงเป็นฝ่าบาท เขาระวังตัวมาก แม้แต่สีหน้าของเขาก็ยังเปลี่ยนไปในตอนที่กล่าวเช่นนั้น

ถัดมา คนตัวเล็กอมลมไว้ในปากทำให้แก้มพอง พร้อมกับแสดงสีหน้าหดหู่

“ไป๋ไป่เพียงได้ยินมาว่าท่านพ่อยุ่งกับราชกิจจนไม่มีเวลาพักผ่อน ตำหนักอิ๋งชุนอยู่ไกลจากตำหนักเย่าเจิ้ง ไป๋ไป่เพียงแค่ไม่อยากให้ท่านพ่อต้องเดินทางกลับไปกลับมา”

“อีกอย่าง ท่านแม่เพิ่งทำกำยานหอมชนิดหนึ่งที่ช่วยทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลายขึ้นมา มันเหมาะกับท่านพ่อมาก ท่านไม่อยากลองดูสักหน่อยหรือเพคะ?”

ขณะที่เด็กหญิงพูด เธอก็ยิ้มและกะพริบตากลมโตปริบ ๆ

“ไป๋ไป่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า…” ในเวลานี้ซูหว่านรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น นางได้ทำกำยานหอมขึ้นมาจริง ๆ และคิดเอาไว้ว่าจะนำมาถวายให้กับมู่เทียนฉงในภายหลัง

แต่นางไม่คาดคิดว่าเจ้าตัวเล็กจะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดในเวลานี้

“แน่นอน นั่นเป็นเพราะว่าไป๋ไป่ฉลาด” มู่ไป๋ไป่เชิดคางกลม ๆ ขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไม่มีอะไรที่เล็ดลอดสายตาของไป๋ไป่ไปได้หรอก”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่” มู่เทียนฉงรู้สึกขบขันกับท่าทางของลูกสาว

จากนั้นดวงตาของเขาก็เหลือบไปมองหว่านผินที่ดูงดงามด้านข้าง ทันใดนั้นใจของเขาก็สั่นไหว “สิ่งที่ไป๋ไป่พูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”

“ทูลฝ่าบาท เป็นเรื่องจริงเพคะ” หญิงสาวย่อกายลงตอบ

“ฝ่าบาทมีราชกิจรัดตัวหนักหนา หม่อมฉันไม่อาจช่วยเหลือพระองค์ได้ หม่อมฉันทำเป็นเพียงแค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”

ในขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ก็ได้แอบสั่งให้นางกำนัลในตำหนักดับเทียนบางส่วนลง ทำให้ภายในห้องมีแสงสลัว และกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ก็ถูกลมพัดเข้ามาทางหน้าต่าง

ตอนนี้แสงพร้อม บรรยากาศเป็นใจ เพียงแค่นี้ทุกอย่างก็ลงตัว

มู่ไป๋ไป่รู้สึกว่าหากมู่เทียนฉงยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านอีก แสดงว่าเขาต้องไม่ใช่ผู้ชายแท้ ๆ แน่

“ถ้าอย่างนั้น เราจะพักที่นี่ต่ออีกสักคืน” มู่เทียนฉงมีสีหน้าอ่อนลงและมองซูหว่านด้วยสายตาอ่อนโยนมากขึ้นเล็กน้อย

สายตาที่เร่าร้อนของชายหนุ่มนั้นแสดงออกอย่างชัดเจน มันทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนขึ้น

นางจึงรีบลดสายตาลงอย่างเขินอาย “หม่อมฉันจะส่งคนให้ไปจัดเตรียมให้เพคะ…” หว่านผินลองพูดหยั่งเชิง

“อืม” มู่เทียนฉงพยักหน้าเป็นการตอบตกลงให้นางนอนกับเขา

แล้วมู่ไป๋ไป่ก็ปิดปากก่อนจะรีบหลบฉากออกไปจากห้องเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าเสียงกรี๊ดด้วยความตื่นเต้นของเธอจะไปทำลายบรรยากาศนั้นลง

จากนั้นนางกำนัลและขันทีก็เดินเข้าออกกันให้วุ่น พวกเขาใช้เวลาตระเตรียมอยู่นานกว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี

วันรุ่งขึ้น

จนกระทั่งมู่ไป๋ไป่ออกเดินทางไปยังศาลาหมิงหลี่ มู่เทียนฉงกับซูหว่านก็ยังไม่ออกมาจากห้อง

