ตอนที่แล้วบทที่ 1 การเปลี่ยนแปลง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 ผู้ฝึกวิชาแห่งแผ่นดิน

บทที่ 2 ถูกขับไล่ออกจากบ้าน


ตระกูลฟางเป็นตระกูลใหญ่ที่มีทรัพย์สินมากกว่าหมื่นล้านหยวน สมาชิกส่วนใหญ่ในตระกูลต่างมีรถหรูขับ แต่เพราะทรัพย์สินของฟางเสิ่นถูกยึดไป คนพวกนั้นจึงยอมให้เขาเพียงเงินปันผลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ประทังชีวิต ฟางเสิ่นจึงไม่สามารถซื้อรถได้ ซึ่งต่อให้เขามีเงินซื้อรถ เขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อมันมันอยู่ดี

แท็กซี่จอดหน้าตึกของฟางกรุ๊ป

เมื่อเห็นรถคันนี้ รปภ. ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ลงมาจากรถเป็นใคร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วก็ถอยกลับไป

“คุณชายเสิ่น” พนักงานต้อนรับสองคนเปิดประตูออกให้ฟางเสิ่นเดินเข้าไปด้านใน

อย่างไรเสีย เขาก็ยังเป็นลูกหลานตระกูลฟาง ถึงแม้จะไม่เป็นที่สนใจนัก แต่พนักงานเหล่านี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะล่วงเกินเขาได้

หลังจากฟางเสิ่นเข้าไปในลิฟต์ พนักงานต้อนรับสาวก็โทรเข้าไปยังห้องทำงานของผู้ช่วยท่านประธานทันที

“คุณผู้ช่วยหลิน เขามาแล้วค่ะ”

ลิฟต์จอดที่ชั้น 19

“คุณชายเสิ่น เชิญทางนี้ค่ะ” เลขานุการสาวที่ได้รับข่าวมาล่วงหน้ารีบเดินเข้ามาต้อนรับ และพาฟางเสิ่นไปยังห้องรับรอง พร้อมชงชาหอมกรุ่นหนึ่งถ้วยก่อนจะขอตัวออกไปอย่างสุภาพ

“คิดจะปล่อยให้ฉันรอสินะ?” รออยู่นานแต่ก็ไม่มีใครมา ฟางเสิ่นเข้าใจในทันทีว่าคนพวกนี้จงใจปล่อยให้เขารอ แผนการนี้ในอดีตอาจจะได้ผลบ้าง แต่กับฟางเสิ่นในตอนนี้ มันกลับไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

“ฮ่าๆ คุณชายเสิ่นมาแล้ว ขอโทษจริงๆ ครับ เมื่อครู่กำลังจัดการงานของบริษัทอยู่ เลยไม่ได้มาในทันที” หลินจือหรงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเอกสารปึกหนึ่งในมือ ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่ไร้ซึ่งความจริงใจ

“แล้วท่านลุงรองของฉันอยู่ไหน?” ฟางเสิ่นไม่แม้แต่จะชายตามองเขา

ประธานบริษัทฟางกรุ๊ปก็คือ “ฟางเจี้ยนหนาน” ลุงรองของฟางเสิ่น เขาเป็นคนยึดทรัพย์สินของฟางเสิ่นไปกว่า 70% ตอนแรกฟางเสิ่นคิดว่าเขาจะต้องออกมาพบด้วยตัวเอง แต่ที่ไหนได้ สุดท้ายกลับส่ง “สุนัขรับใช้” มาแทน

“เรื่องนี้คุณฟางไม่สะดวกออกหน้าด้วยตัวเอง เพราะอย่างไรเสีย เรื่องอัปยศในครอบครัวก็ไม่ควรแพร่งพรายออกไป” หลินจือหรงดันแว่นสายตาขึ้น ก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น “ที่เรียกคุณชายเสิ่นมาในวันนี้ ไม่ใช่เพื่อถามถึงการตัดสินใจครั้งสุดท้าย ลองดูนี่ก่อนเถอะครับ”

หลินจือหรงเลื่อนเอกสารสองชุดมาตรงหน้าฟางเสิ่น แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา

ฟางเสิ่นกวาดสายตามองผ่านๆ ถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ แม้จิตใจของเขาจะนิ่งขึ้นกว่าเดิมมากแล้วก็ตาม

เอกสารสองชุดนี้คือผลการตรวจ DNA ของเขาและน้องชายเขาฟางจือสิง โดยนำเลือดของทั้งคู่ไปเปรียบเทียบกับ DNA ที่ฟางเจี้ยนเซินผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ และผลสรุปออกมาว่า พวกเขาไม่ใช่ลูกของฟางเจี้ยนเซิน

“ช่างน่าชื่นชมจริงๆ ท่านลุงรอง ช่างน่าชื่นชมจริงๆ ตระกูลฟาง” ฟางเสิ่นไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้

วิธีการที่ดีที่สุดในการยึดทรัพย์สินของฟางเสิ่นก็คือการพิสูจน์ว่าฟางเสิ่นและฟางจือสิงไม่มีความสัมพันธ์กับตระกูลฟาง ถ้าฟางเจี้ยนเซินไม่ทิ้งพินัยกรรมไว้ และหากฟางเสิ่นกับฟางจือสิงไม่ใช่ลูกของเขา พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์สืบทอดทรัพย์สินเหล่านั้น

วิธีการนี้ก็เท่ากับการขับไล่ฟางเสิ่นและน้องชายออกจากตระกูลอย่างไร้เยื่อใย

ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!

หากเป็นการใส่ความว่าเขามีความผิด ฟางเสิ่นไม่ใส่ใจ แต่การกระทำที่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้ว กลับเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ ความรู้สึกสุดท้ายที่มีต่อครอบครัวนี้จึงหายไปในพริบตา

“แม้ว่าคุณจะไม่ใช่ทายาทของตระกูลฟาง แต่คุณฟางบอกว่า ในเมื่อพวกคุณเป็นลุงหลานกันมากว่ายี่สิบปี ก็ยังพอมีเยื่อใยอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตาม” หลินจือหรงกล่าวพร้อมยื่นเอกสารอีกสองสามชุดตรงหน้าฟางเสิ่นด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ทรัพย์สินไม่กี่ล้านหยวนนี้ คุณเลือกไปได้ตามใจชอบ จากนี้ไปพวกคุณพี่น้องจะได้ไม่ต้องมีความเกี่ยวพันกับตระกูลฟางอีกต่อไป”

ทรัพย์สินเพียงไม่กี่ล้านหยวนเมื่อเทียบกับทรัพย์สินกว่า 10,000 ล้านหยวน นับว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

หลินจือหรงจับจ้องดวงตาของฟางเสิ่นอย่างตั้งใจ อยากเห็นความตื่นตระหนก หวาดกลัว โกรธเกรี้ยว และความคับแค้นใจจากผู้สูงศักดิ์ในอดีตผู้นี้ แต่แล้วเขากลับต้องผิดหวัง เพราะไม่ได้เห็นอะไรเลย

“เพียะ~” ฟางเสิ่นลุกขึ้นยืนตบเข้าที่หน้าของหลินจือหรงเต็มแรงจนแว่นของเขากระเด็นออกไป ใบหน้าที่เคยขาวสะอาดพลันมีรอยแดงฉานปรากฏทันที

“นี่เป็นการตบหน้าที่ฉันทำแทนพ่อแม่ของฉัน” ฟางเสิ่นพูดเสียงเรียบเฉย “แกมันก็แค่สุนัขของตระกูลฟาง กล้าดียังไงมาขย้ำเจ้าของตัวเอง”

หลินจือหรงเต็มไปด้วยความโกรธ แต่กลับไม่กล้าตอบโต้ ไม่ใช่เพราะเขากลัวฟางเสิ่น ในสายตาของเขาฟางเสิ่นเป็นเพียงคนที่ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ต่อไปสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการ แต่เพราะการตบหน้านี้ ฟางเสิ่นใช้ชื่อของฟางเจี้ยนเซินเป็นข้ออ้าง ไม่ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปพูดที่ไหน หลินจือหรงก็ไม่มีทางแก้ตัวได้ และถึงแม้จะเป็นเจ้านายของเขา ก็ต้องปกป้องชื่อเสียงของน้องชายตัวเองไว้ในสายตาคนอื่น

ถึงอย่างนั้น หลินจือหรงก็กลืนความโกรธนี้ลงคอทิ้งมันไปไม่ได้ เขาตั้งใจไว้ว่าต้องหาทางแก้แค้นเรื่องนี้ให้ได้ในอนาคต

“ตระกูลฟางแห่งมณฑลหลินไห่น่ะ สำคัญนักเหรอ? ต่อให้นำเกี้ยวแปดคนหามมารับ ฉันก็จะไม่กลับไปอีก” ฟางเสิ่นกัดฟันพูด

“ไสหัวไปซะ” เขาถีบหลินจือหรงออกไปด้านข้าง ฟางเสิ่นไม่แม้แต่จะเหลือบมองเอกสารพวกนั้นแล้วเดินออกไปทันที

ตอนแรกเขายังคิดอยากจะพบหน้าลุงรองสักครั้ง แต่การที่อีกฝ่ายคิดวิธีแบบนี้ขึ้นมาได้ ทำให้ฟางเสิ่นเข้าใจชัดเจนว่า หากไปพบก็มีแต่จะต้องทนรับความอัปยศ

ทรัพย์สินที่พ่อเขาอุตส่าห์สร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขาต้องเอากลับมาให้ได้ แต่ฟางเสิ่นก็เข้าใจว่า ด้วยกำลังของตัวเองในตอนนี้ ต่อให้ไปฟ้องร้องกับผู้อาวุโสของตระกูลแล้วได้ทรัพย์สินกลับมา ก็ยังรักษามันไว้ไม่ได้ อีกทั้งคนพวกนี้ในเมื่อเล่นสกปรกขนาดนี้แล้ว ก็คงมีแผนอื่นรอเขาอยู่แน่นอน

ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า มีเพียงพลังของตัวเองเท่านั้นที่สำคัญที่สุด หากมีพลังมากพอ ของของเขาก็จะไม่มีใครแย่งชิงไปได้

“ถู้ว” หลินจือหรงถ่มเลือดออกจากปาก สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น การถูกตบหน้าและถีบในวันนี้ เขาจะจำไม่ลืม

หลังจากออกจากห้องรับรอง เขาเดินไปยังห้องทำงานของประธานบริษัท ร่างกายโค้งงอลงทันที “ท่านประธาน”

“เขาออกไปแล้วหรือ?”

ลุงรองของฟางเสิ่น ฟางเจี้ยนหนานเงยหน้าขึ้นและมองหลินจือหรง “รอยตบที่หน้า เป็นฝีมือเขาหรือ?”

“ครับ” หลินจือหรงตอบสั้นๆ ไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากกว่านี้

“ความอัปยศนี้ คุณต้องอดทน แต่ผมจะไม่ลืมเรื่องนี้แน่นอน” ฟางเจี้ยนหนานกล่าว

เมื่อรู้ว่าฟางเสิ่นไม่ยอมรับทรัพย์สินแม้แต่อย่างเดียว ฟางเจี้ยนหนานก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็กำจัดสีหน้านั้นออกไปได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะถามเรื่องอื่นต่อ “เขาไปที่บ้านบรรพชนหรือยัง?”

“ผมถามแล้วครับ เขายังไม่ได้ไป” หลินจือหรงเดินออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้วจึงกลับมารายงาน

“ถือว่าเขาโชคดี” แววตาของฟางเจี้ยนหนานมีประกายสีเขียววาบผ่าน เขาเตรียมแผนสำรองไว้มากมายเพื่อทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครโต้แย้งได้ แต่การที่ฟางเสิ่นไม่ไปบ้านบรรพชนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือทำให้แผนทั้งหมดล้มเหลว

“ใช่แล้ว ตอนนี้อย่าเพิ่งไปยุ่งกับฟางเสิ่น เรื่องนี้หากท่านผู้อาวุโสรู้เข้าก็คงต้องโกรธแน่ แต่เขาเองก็ไม่เคยเห็นค่าของฟางเสิ่นอยู่แล้ว หากโกรธเราก็คงจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ พอเรื่องเงียบก็จะผ่านไป ที่สำคัญคืออย่าทำอะไรให้เป็นที่จับตาในช่วงนี้” ฟางเจี้ยนหนานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวเสริม “ส่วนเรื่องในอนาคต ค่อยจัดการตามที่คุณต้องการ”

“ครับ ขอบคุณครับท่านประธาน” หลินจือหรงดีใจ เขาลูบรอยตบที่หน้าตัวเอง แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

หลังจากออกจากตึกฟางกรุ๊ป ฟางเสิ่นโทรศัพท์ไปสายหนึ่ง

“จริงอย่างที่คิด ผู้อาวุโสของตระกูลป่วยอยู่” หากผู้อาวุโสของตระกูลยังคงมีสติ เรื่องต่ำช้าเช่นนี้คงไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเขาได้ และฟางเจี้ยนหนานก็ไม่กล้าทำเช่นนี้ แต่พอผู้อาวุโสล้มป่วย คนพวกนี้ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที ต่อให้สุดท้ายผู้อาวุโสฟื้นตัวขึ้นมาได้ ตอนนั้นก็สายเกินแก้แล้ว

อีกทั้งในความทรงจำของฟางเสิ่น ปู่ของเขาเป็นคนเย็นชาและห่างเหินมาก ไม่เคยมีช่วงเวลาที่แสดงความอบอุ่นให้กับเขาเลย ในอดีตฟางเจี้ยนเซินผู้เป็นพ่อก็มีความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับผู้อาวุโสมาตลอด ทั้งสองมีความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลังจากพ่อแม่ของฟางเสิ่นจากไป ผู้อาวุโสก็ยิ่งไม่สนใจพวกเขาพี่น้อง แม้รู้ความจริงก็ไม่แน่ว่าจะยื่นมือเข้าช่วย

การใช้ชีวิต ต้องพึ่งพาตัวเอง

ฟางเสิ่นสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปแล้วโบกแท็กซี่กลับไปที่มหาวิทยาลัยหลินไห่

เมื่อถึงห้องพักในมหาวิทยาลัย ฟางเสิ่นทิ้งตัวลงบนเตียงและหลับไปทันที

ในวันเดียว เขาต้องเผชิญหน้ากับหลายเรื่อง โดยเฉพาะประสบการณ์ที่ได้รับจากวิญญาณต่างภพ ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ

ในความฝัน ความทรงจำที่มากมายผุดขึ้นมา ชีวิตอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ฟางเสิ่นรู้สึกราวกับตัวเองกลายเป็นวิญญาณดวงนั้น กำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในโลกที่แปลกประหลาด…

จบบท

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด