บทที่ 111 ดอกซากุระร่วงโรย (4)
[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]
[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]
[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]
บทที่ 111 ดอกซากุระร่วงโรย (4)
ผู้กำกับควอนกีแท็กมองสำรวจไปทั่วผืนป่ากว้างใหญ่ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ
‘อากาศก็ร้อนอบอ้าว ความชื้นก็สูง จนรู้สึกแย่ ช่างถูกใจฉันจริงๆ’
ที่นี่คือสถานที่ถ่ายทำ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ซึ่งกำลังเป็นผลงานการสร้างสรรค์ของเขาเอง ผู้กำกับควอนกีแท็กสามารถร่างภาพโลกของ ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ ออกมาได้เพียงแค่หลับตา เขาหันหลังกลับไปแล้วเอ่ยกับชายคนหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวซึ่งกำลังถ่ายภาพโดยรอบด้วยกล้องขนาดเล็ก ชายคนนั้นคือตากล้อง
“ตรงนี้ว่าไง? เหมาะจะเป็นจุดที่พลทหารคิมถูกตัดหัวไหม?”
การที่เอ่ยถึงบทของ ‘พลทหารคิม’ แสดงให้เห็นว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะพลทหารคิม คือตัวละครที่ทำให้เรื่องราวบน ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ เริ่มต้นขึ้น
ซึ่งในตอนนั้นเอง
“ครับ แต่ร้อนชิบหายเลยนะครับ”
ตากล้องวางกล้องขนาดเล็กลงพร้อมกับใช้มือปาดเหงื่อ แต่ก็ยังนึกถึงบท ‘พลทหารคิม’ ใน ‘เกาะแห่งผู้สูญหาย’ เขาพยักหน้าเห็นด้วย
“ดีครับ ภาพดูใกล้เคียงมาก โดยเฉพาะกลิ่นตรงนี้มันกลิ่นอะไรกันนะ? ที่นี่มีซ่อนอะไรไว้หรือเปล่าครับ?”
“ไม่รู้สิ” ผู้กำกับควอนกีแท็กพูดตอบพร้อมกับถอดหมวกซาฟารีออกชั่วครู่ก่อนจะนั่งยองๆ แล้วใช้นิ้วจิ้มลงบนพื้น
พื้นดินแฉะและนุ่มนวล
ทำให้นิ้วของผู้กำกับควอนกีแท็กจมลงไปในดินเขาจึงชักนิ้วกลับมาแล้วเช็ดดินที่เปื้อนติดมือออกที่ต้นขาอย่างลวกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“พลทหารคิม หัวขาดเนี่ย ทำให้ขาดจากล่างขึ้นบนจะดีกว่านะ บอกให้เขาทำให้หัวหนัก ๆ หน่อย เวลาหล่นลงพื้นแล้วมันจะได้จมลงไป น่าดูดี”
เสียงตอบรับดังมาจากผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนหอบหายใจอยู่ด้านหลัง
“ครับ! รับทราบครับ!”
เหตุผลที่ทำให้ทีมงาน “เกาะแห่งผู้สูญหาย” ซึ่งรวมถึงผู้กำกับควอนกีแท็ก เดินทางมาถึงเวียดนามนั้นเรียบง่ายมาก พวกเขามาเพื่อหาโลเคชั่นถ่ายทำในต่างประเทศ
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการแต่แรก
เดิมทีมีกำหนดการว่าจะถ่ายทำกันในสตูดิโอ แต่พอผู้กำกับควอนกีแท็กได้เห็นฉากที่สร้างเสร็จแล้ว ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน อยากจะถ่ายทำทั้งในสตูดิโอและต่างประเทศอย่างละเท่า ๆ กัน การที่ผู้กำกับเปลี่ยนใจเป็นเรื่องปกติมาก คำพูดที่หลุดออกมาจากปากผู้กำกับควอนกีแท็กหลังจากนั้นมีเพียงประโยคเดียว
‘ลองติดต่อไปหา PD พัคที่เวียดนามหน่อย’
PD พัคที่ว่าก็คือผู้จัดการกองถ่ายที่เคยร่วมงานกันมาแล้วนั่นเอง ด้วยเหตุนี้เอง สมาชิกทีมงาน “เกาะแห่งผู้สูญหาย” จึงต้องรีบเก็บกระเป๋าขึ้นเครื่องบินมาเวียดนาม ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ส่งผลให้กำหนดการเตรียมงานสร้างที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนเมษายนต้องเลื่อนออกไปเล็กน้อย
แต่นี่ก็ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
ใกล้มากแล้วล่ะ
“PD พัค”
ผู้กำกับควอนกีแท็กสวมหมวกซาฟารีอีกครั้ง เช็ดเหงื่อพลางเอ่ยถามผู้จัดการกองถ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ตรงนี้ก็จดไว้ในลิสต์ด้วยนะ เหลืออีกกี่ที่ครับ”
“ประมาณห้าที่ครับ”
“แล้วกำหนดการทั้งหมดล่ะ”
“วันนี้กับพรุ่งนี้หาโลเคชั่นถ่ายทำ จากนั้นก็เคลียร์เรื่องประชุมกับทีมงานที่นี่ น่าจะเสร็จภายในสามวันครับ”
“รวม ๆ แล้วก็สามวันใช่ไหม?”
“ครับ ผู้กำกับ”
ผู้กำกับควอนกีแท็กพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะเรียกหัวหน้าทีมออกแบบฉากที่กำลังมัวแต่ถ่ายรูปอยู่
“หัวหน้าริว!”
“อ๊ะ! ครับ! ผู้กำกับ! ขอโทษครับ ฮ่าๆ ลูกสาวผมโทร.ตามขอดูรูปน่ะครับ”
“เรื่องรูปถ่ายค่อยส่งก็ได้ อีกไม่กี่วันก็กลับเกาหลีแล้ว ให้นายจัดตารางให้ไปดูสถานที่ถ่ายทำก่อนเลย ตารางอ่านบทกำหนดไว้ว่าวันไหนนะ”
“เพราะเรื่องถ่ายทำที่เวียดนาม ผมเลยเผื่อเวลาไว้เยอะหน่อยครับ”
“เรื่องที่เวียดนามมันเสร็จเร็วกว่าที่คิด งั้นเลื่อน‘การอ่านบท’ให้เร็วขึ้นหน่อยแล้วกัน”
ผู้กำกับควอนกีแท็กรวบรวมความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น
“วันที่ 3 สิงหาคม เป็นไง เร็วไปไหมครับ?”
หัวหน้าทีมออกแบบฉากเปิดสมุดไดอารี่ขึ้นมาดู ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าไม่มีปัญหา
“ประมาณ 2 อาทิตย์ ไม่ครับ คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้กำกับควอนกีแท็กก็หันไปมองป่ารกทึบเบื้องหน้าอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็กำหนดวันอ่านบทเป็นวันนั้นเลย”
เขาพูดพึมพำเบาๆ
“พอกลับถึงเกาหลีแล้วก็ให้คนติดต่อนักแสดงทุกคนด้วย”
สองวันถัดมา เวลาบ่ายคล้อยของวันที่ 24
ทีมงาน ‘เพื่อนชาย’ หลายสิบชีวิตกำลังเร่งเตรียมสถานที่ถ่ายทำอยู่บริเวณหลังโรงเรียนมัธยมปลาย ซึ่งค่อนข้างรกร้าง พวกเขากำลังปูรางวางกล้อง ติดตั้งไฟ และจัดวางอุปกรณ์ประกอบฉากต่างๆ รอบๆ บริเวณนั้นเป็นที่ตั้งของโกดังขนาดเล็กและกองขยะมากมาย
วันนี้พวกเขามีกำหนดจะถ่ายทำฉากที่เน้นอารมณ์ขมขื่นใจเล็กน้อย และฉากที่เน้นบุคลิกของฮันอินโฮ
ในฉากนั้น อีโบมินขึ้นมาอยู่ชั้นม.5 แล้ว เธอต้องเจอกับกลุ่มนักเรียนเกเรที่ไม่ค่อยชอบหน้าเธอเท่าไร
- เหตุผลน่ะเหรอ? ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ อีโบมิน เธอสวยเกินไป แค่นั้นเอง หากจะหาเรื่องกันแล้วล่ะก็ คงไม่พ้นเรื่องนี้เป็นแน่
นั่นจึงทำให้หนึ่งในกลุ่มนักเรียนเกเรหญิงพยายามปล่อยข่าวลือแปลกๆ เพื่อกลั่นแกล้งอีโบมิน
ทว่าอีโบมินเป็นคนมองโลกในแง่ดี เธอจึงไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวหรือยอมก้มหัวให้กับเรื่องไร้สาระพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีฮันอินโฮอยู่เคียงข้าง ต่อให้ทั้งโลกหันหลังให้ เธอก็ยังมีฮันอินโฮที่เป็นดั่งทุกสิ่งทุกอย่าง คอยอยู่เคียงข้างเธอเสมอ เพียงแต่ว่า กลุ่มนักเรียนเกเรพวกนั้นก็หาได้ปล่อยอีโบมินไปง่ายๆ พวกเขาเห็นว่าแผนเดิมไม่ได้ผล จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีรังแกเธออย่างโจ่งแจ้งมากขึ้น
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้กระมัง
"นักเรียนเกเรทุกคน เชิญด้านนี้ครับ!!"
นักแสดงสมทบที่รับบท "นักเรียนเกเร" ทยอยกันมาอยู่หน้ากล้อง พวกเขามีกันทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 2 คน ทุกคนสวมชุดนักเรียนเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงคือ บรรยากาศและออร่าที่แผ่ออกมา เสื้อผ้าที่รัดรูปกับกระดุมที่ถูกปลดออกอย่างตั้งใจ
ทุกอย่างที่พวกเขาสวมใส่ ล้วนสื่อให้เห็นถึงความ 'ไม่ธรรมดา'
เหล่านักแสดงสมทบพวกนี้ ต่างจากนักแสดงประกอบทั่วไป พวกเขามีบทพูดเป็นของตัวเอง แถมยังสังกัดค่ายอีกต่างหาก ผู้กำกับชินดงชุนมองพวกเขาผ่านหน้าจอมอนิเตอร์พลางถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย
"อืม...รู้สึกขาดๆ เกินๆ ไปหน่อยนะ"
ผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้างๆ เอียงคออย่างสงสัย
"ขาดตรงไหนเหรอครับ?"
"ตอนอ่านบท ผมไม่ทันได้สังเกตนะ แต่พอพวกเขามายืนเรียงกันแบบนี้แล้ว มันดู... "
ผู้กำกับชินดงชุนเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองนักแสดงสมทบทั้ง 5 คนที่ยืนอยู่หน้ากล้อง
"ดูขาดพลังยังไงไม่รู้ ฉากเปิดเรื่องแบบนี้น่าจะทำให้คนดูรู้สึกติดหนึบตั้งแต่ต้นเรื่องสิ จริงไหม?"
"ผมว่าก็โอเคดีนะครับ"
“ไม่ใช่ครับ พอเห็นปุ๊บปั๊บต้องแสดงท่าทีรังเกียจแบบโอเว่อร์ๆ ถึงจะดีกว่าสำหรับฉากแบบนี้ ไซเดอร์ที่กินต่อจากมันฝรั่งทอดถึงจะดูสดชื่นไงล่ะ”
“คุณมีไอเดียอื่นในใจเหรอครับ?”
“อืม...”
ผู้กำกับชินดงชุนนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองไปรอบๆ เขาสำรวจทีมงานหลายสิบคนที่กำลังวิ่งไปมา
“มาช่วยกันหาหน่อยสิ ผมอยากได้คนที่ดูเป็นนักเลง ใส่แมกส์ แล้วก็ตัวใหญ่หน่อย”
“เดี๋ยวนะครับ คุณผู้กำกับจะหานักแสดงเพิ่มเหรอครับ?”
“ใช่”
“กะ ก็หาเอาตอนนี้เลยมันก็... บทนักเลงพวกนี้มันก็สำคัญในระดับหนึ่งนะครับ ทุกคนก็มีบทพูด มีซีนโคลสอัพด้วย ก็เลยต้องแคสติ้งกันไม่ใช่เหรอครับ?”
“ไม่เป็นไรหรอก เอาคนมาแค่ยืนเฉยๆ ก็พอ”
“แต่มันก็ต้องมีแอ็คติ้งแสดงสีหน้านิดหน่อยนะครับ”
ถึงแม้ว่าผู้ช่วยผู้กำกับจะพยายามห้าม แต่ผู้กำกับชินดงชุนก็ยังคงกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างไม่ใส่ใจ แต่เขาก็ไม่เห็นใครที่เหมาะสมเลยสักคน ที่สำคัญคืออายุไม่ตรงกัน นักเรียนนักเลงในเรื่องเป็นนักเรียนมัธยมปลาย แต่ทุกคนที่นี่ดูหน้าโทรมเพราะทำงานหนัก
ผู้กำกับชินดงชุนเกาคางอย่างเสียดาย
‘ฉากนี้ฮันอินโฮต้องออกมาดูเท่ ฉันก็อยากทำให้มันดูยิ่งใหญ่มากกว่านี้หน่อย...เวรเถอะ ทำไงได้ คงต้องปล่อยมันไปแบบนี้สินะ’
ทันใดนั้นเอง
“ผู้กำกับครับ”
เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากข้างหลังผู้กำกับชินดงชุน เมื่อเขาหันกลับไปก็เห็นคังวูจินในชุดนักเรียนยืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผู้กำกับชินดงชุนยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นทันที
“โอ้ วูจินแต่งหน้าเสร็จแล้วเหรอ?”
“ครับ แต่ผมบังเอิญได้ยินที่คุยกันน่ะครับ”
“อืม”
"คือว่าอยากจะเพิ่มนักแสดงที่เล่นเป็นอันธพาลอีกสักคนเหรอครับ?"
"อ่า จริงๆ ตอนนี้ก็พอแล้วล่ะครับ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็อยากได้คนที่ดูร้ายๆ กว่านี้อีกหน่อยน่ะครับ ความโลภของผมล้วนๆ เลย ฮ่าๆ แต่เอาเถอะ เอาแบบที่พอไหวก็ดีแล้วครับ"
"..."
วูจินจ้องมองผู้กำกับชินดงชุนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวหลบเล็กน้อยแล้วชี้นิ้วไปทางใครบางคน
"ถ้างั้น... ผู้จัดการของผมเป็นยังไงบ้างครับ?"
"...ผู้จัดการ? ใครเหรอ?"
ปลายนิ้วของวูจินชี้ไปที่ชายร่างกำยำคนหนึ่ง คังวูจินแนะนำคิมแดยองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
"คุณคิมแดยองครับ"
ทันใดนั้น ดวงตาของคิมแดยองก็เบิกกว้าง แทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขามองคังวูจินด้วยสายตาอาฆาต
'อะไรวะ นี่มันเรื่องบ้าอะไร!!'
แน่นอนว่าคังวูจินไม่สะทกสะท้านเลยสักนิด วูจินมองข้ามสายตาของคิมแดยองไป แล้วหันไปพูดกับผู้กำกับชินดงชุนอีกครั้ง
"เขาเคยอยู่ชมรมการแสดงมาพักใหญ่ๆ แล้วนะครับ น่าจะมีประสบการณ์การแสดงอยู่บ้าง"
คังวูจินยังจำความฝันที่คิมแดยองเคยเล่าให้ฟังได้ มันเป็นเรื่องที่คุยกันในวงเหล้าเมื่อนานมาแล้ว
'นี่ คิมแดยอง ทำไมแกถึงมาเล่นละคร? เพื่อสนุกเหรอ?'
'เพื่อสนุกสิ ฉันอยากจะลองยืนอยู่หน้ากล้องสักครั้ง ไม่ใช่แค่ตัวประกอบเดินผ่านๆ นะ แต่อยากได้บทตัวประกอบที่มีบทพูดด้วย ถือว่าเป็นความฝันเลยล่ะ'
'ตัวประกอบที่มีบทพูด... แบบนั้นมันง่ายหรือยากล่ะ? ฉันไม่รู้เรื่องวงการบันเทิงพวกนี้หรอก'
'ยากอยู่แล้วสิ มันก็เลยเป็นแค่ความฝันไงล่ะ'
'เกิดเป็นผู้ชายทั้งที ก็น่าจะลองเหยียบคันเร่งให้มิดซะหน่อยสิ ชนมันเลย!'
'หัวฉันแตกพอดี ฮ่าๆ ช่างเถอะ กินเหล้ากันต่อดีกว่า'
เขาต้องการให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่การฝืนใจ แถมสถานการณ์ก็เป็นใจ คิมแดยองกับผู้กำกับชินดงชุนต่างได้ประโยชน์ทั้งคู่
‘แต่ถ้าผู้กำกับไม่ชอบ ก็จบกันแค่นี้’
คังวูจินเสริมอย่างไม่ยี่หระ
“ดูก็รู้ว่ารูปร่างดี คุณผู้กำกับว่าไงครับ”
ผู้กำกับชินดงชุนลูบคางครุ่นคิดกับคำถาม
-สวบ
เขาเดินเข้าไปหาคิมแดยองที่ยืนทำหน้าเลิ่กลั่ก ผู้กำกับชินดงชุนจ้องมองคิมแดยอง อายุอานามอาจจะมากไปหน่อย แต่เรื่องแค่นี้เมคอัพช่วยได้
‘ยังไงซะ หน้านี่ก็ดีกว่าทีมงานคนอื่นๆ เอามาเสริมทีมแบบนี้คนดูไม่ตะขิดตะขวงหรอก ตัวใหญ่แบบนี้เข้าฉากทีภาพคงอลังการน่าดู เล่นชมรมการแสดงมาก่อนประสบการณ์ก็คงพอมี’
ผู้กำกับชินดงชุนคิดว่าใช้ได้จึงถามคิมแดยอง
“ไหวไหมครับ ยังไม่คอนเฟิร์มนะ ต้องลองถ่ายซักสองสามคัตดูก่อน ว่าไง สนใจไหม?”
“······”
คิมแดยองนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง
-กึก
สายตาเขาสบเข้ากับคังวูจินที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกตื้นตันแล่นเข้ามาจนเขาเปล่งเสียงตอบอย่างยากลำบาก
“ไหว···ครับ ผู้กำกับ”
ดวงตาคมกริบของคิมแดยองเริ่มแดงก่ำ คังวูจินแอบเห็นเข้า
‘นี่มันจะร้องไห้หรือไงวะ ไอ้บ้านี่ตัวใหญ่ขนาดนี้ ใจอย่างกับอะไร’
วูจินแอบขำอยู่ในใจ เขาเลยแอบสะกิดคิมแดยองเบาๆ คิมแดยองสะดุ้งหันไปมองคังวูจินที่ยืนอยู่ด้านขวา แล้วก็เหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
แล้วเขาก็ตะโกนเสียงดังฟังชัดไปยังผู้กำกับชินดงชุน ผู้ชายหน้าเหลี่ยมที่ยืนอยู่ข้างหน้า
“ผมทำได้ครับ!”
ชินดงชุน ผู้กำกับที่เพิ่งจะเผยรอยยิ้มตรงมุมปาก ตบบ่าคิมแดยองเบาๆ
“โอเค ลองดูงั้นมาดูเรื่องชุดกันก่อนดีกว่า”
ผู้กำกับชินดงชุนถามทีมงานที่อยู่ใกล้ๆ ทันที
“ชุดนักเรียนเรามีไซส์ใหญ่สุดเท่าไหร่”
ณ เวลานี้ ที่ญี่ปุ่น
ในวงการบันเทิงญี่ปุ่น ต่างก็พูดถึงเรื่อง ‘ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล’ ที่เพิ่งเข้า Netflix เมื่อประมาณหนึ่งอาทิตย์ก่อนเป็นอย่างมาก ทั้งสื่อ บริษัทโปรดักชั่น เอเจนซี และนักแสดง
โดยเฉพาะในหมู่นักแสดงญี่ปุ่นด้วยกันเอง ต่างก็พูดถึงเรื่อง ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยา กันไม่หยุดปาก
“ช่วงนี้น่ะเหรอผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยา ของเกาหลี? ที่เป็นกระแสร้อนแรงน่ะเหรอ? ยังอยู่อันดับหนึ่ง Netflix อยู่หรือเปล่านะ”
“ก็แค่ดังตอนเปิดตัวอาทิตย์แรกเท่านั้นแหละ ละครเกาหลีที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอไง?”
“นั่นสินะ ก็แค่เป็นที่สนใจตอนเปิดตัวช่วงแรกๆพอผ่านไปสักพัก อันดับก็ร่วงกันหมดแหละ”
“เดี๋ยวก็เงียบไปเอง”
เสียงตอบรับมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ถ้าลงลึกไปกว่านั้น มุมมองในแง่ลบมีมากกว่าเพราะยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ กระแสความนิยมของเกาหลีก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
แต่ความนิยมของผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาในญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง
ยิ่งนานวันกระแสปากต่อปากในหมู่คนญี่ปุ่นก็ยิ่งแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งตั้งแต่เปิดตัวยังคงครองตำแหน่งอย่างเหนียวแน่น ไม่หวั่นไหวไม่ธรรมดาเสียแล้ว มันเกินกว่าจะเป็นกระแสแค่ช่วงเปิดตัวไปแล้ว
ก็แน่ล่ะ ก็ดูสิ
- 『ละครเกาหลี ‘ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล’ กวาดอันดับ 1 Netflix ความนิยมพุ่งสูงขึ้น』
ฝั่งญี่ปุ่นเองก็เริ่มที่จะหยิบยกเรื่องราวนิติวิทยาศาสตร์มาพูดถึงกันอย่างจริงจังเสียที เห็นได้ชัดว่ากระแสตอบรับจาก 'ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล' นั้นดีเกินคาด ไม่ใช่แค่กลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่ยังดังไกลไปถึงคนดูในหลากหลายช่วงวัยอีกด้วย
『ละครสืบสวนสอบสวนสไตล์เกาหลี「ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล」 กลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็วบนโลกโซเชียล』
แม้ก่อนหน้านี้จะมีละครเกาหลีหลายเรื่องที่ได้เข้าฉายในญี่ปุ่นมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่า 'ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาเสเพล' จะสร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ความคลั่งไคล้นี้เห็นได้ชัดจากโลกโซเชียลและคอมมูนิตี้ต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ยังมีการพูดถึงละครเรื่องนี้ในรายการวาไรตี้ของญี่ปุ่นด้วย
“เอ่อ... มีใครดู 'ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาเสเพล'บ้างมั้ย? เมื่อคืนฉันดูเพลินจนเกือบไม่ได้นอนเลย”
“ฉันดูอยู่จ้า! รักรองหัวหน้าพัคที่สุดเลย!”
“มิโกะจัง นี่เธอรู้ดีนี่นา! ฉันก็รักรองหัวหน้าพัคเหมือนกัน!”
สถานการณ์เป็นแบบนี้ ผู้กำกับเคียวทาโร่จะอยู่เฉยได้อย่างไร ในขณะที่เขากำลังวุ่นอยู่กับการคัดเลือกนักแสดง เคียวทาโร่ก็รู้สึกยินดีกับความนิยมของ 'ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาเสเพล' เป็นอย่างมาก
“แบบนี้มีหวัง ก่อนที่หนังของเราจะเข้าฉาย คังวูจินก็คงดังไปทั่วญี่ปุ่นแล้วล่ะมั้ง”
เขาหมายถึงกระแสตอบรับของคังวูจินนั่นเอง
และแล้ว การประชุมทีมงานรายการทอล์คโชว์ชื่อดังรายการหนึ่งของญี่ปุ่นก็ได้หยิบยก 'ผู้เชี่ยวชาญนิติวิทยาเสเพล' ขึ้นมาพูดคุย พวกเขากำลังอยู่ในช่วงของการคัดเลือกหัวข้อสำหรับรายการ
- ช่วง 'ต่างประเทศ' เทปหน้า เราจะเอาเรื่องอะไรมาพูดกันดีนะ?
- เทปที่แล้วที่เราไปถ่ายทำที่ฮอลลีวูด กระแสตอบรับค่อนข้างเงียบเหงา อาจเป็นเพราะเราไม่มีแขกรับเชิญ และดำเนินรายการโดยใช้วิดีโอประกอบอย่างเดียวก็ได้นะครับ
“เอ่อ... งั้นคราวนี้ลองเป็น ‘ละครเกาหลีรายสัปดาห์’ ดูมั้ยครับ? ช่วงนี้ ‘ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยาเสเพล’ ทาง Netflix ก็กำลังเป็นกระแสอยู่ คนพูดถึงกันเยอะเลย”
“อ๋อ... ละครเรื่องนั้นเหรอ? ฉันก็เห็นผ่านๆ ตาอยู่บ้างนะ กระแสแรงจริงแหละ แต่ว่านักแสดงนำค่าตัวแพงน่าดูเลยสิ?”
“ลองชวนพวกตัวร้ายมาออกรายการดูเป็นไงครับ?”
ไอเดียนี้ก็น่าสนใจดีนี่นา
“ตัวร้ายใน ‘ผู้เชี่ยวชาญนิติจิตวิทยา’ อย่างเดียวเลยเหรอ?”
จบ