บทที่ 115 มากมาย (3)
[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]
[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]
[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]
บทที่ 115 มากมาย (3)
ชเวซองกุนเอามือกุมหน้าคร่ำครวญ คังวูจินที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับก็ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ อะไร? มันเกิดอะไรขึ้น? นี่มันไม่ใช่สถานการณ์ที่วูจินคาดการณ์เอาไว้
ทำไมถึงคร่ำครวญล่ะ?
มันมีตรงไหนที่ต้องคร่ำครวญ? การที่ชเวซองกุนจะโกรธออกมาน่าจะเป็นปฏิกิริยาที่ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า นี่วูจินถึงขั้นเตรียมใจรับมือกับความโกรธที่อาจจะปะทุออกมา เพราะโดนหลอกมาตลอดแล้วแท้ ๆ
ทว่าชเวซองกุนกลับ...
“เฮ้อ... นายนี่มัน...”
จ้องมองคังวูจินด้วยแววตาที่ดูเวทนาปนเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก ทำไมกันล่ะ? วูจินจึงลองทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่อีกครั้ง
‘แต่ฉันก็พูดความจริงออกไปแล้ว นี่?’
แต่คำตอบที่ได้กลับมากลับกลายเป็นว่าเขาแสร้งทำเป็นคนธรรมดา หรือ ใช้ชีวิตราวกับการฝึกฝนการแสดง บลา ๆ ณ จุด ๆ นี้ วูจินก็พอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ได้
‘...เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วสิ’
หมายถึงชเวซองกุนตีความคำพูดของเขาไปเอง เขาไม่ได้ตีความแค่การกระทำในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา แต่เขากลับมองว่าชีวิตกว่า 20 ปีที่ผ่านมาของวูจินล้วนเป็นการแสดงทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่แบบนั้นก็คงไม่มีทางทำสีหน้าแบบนั้นออกมาได้หรอก
ช่างน่าขันสิ้นดี
วูจินเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาเสียแล้ว ถัดมาคือเสียงหัวเราะชั่วร้ายที่ดังก้องอยู่ในใจ
‘ทำไมพอพูดความจริงออกไปแล้ว ถึงเป็นแบบนี้ได้วะ?! ทำไม?? Why???’
น่าแค้นใจชะมัด แม้จะไม่มีเหตุผล แต่อารมณ์ในตอนนี้ของวูจินกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ ความจริงใจที่รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยออกไป กลับถูกบิดเบือนได้ง่ายดายเพียงนี้เนี่ยนะ ไม่นานคังวูจินก็ตัดสินใจรวบรวมสมาธิอีกครั้งเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดที่บิดเบี้ยวนี้
“ไม่ใช่นะครับ ท่านประธาน สิ่งที่ผมพยายามจะบอกก็คือ...”
“เออ ๆ เข้าใจแล้ว”
ทว่าชเวซองกุนกลับพูดขัดขึ้นมาก่อนที่วูจินจะพูดจบ พร้อมกับตบบ่าเขาเบา ๆ ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องพูดแล้ว
“ผมไม่บอกใครหรอกน่า คุณจะไปพูดที่ไหน ผมอยู่วงการนี้มากี่ปี คิดว่าผมไม่รู้เรื่องแค่นี้เหรอ?”
‘คุณไม่รู้นี่ครับ แถมยังฟังผิดอีก’ วูจินรู้สึกอึดอัดใจ ความรู้สึกนั้นผสมกับความเฉยชา กลายเป็นความเย็นชาอย่างถึงที่สุด ชเวซองกุนสบตากับวูจินพลางถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
แล้วเขาก็นึกถึงคำพูดของคังวูจินอีกครั้ง
‘คุณชเว ที่จริงแล้ว ผมแสดงมาตลอด’
ประโยคที่ทำให้ทุกอย่างกระจ่าง ‘งั้นเหรอ นายใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอดเลยสินะ’ ชเวซองกุนรู้สึกเจ็บปวดแทนคังวูจินปนสงสาร
‘ตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลาย มหาวิทยาลัย จนถึงที่ทำงาน ถ้าเขาใช้ชีวิตแบบที่เขาเป็นจริง ๆ คงเข้ากับคนอื่นยาก’
คังวูจินในตอนนี้คือตัวตนที่แท้จริง และถ้าจะพูดกันตามตรง ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ปกติรวมถึงนิสัยด้วย ถือว่าแปลกประหลาดมากพอตัว ถ้าไม่มีความสามารถที่เหมือนสัตว์ประหลาดอย่างทักษะการแสดง เขาก็คงกลายเป็นคนโดดเดี่ยวไปนานแล้ว
‘หรืออาจจะถูกขับไล่ไปแล้วก็ได้’
แม้แต่ตอนนี้ รูปลักษณ์ของวูจินก็เป็นเพียงแค่การแสดงออกที่อ่อนโยนและร่าเริงขึ้นเท่านั้น
“...”
ถ้าเขาไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา เขาคงถูกกันออกจากสังคมอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น วูจินไม่เพียงแค่มีทักษะการแสดงเท่านั้น แต่เขายังมีเสียงร้องที่เทียบเท่ากับนักร้อง ความสามารถทางภาษาที่ทำให้คนอ้าปากค้าง ดวงตาที่น่าขนลุกของไมดัส และอื่น ๆ อีกมากมาย เขามีดีมากเกินไป
นี่มันเกินกว่าคำว่าไม่ธรรมดาไปแล้ว เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวก็ยังได้
ถ้าคนรอบข้างรู้ถึงความไม่ธรรมดาของคังวูจิน พวกเขาจะว่าอย่างไร? แล้วยิ่งนิสัยที่แย่แบบสุด ๆ อีก มนุษย์มักมองว่าคนที่แตกต่างจากตนเองว่าไม่ปกติ คังวูจินจึงต้องปิดบังตัวเองมากขึ้นไปอีก
‘ก็คงเป็นเพราะอย่างนั้น ‘ความธรรมดาสามัญ’ ถึงได้ถูกเขาแสดงออกมา···และใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอดสินะ ถ้าเป็นฉันก็คงทำแบบนั้น’
นักแสดงระดับท็อปส่วนใหญ่ล้วนผ่านการเจียระไนจากเส้นทางสายเอลิท ฝึกฝนทักษะการแสดงในเรือนกระจก ขณะที่คังวูจินนั้นตรงกันข้าม เขาเอาตัวรอด ฝึกปรือฝีมือการแสดงอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับทุ่มชีวิตจิตใจ ซึ่งกินเวลามากกว่า 20 ปี
มองอีกมุมหนึ่งมันคือการเอาตัวรอดอย่างแท้จริง
ชเวซองกุนในตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมคังวูจินถึงไม่หวั่นไหวไปกับเรื่องใด ๆ และทำไมถึงได้นิ่งเฉยกับทุกสถานการณ์
‘ถ้าต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในป่าดงดิบมา 20 กว่าปี อะไรมันจะน่ากลัวอีกล่ะ’
แม้แต่คำขอร้องไม่ให้ถามถึงอดีต บางทีอาจมีเรื่องราวซ่อนอยู่ ชเวซองกุนพอจะเดาได้เลา ๆ ถึงแม้จะเป็นการคาดเดาไปเองฝ่ายเดียวก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเลยสักคน แม้แต่คนเดียว ที่จะมองออกว่า ความธรรมดาของวูจินนั้นคือการแสดง ทั้งหมดนี้ก็เพราะมันสมบูรณ์แบบมากต่างหาก
ในไม่ช้า ชเวซองกุนก็จมดิ่งลงสู่ห้วงลึกแห่งมายาคติที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
-กึก
สายตาของเขาจ้องมองไปยังแฟ้มใสที่อยู่ในมือของวูจิน ภายในนั้นเต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากปากของผู้คนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา ชเวซองกุนครุ่นคิด
‘พอได้เห็นตัวตนที่แท้จริง หลังจากที่เขาต้องแสดงเป็นคังวูจินผู้แสนธรรมดา···แบบนี้ก็ไม่แปลกที่จะมีคนพูดแบบนี้ออกมา’
แม้แต่ตอนที่ทำงานอยู่บริษัทออกแบบ เขายังต้องสวมบทบาทใช้ชีวิต แต่พอผันตัวมาเป็นนักแสดง งานที่ต้องแสดงอยู่แล้ว แบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงอีกต่อไป
‘กลับมาเป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว’
ชเวซองกุนที่แหวกว่ายอยู่ในวังวนแห่งมายาคติเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง เขาสบเข้ากับใบหน้าเรียบเฉยของคังวูจิน
“การเป็นนักแสดงคืออาชีพที่เหมาะกับนายที่สุดแล้วล่ะ การแสดงแบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง···ไม่คิดเลยว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองที่ว่า จะหมายถึงแบบนี้ นี่มันก็นานมากเลยนะ นานจนฉันประเมินค่าไม่ได้เลยล่ะ”
นั่นสินะ อสูรกาย ไม่สิ ต้องบอกว่าเป็นอสูรกายที่แสนพิสดาร เป็นอสูรกายที่ทำให้รู้สึกทึ่งได้อย่างหมดจด ความรู้สึกเช่นนั้นฉายชัดอยู่ในดวงตาของชเวซองกุน
จากแววตาที่อ่อนโยนคู่นั้น
‘······เอ่อ’
คังวูจินสูญเสียความมั่นใจไปสิ้น
มีบางอย่างพุ่งวาบผ่านไปต่อหน้าต่อตา รวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน แสงสว่างงั้นเหรอ? ไม่สิ ไม่ใช่ มันคือภาพลวงตาต่างหาก เป็นภาพลวงตาที่ใหญ่โตและรวดเร็วเกินกว่าจะรับมือได้ อย่างน้อยคังวูจินก็รู้สึกเช่นนั้น
เขาได้แต่ปลงตก
‘ไม่ว่าจะคอนเซ็ปต์หรือภาพลวงตา บอกไปก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกแบบนี้’
ราวกับมีพระเจ้ามาคอยบงการสถานการณ์ไว้ว่า ‘ไม่ได้ ไม่ให้ผ่าน’ คังวูจินรู้ดีแก่ใจว่าการสารภาพเรื่องราวของตัวเองไปก็คงเปล่าประโยชน์
‘ช่างแม่งเหอะ จะทำอะไรก็เชิญ’
ในเมื่อพูดความจริงไปก็เหมือนกับการแสดงคอนเซ็ปต์ คิดไปคิดมาเล่นใหญ่ไปเลยน่าจะดีกว่า คอนเซ็ปต์ ภาพลวงตาอะไรพวกนี้ ลองดูสักตั้งจะเป็นไรไป ขณะที่คังวูจินกำลังตัดสินใจกับตัวเองอย่างแน่วแน่
“วูจิน”
ชเวซองกุนที่ดูเหมือนจะปล่อยวางได้บ้างแล้ว เอ่ยปากขึ้นพลางเอนศีรษะพิงกับเบาะรถ
“เรื่องที่นายทุ่มเททั้งชีวิตให้กับ··· เอ่อ ช่างเถอะ บริษัทคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยหรอกนะ”
“···อย่างนั้นเหรอครับ?”
“อืม ปล่อยมันไปแบบนี้แหละน่า ถูกแล้ว ฉันก็เหมือนกัน นายก็อย่าไปป่าวประกาศที่ไหนล่ะ ดีต่อตัวนายเองด้วย”
ยังไงเสียต่อให้พูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี คังวูจินถอนหายใจเบา ๆ ในขณะที่เขายื่นแฟ้มใสให้กับชเวซองกุน ชเวซองกุนก็เอ่ยปากขึ้น
“ส่วนใหญ่เป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ เลยทิ้งข้อความหรือคอมเมนต์แบบนี้ไว้ อาจจะมีความอาฆาตหรือความริษยาแฝงอยู่ก็ได้ คนแบบนี้จะเรียกว่าคนรู้จักก็ยังเสียดายคำพูด”
- คังวูจินคิด คงกำลังพูดถึงคนพวกนั้นที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเขา
“ถึงผมจะไม่พูดอะไรออกไป แต่ก็ห้ามคนพวกนี้ไม่ได้หรอก พวกเขาอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้”
“ก็จริง”
“ถ้าพวกเขาเพิ่มจำนวนมากขึ้น พวกนักข่าวอาจจะได้กลิ่นแล้วแห่กันมารุมนายก็ได้ ตอนนี้นายกำลังดังมาก หนัง ละคร รายการวาไรตี้ แม้แต่ทางฝั่งญี่ปุ่นก็พูดถึงนาย ช่วงนี้พวกนั้นคงกำลังขุดคุ้ยทุกอย่างเกี่ยวกับนายอยู่ มันอาจจะเป็นการกังวลที่ไม่เข้าท่าก็ได้นะ”
คังวูจินได้แต่คิด มันช่างน่ากลัวจริง ๆ วงการบันเทิงเนี่ย ไม่ว่าจะยังไง ชเวซองกุนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาพลางพูดต่อ
“แต่ในวงการนี้ เวลาที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้ ก็ลองเตรียมตัวไว้ก่อนก็ดี คิดซะว่ามันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้”
“เรื่องแบบนี้มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ไม่นะ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก พวกสื่อหรือกระแสสังคมมันก็เหมือนเรื่องบันเทิงเรื่องหนึ่งแหละ น้ำหนักของงานมันไม่มีความหมายอะไรหรอก ในวงการนี้ มีเรื่องใหญ่ ๆ เกิดขึ้นบ่อยออก”
“...”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ พวกเขาก็มักจะเอาประเด็นหรือเรื่องราวมาปรุง แต่งแล้วโยนออกมา คำว่าข่าวลือหรือข่าวซุบซิบมันเกิดขึ้นมาได้ยังไงล่ะ ก็แค่หาคนดัง ๆ สักคนแล้วสร้างกระแส ดึงความสนใจด้วยการตั้งหัวข้อข่าวอะไรก็ได้”
นี่ไม่ใช่การคาดเดาหรือการคาดคะเน แต่มันคือคำพูดที่ออกมาจากประสบการณ์ของชเวซองกุนล้วน ๆ
“สมมติว่าฉันปล่อยข่าวไปเลยว่าอดีตกับปัจจุบันนายมันต่างกันราวฟ้ากับเหว กระแสตอบรับมันต้องมาแน่ ๆ เพราะนายกำลังขายดี นายกำลังเล่นละครจนพวกพระเอกดัง ๆ ต้องยอมสยบอยู่ตอนนี้ไม่ใช่เหรอ? หืม? ไอ้นี่แสดงดีนี่นา? งั้นพาดหัวข่าวอย่าง ‘อดีตของคังวูจินทั้งหมดคือการแสดง?’ ก็ขายได้สบายอยู่แล้ว”
“อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะครับ”
“หรือไม่ก็เป็นโรคหลายบุคลิก อะไรก็ได้ พอข่าวลือพวกนี้มันกระจายออกไป คนก็ต้องให้ความสนใจมากขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
ต้องสนใจแน่ ๆ โดยเฉพาะประเด็นนี้คังวูจินเห็นด้วยสุดใจ ภายในเขาก็ยังเป็นคนธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เขาเองก็เคยกดอ่านข่าวเพราะพาดหัวข่าวเร้าใจมาแล้วหลายครั้ง
“ไม่สนหรอกว่าใครจะโดนขว้างปะทะจนหัวแตกเลือดสาด สิ่งสำคัญที่สุดในวงการนี้ก็คือกระแสไงล่ะ พวกที่เขียนข่าวขยะ นั่นก็เหมือนกัน ปล่อยข่าวลือให้เป็นไฟลามตึก พอเรื่องไปถึงหูสื่อเมื่อไหร่ นายคิดว่าพวกมันจะทำยังไง?”
คังวูจินเลือกที่จะเงียบ ทำให้ชเวซองกุนสะบัดหน้าเบา ๆ
“เรื่องเข้าใจผิด”
“อ่า”
“น่ารำคาญ แต่ก็เหมือนเวทมนตร์ แค่พูดว่า ‘เป็นเรื่องเข้าใจผิด’ ทุกอย่างก็จบ คนก็จะลืมเรื่องนี้แล้วไปสนใจเรื่องใหม่ วนลูปไปเรื่อย ๆ”
“แล้วผมที่โดนปาหินก็รักษาตัวเองไปสินะครับ”
ชเวซองกุนพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะยิ้มออกมา
“ก็แค่จะบอกให้เตรียมใจไว้ หรือไม่ก็รับรู้ไว้ก็เท่านั้นแหละ อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็ได้”
เขาใช้นิ้วจิ้มไปที่หัวของตัวเอง
“ถึงจะมีเรื่องขึ้นมา นายก็แค่โฟกัสกับการแสดงก็พอ ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการ ระหว่างที่คุยกับนายอยู่นี่ฉันก็คิดแผนออกแล้ว”
“···แผนอะไรเหรอครับ?”
“เล่าให้ฟังตอนนี้มันยาว เอาเป็นว่า เราจะปิดบังอดีตของนายไปพร้อม ๆ กับสร้างกระแสจากข่าวลือพวกนั้น ตีเหล็กร้อน ๆ ไงล่ะ”
รอยยิ้มของซเวซองกุนเข้มขึ้น เขาขยี้มือทั้งสองข้าง
“อย่างที่เขาว่า ปล่อยข่าวลือกลบข่าวลือยังไงล่ะ ดีที่สุดแล้ว”
เช้าวันรุ่งขึ้น
ตั้งแต่เช้าตรู่ ญี่ปุ่นที่ยังคงคึกคักไปด้วยกระแสของ นิติจิตวิทยา ก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง เหตุผลนั้นแสนเรียบง่าย
『「ผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ X นักเขียนอาคาริ ทากิคาวะ」พบกันในฐานะผู้กำกับและเจ้าของผลงานต้นฉบับ』
ผลงานใหม่ของผู้กำกับระดับปรมาจารย์ เคียวทาโร่ ที่ปิดเป็นความลับมาโดยตลอด ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่าข่าวลือเรื่องที่เขาจะปล่อยผลงานใหม่ออกมานั้น มีมาสักพักแล้ว ประเด็นสำคัญก็คือ นักเขียนชื่อดังระดับโลกอย่าง อาคาริ นั่นเอง
『ผลงานขายดีของนักเขียนอาคาริ ทากิคาวะ เตรียมถูกถ่ายทอดออกมาโดยฝีมือของผู้กำกับเคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ』
การร่วมงานกันของผู้กำกับเคียวทาโร่และนักเขียนอาคาริ แม้แต่ชื่อเรื่องก็ประกาศออกมาแล้ว
『「การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า」 ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์』
แต่ก็มีเพียงเท่านั้น เรื่องชื่อนักแสดงอย่างวูจินและคนอื่น ๆ ยังคงถูกปิดเป็นความลับ อย่างไรก็ตาม ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ ก็เป็นผลงานขายดีอยู่แล้ว แค่นี้ก็มากพอที่จะทำให้ทั้งญี่ปุ่นสั่นสะเทือนได้
อาจเป็นเพราะพลังของสองบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ ข่าวนี้จึงขึ้นแท่นข่าวเด่นในเว็บไซต์ยอดนิยมของญี่ปุ่นในพริบตา
และพลังของสาธารณชนก็ไม่น้อยหน้า บนโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยเรื่องราวของพวกเขาในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟน ๆ ของนักเขียนอาคาริ ที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นกันมาก
ความคาดหวัง ความกังวล หรือไม่ก็คำวิจารณ์
เพราะมีคนอ่าน ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ เยอะมาก และแฟน ๆ ของนักเขียนอาคาริก็มีไม่น้อย จริง ๆ แล้วความกังวลและคำวิจารณ์มีมากกว่าความคาดหวังเสียอีก
เพราะทุกคนห่วงเรื่องการทำลายต้นฉบับ
ทว่าภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นผู้กำกับเคียวทาโร่ก็มีชื่อเสียงและเกียรติภูมิไม่น้อยเช่นกัน ผลลัพธ์คือเกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรงจากความคิดเห็นที่หลั่งไหลเข้ามา บรรยากาศแบบนั้นคงอยู่จนถึงมื้อกลางวันเป็นอย่างน้อย ยิ่งเป็นแบบนี้กระแสความสนใจใน ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ ก็ยิ่งทวีคูณ
มันหมายความว่าตราตรึงอยู่ในใจของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศแล้ว
เนื่องจากเป็นเรื่องที่ดังมาก บวกกับทั้งผู้กำกับเคียวทาโร่และนักเขียนอาคาริต่างก็เป็นที่รู้จักในเกาหลีไม่น้อย...
『[ข่าวต่างประเทศ] “การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า” ผลงานของนักเขียนอาคาริกำลังจะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับระดับปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่น เคียวทาโร่ ทาโนะงูจิ』
ข่าวนี้แพร่ไปถึงเกาหลีเช่นกัน แน่นอนว่ากระแสอาจไม่รุนแรงเท่ากับในญี่ปุ่น แต่ก็มีการเผยแพร่บทความออกไปพอสมควรอย่างไรก็ตาม นอกจากคนที่รู้จักบุคคลสำคัญทั้งสองแล้ว คนส่วนใหญ่ในเกาหลีกลับไม่ค่อยสนใจมีเพียงแค่ ‘อ๋อเหรอ?’ เท่านั้น
เพราะตอนนี้เกาหลีกำลังให้ความสนใจกับเรื่องอื่น
- พี่ยุนรอรายการใหม่มานานแล้วค่ะㅜㅜㅜㅜㅜㅠ�
นั่นก็คือเรื่องรายการใหม่ของยุนบยองซอน หากเปรียบเทียบกันแล้วในขณะที่ญี่ปุ่นประกาศสร้าง ‘การสังเวยอันน่าสะพรึงกลัวของคนแปลกหน้า’ ในช่วงเช้าในเวลาเดียวกันรายการวาไรตี้ใหม่ของพี่ยุนบยองซอนในเกาหลีก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
『รายการวาไรตี้ใหม่ของ “PDยุน” เปิดตัวชื่อรายการแล้วชื่อว่า “ครัวเรือนหรรษาของเรา” 』
ชื่อรายการคือ “ครัวเรือนหรรษาของเรา” โดยมีการเปิดเผยจุดประสงค์ของรายการอย่างชัดเจนในข่าวอย่างเป็นทางการมีคำอธิบายเพิ่มเติมอย่างละเอียด แต่สรุปสั้น ๆ ก็คือ ‘รายการแนะนำอาหารเกาหลี’ ไม่ได้ออกอากาศในประเทศ แต่จะออกอากาศในต่างประเทศ
และในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน
『[ข่าวเด่น] ประกาศรายชื่อนักแสดง ‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’ - อันจองฮัก ฮากังซู ยอนแบกกวัง ฮงฮเยยอน ฮวาลิน และ คังวูจิน!』
‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’ ยืนยันรายชื่อนักแสดงแล้ว ทำเอาคนดูอ้าปากค้าง
-555555อันจองฮัก55555มากันขนาดนี้ PD ยุนต้องเป็นข้าราชการแน่ ๆ 555555555
-โอ้โห… แต่ไลน์อัพโหดมาก….?
-อันจองฮัก ก็ว่าไปอย่าง ฮากังซู ฮงฮเยยอน ฮวาลิน ยอนแบกกวัง อีก?? นี่ยังจะ คังวูจิน อีก
-ฮงฮเยยอน ฮวาลิน? ได้ยินมาว่าสองคนนี้สนิทกันนะ
-แบบนี้ คังวูจิน คงไม่ใช่มือใหม่แล้วล่ะ 5555 มาหมดยกเข่ง ทั้งละคร ทั้งหนัง แล้วยังมาวาไรตี้อีก 55555
-ถึงจะรู้จักคังวูจินอยู่ แต่พอเห็นปนอยู่ตรงนี้ก็ยังรู้สึกไม่น่าเชื่ออยู่ดี 555 ทำไมกันนะ?
-ㅜㅡㅜㅡㅠㅜㅠㅜไลน์อัพสุดยอด! เลิกงานแล้วไม่รู้จะดูอะไรเลย ㅜㅡㅜㅠ�
-อยากรู้จังว่าเคมีของนักแสดงกับวาไรตี้ของ PD ยุน จะออกมาเป็นยังไง…….
ทีมนักแสดงของ ‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’ เป็นการผสมผสานกันระหว่าง ‘คาดไว้แล้ว’ และ ‘คาดไม่ถึง’ โดยเฉพาะชื่อของ คังวูจิน ที่แม้จะประกาศไปก่อนหน้านี้ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’ ของPD ดาวเด่นยุนบยองซอน ก็ได้ รับการคาดหวังสูงสุดอยู่ดี
『[เฟ้นข่าวดารา] คังวูจิน มือใหม่มาแรง จะปล่อยเสน่ห์แบบไหนในรายการของ PD ยุนบยองซอน? 』
ทำให้ชื่อของ คังวูจิน เป็นที่รู้จักมากขึ้น
และ ณ เวลานี้ ที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งในประเทศ
ท่ามกลางบรรยากาศอันจอแจของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ปรากฏร่างของนักข่าวหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บริเวณใจกลางห้อง เขานั่งเท้าคางพลางอ่านบทความเรื่อง ‘ครัวเรือนหรรษาของเรา’
“หืม แคสติ้งดีนี่นา ฮงฮเยยอน นี่เพิ่งเคยร่วมงานกับ PDยุน เป็นครั้งแรกรึเปล่านะ ส่วน คังวูจิน นี่ก็กวาดงานแสดงทุกแนวเลยแฮะ”
ทันใดนั้น ชายสูงวัยผู้หนึ่งก็เดินผ่านมาด้านหลังแล้วตวาดใส่เขา
“ยังมานั่งเล่นอีกเรอะ?!”
“โถ่ พ่อ ก็ผมกำลังหาข้อมูลอยู่นี่ไงครับ”
“หาข้อมูลทำไม เขียนเลยสิวะ แกก็เป็นนักข่าวเหมือนกันนะเฟ้ย! วันนี้ต้องได้บทความสักบทความ รู้เรื่อง?!”
“ครับ ๆ”
นักข่าวหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยกมือขึ้นเกาคางและขยับเมาส์ เขาเปิดเข้าไปในโซเชียลมีเดียตามกิจวัตรประจำวัน ซึ่งก็คงไม่ต่างจากนักข่าวบันเทิงคนอื่น ๆ ในประเทศนี้สักเท่าไหร่ ทว่าเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเป้าหมาย
คราวนี้เขาเข้าไปยังเว็บบอร์ดต่าง ๆ
ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนักข่าวหลายคนก็มักจะมองหาประเด็นข่าวจากในนี้เช่นกัน คลิก คลิก เขาเข้าไปยังหมวดหมู่บันเทิงอย่างรวดเร็ว ทว่าคราวนี้ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสนใจอีกเช่นเคย ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
“ชิ”
แต่ในวินาทีนั้นเอง
“หืม?”
ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เมื่อไปสะดุดกับโพสต์หนึ่งเข้า
- [ฉันเรียนมัธยมปลายที่เดียวกับ คังวูจิน น่ะ นิสัยตอนนั้นกับตอนนี้ต่างกันลิบลับเลย ㅇㅇ]
นิ้วของนักข่าวหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
“อะไรเนี่ย?”
ช่วงบ่ายคล้อยของวันเดียวกัน
ร้านอาหารเกาหลีระดับไฮเอนด์แห่งหนึ่งย่านชองดัมดงภายในห้องวีไอพีของร้านที่ตก แต่งอย่างหรูหราและมีสวนส่วนตัว ปรากฏร่างของชายหญิงราวสี่ถึงห้าคนนั่งล้อมวงสนทนากันด้วยภาษาญี่ปุ่น
“ที่นี่บรรยากาศดีจังเลยนะคะ”
“จริงค่ะ ว่าแต่ คุณPD มานั่งทานอาหารแพง ๆ แบบนี้ ไม่เป็นไรเหรอคะ ทั้งที่ตั้งใจจะมาคุยงานแท้ ๆ”
“······ก็ทางนั้นเขาเป็นคนชวนมานี่ครับ”
มันแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาคือทีมงานจาก ‘รายการคุยหลังฝน!’ รายการทอล์กโชว์ชื่อดังของญี่ปุ่นเพิ่งเดินทางมาถึงเกาหลีเมื่อวานเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
และแล้ว
“คุณนักแปลครับ”
PDผอมกะหร่องหนึ่งในทีมงานเอ่ยกับล่าม
“ช่วยแปลให้ละเอียดที่สุดด้วยนะครับ ระหว่างพูดคุยพวกเราจะพยายามพูดช้า ๆ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ทันทีที่ล่ามพยักหน้ารับ
-ก๊อก ๆ แอ๊ด
ประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก เผยให้เห็นนักแสดงที่พวกเขารอคอย คังวูจินในเสื้อเชิ้ตเนื้อบางทีมงาน ‘รายการคุยหลังฝน!’ ลุกขึ้นยืนเป็นตาเดียวเมื่อเห็นเขา วูจินในใบหน้าเรียบเฉยเดินมาหยุดที่โต๊ะ ก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“สวัสดีครับ ผมคังวูจิน ขอโทษด้วยนะครับ พนักงานบอกห้องผิดน่ะครับ”
ดวงตากลมโตของนักเขียนบทสาวและล่ามเบิกกว้างขึ้นพร้อมกันแม้แต่PDผอมกะหร่องที่ดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ยังอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
‘อะ อะไรนะ?! ไม่ใช่นักแสดงเกาหลีเหรอ ทำไมพูดญี่ปุ่นคล่องขนาดนี้!’
ทีมงาน ‘รายการคุยหลังฝน!’ โดนเซอร์ไพรส์เข้าให้ตั้งแต่เริ่มต้นเลย
จบ