แล้วเธอก็เดินผิวปากอย่างมีความสุขในระหว่างที่มุ่งหน้าไปเรียน

“ดูเหมือนว่าไป๋ไป่จะสามารถคลายความกังวลเรื่องเมื่อวานได้สำเร็จแล้ว”

มู่จวินฝานกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินผ่านอุทยานหลวงช้า ๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของนาง เขาก็ยกยิ้มมุมปากเช่นกัน

วันนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก ฝนได้เริ่มตกลงมาปรอย ๆ อีกแล้ว และเม็ดฝนก็ได้ปลิวมาตามสายลมเป็นระยะ ๆ

เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อป้องฝนให้น้องสาว ทำให้แขนเสื้อของเขาเปียกแทน

“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณคำแนะนำของท่านพี่รัชทายาท”

มู่ไป๋ไป่ลดเสียงของตัวเองลงให้ฟังดูลึกลับ

“เมื่อคืนท่านพ่อโปรดปรานท่านแม่แล้ว!”

“แค่ก ๆ…” ใบหน้าของมู่จวินฝานเปลี่ยนเป็นสีแดงจาง ๆ ก่อนที่เขาจะเคาะหัวเล็ก ๆ ของน้องสาวเบา ๆ “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความโปรดปรานคืออะไร? ต่อจากนี้ไปเจ้าอย่าได้หลุดพูดคำนี้ต่อหน้าคนอื่นอีก”

“เพคะ… ทำไมไป๋ไป่ถึงจะไม่เข้าใจ” มู่ไป๋ไป่พูดขึ้นเสียงสูง ในขณะที่มุ่ยปาก “ท่านพ่อโปรดปรานท่านแม่ก็เลยมีไป๋ไป่ขึ้นมาไง”

“บางทีคราวนี้ไป๋ไป่อาจจะมีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ได้”

“...” มู่จวินฝานไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ใครสอนเรื่องนี้ให้นางกัน?

ขณะที่ทั้ง 2 กำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินมาถึงศาลาหมิงหลี่ก่อนจะได้รับแจ้งว่าอาจารย์เสิ่นป่วยจึงจะต้องพักผ่อน 2-3 วัน ดังนั้นใน 2-3 วันนี้จึงจำเป็นต้องยกเลิกชั้นเรียน

“ยอดไปเลย!” มู่ไป๋ไป่ปรบมือด้วยความดีใจ “แค่นี้ไป๋ไป่ก็จะกลับไปนอนต่อได้แล้ว”

“ไม่ได้ ท่านอาจารย์ไม่สบาย ทำไมเจ้าถึงมีความสุขแบบนั้นล่ะ?”

ในช่วงที่ผ่านมาเด็กหญิงถูกอาจารย์เสิ่นลงโทษอยู่บ่อยครั้ง พอผู้เป็นพี่ชายพูดเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บฝ่ามือขึ้นมาเลย

แล้วคนตัวเล็กก็ยิ้มใสซื่อพลางกล่าวว่า “มีเพียงยามที่อยู่ต่อหน้าท่านพี่รัชทายาทไป๋ไป่ถึงกล้าพูดเช่นนี้ เรารู้กันเพียงเท่านี้ก็พอเนาะ”

“เจ้า..” มู่จวินฝานทนความน่ารักของน้องสาวไม่ได้ เขาจึงผ่อนลมหายใจอย่างเอือมระอา

“ข้าจะไปส่งเจ้ากลับตำหนักอิ๋งชุน แต่เจ้าจะต้องไม่ลืมทำการบ้าน จำสิ่งที่ท่านอาจารย์บอกเจ้าเมื่อวานนี้ได้หรือไม่ ข้าจะมาตรวจการบ้านเจ้าในภายหลัง”

มู่ไป๋ไป่คิดกับตัวเองว่ามันคงจะแปลกถ้าเธอเอาแต่ร่ำเรียนหนัก ๆ ในวันที่ฝนตกเช่นนี้ควรต้องนอนพักผ่อนไม่ใช่หรือ?

ในเวลาเดียวกัน คนตัวเล็กกลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

ซึ่งความคิดกับการแสดงออกนั้นช่างแตกต่างกันสุดขั้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด