บทที่ 109 ดอกซากุระร่วงโรย (2)
[_แปลโดยแฟนเพจ ยักษา_แปร_มาติดตามในแฟนเพจ_เพื่อติดตามข่าวสารได้นะ.]
[_Thai-novel _ลงไวกว่าที่อื่น.ทุกที่ 5 ตอนแต่_จะราคาแพงที่สุด_]
[_หลังแปลจบจะมีการแก้ไขคำอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น_อีกครั้ง ถ้าอ่านแบบเถื่อนหรือแชร์กันเป็นคณะ_100คน. ก็อ่านไปครับ เพราะผมจะแก้แบบแปลใหม่อีกรอบแค่ในThai-novel กับเว็บอื่น ๆ และแหล่งที่ผมแปลครับ ส่วนคนที่อ่านที่อื่นก็จะได้อ่านแบบเวอร์ชั่นแรกไปนะครับ_]
บทที่ 109 ดอกซากุระร่วงโรย (2)
"วูจิน คุณฮวาลิน ภาพสวยมากเลยครับ" ผู้กำกับชินดงชุนยิ้มน้อยๆ กับคำถามของตากล้อง ในขณะที่ใบหน้ายังคงจดจ้องอยู่ที่มอนิเตอร์
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกก็ก่อตัวขึ้นท่ามกลางทีมงาน
"รู้สึกสดชื่นแปลกๆ ใช่มั้ย? ถ้าใส่ฟิลเตอร์เสียงกับภาพสวยๆ เข้าไปอีก นี่มันต้องแบบ ดูดีสุดๆ แน่เลย"
"ภาพลักษณ์ของนักแสดงเข้ากับบทมาก บรรยากาศหนังรักเลยดูมีชีวิตชีวาขึ้นเป็นกองเลย ดีจริงๆ"
ฉากแรก เทคแรก เพิ่งจะเปิดกล้องไปแค่นี้ ทีมงานก็หลงใหลไปกับภาพลักษณ์ของ ‘เพื่อนชาย’ เข้าเสียแล้ว ทำให้รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏชัดขึ้นบนใบหน้าของผู้กำกับชินดงชุน
'แค่ทีมงานในกองยังรู้สึกขนาดนี้ แล้วคนดูจะขนาดไหนกัน'
จุดขายของ ‘เพื่อนชาย’ คือความรู้สึกหวั่นไหวก็จริง แต่สิ่งที่นักเขียนชเวนานา ผู้เขียนบท เล็งเอาไว้มีอย่างอื่นอีก นั่นคือ ช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนที่ทุกคนล้วนผ่านมาแล้วหรือกำลังจะได้พบเจอ ความรู้สึกหรือความทรงจำที่มีในช่วงวัยนั้น
เรื่องราวที่ทำให้รู้สึกอินไปกับปัจจุบันหรือกระทั่งดึงความรู้สึกนั้นออกมาได้
ผู้กำกับชินดงชุน ผู้ได้รับมอบหมายให้กำกับ ‘เพื่อนชาย’ ซึ่งมีทั้งความอบอุ่นใจและกลิ่นอายแฟนตาซีเจือจางก็รู้สึกเช่นกัน
"คัท! โอเคครับ ไปฉากต่อไปกันเลย!"
เขาเอ่ยสั่งการไปทั่วห้องโถง ทีมแต่งหน้ารีบตรงไปหาคังวูจินกับฮวาลิน ในขณะที่นักแสดงประกอบกว่า 80 ชีวิตที่ยืนกันอยู่ก็ขยับเขยื้อนไปพร้อมเพกันอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้คังวูจินกับฮวาลินยืนอยู่ตามลำพังในห้องโถง
มันเป็นหนึ่งในวิธีการกำกับภาพ
ในภาพ นักเรียนคนอื่นๆ หายไปหมด แต่ในบท ทุกคนยังอยู่เหมือนเดิม เป็นการกำกับที่เน้นไปที่การแสดงออกและความคิดของฮันอินโฮกับอีโบมิน เพื่อดึงความสนใจของคนดูให้โฟกัสไปที่ตัวละครทั้งสอง จากภาพที่มีนักเรียนอยู่เต็มไปหมด
ไม่นานนัก
“ฮันอินโฮ โอเคครับ!”
“อีโบมินด้วยค่ะ!”
ผู้กำกับชินดงชุนได้รับสัญญาณว่าการแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงหยิบโทรโข่งขึ้นมาประกาศอีกครั้ง
“เทค แอ็กชัน!”
กล้องจับภาพที่คังวูจินเป็นคนแรก ดวงตาของเขาดูแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย คงเพราะเพิ่งหาวไปเมื่อครู่นี้ ใบหน้าดูง่วงงุนเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ เฉยชา ไร้ความรู้สึกคังวูจินในแบบที่เรารู้จักดี เขาเอามือขึ้นลูบผมอย่างเบื่อหน่าย
ฟึบ
คังวูจินกำลังสวมบทบาท ‘ฮันอินโฮ’ ได้อย่างถึงแก่น
ต่อด้วยฮันอินโฮที่กำลังกะพริบตาปริบๆ แม้บรรยากาศในหอประชุมจะเงียบสงบ แต่ในโสตประสาทของเขากลับดังก้องไปด้วยเสียงปราศรัยของคุณครูใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแปลกใหม่สำหรับเขา แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยโอกาส เหมือนกับตัวตนของฮันอินโฮที่ถูกโยนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้
ถึงกระนั้น ฮันอินโฮก็ดูไม่ได้สนใจพิธีปฐมนิเทศสักเท่าไหร่
‘ครูใหญ่หัวล้านนี่จะพูดจบตอนไหนกันนะ’ ฮันอินโฮเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเขาดูว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ สิ่งที่กล้องบันทึกเอาไว้ได้ในตอนนี้ คือความคิดที่ว่างเปล่าภายในหัวของเขา
และในวินาทีนั้นเอง…
พรึ่บ!
จากที่จ้องมองครูใหญ่อย่างไม่ใส่ใจ ดวงตาของฮันอินโฮก็พลันเคลื่อนไหว เขาหันไปเห็นอีโบมินที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง ก่อนที่กล้องจะเคลื่อนตามสายตาของเขาไป แต่เพียงชั่วครู่สายตานั้นก็กลับมามองตรงข้างหน้าดังเดิม
“...ยัยนั่นทำอะไรของเธอน่ะ”
ความสนใจที่เคยดับสูญไปแล้ว ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งโดยอีโบมิน หญิงสาวเพียงคนเดียวในหอประชุมแห่งนี้ที่สามารถกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาได้ ฮันอินโฮจึงแอบชำเลืองมองเธออีกครั้ง
‘แต่งเพลงบ้าบออะไรของเธอน่ะ’
ไม่ต้องไปสนใจหรอก ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวก็โดนดุเอง ถ้าได้ดูตอนนั้นก็คงสนุกดีเหมือนกันนะ ฮันอินโฮเบนสายตาไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่ก็ยังคงสั่นไหวเล็กน้อย จะดูดีไหมนะ หรือว่าไม่ดูดีกว่า แต่ว่า... แค่แป๊บเดียวก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในดวงตาของเขา
ความรู้สึกที่แม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ตัว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่และไม่คุ้นเคย กำลังขับเคลื่อนให้ดวงตาของเขาสั่นไหว
สุดท้ายแล้ว...
กึก
สายตาของฮันอินโฮก็กลับไปจับจ้องที่อีโบมินอีกครั้ง คราวนี้...
"อ้าว"
อีโบมินก็มองมาที่ฮันอินโฮเช่นกัน ต่างจากเมื่อครู่ที่เธอไม่ได้หันมามอง ทั้งสองสบตากัน กล้องจับภาพทั้งคู่สลับกันไปมา สายตาที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นราว ๆ ห้านาที ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไรกันนะ? ฮันอินโฮที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ตัว จึงเลือกที่จะซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้
จากนั้น...
"แดกซะ"
ฮันอินโฮชูนิ้วกลางใส่อีโบมิน นี่มันอะไรกันเนี่ย? บ้าไปแล้วหรือไง? อีโบมินทำเสียงจึ๊จ๊ะด้วยความงุนงง ก่อนจะแลบลิ้นใส่เขา สงครามไร้เสียงของทั้งคู่เกิดขึ้นไม่นานนัก อีโบมินก็หันหน้าหนีไปเหมือนคนงอน
ฮันอินโฮมองการกระทำนั้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
"งอนอีกแล้วเหรอ?"
เขาพึมพำเบา ๆ สิ่งที่น่าสนใจคือ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าเรียบเฉยของเขา มันเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น แต่แอบแฝงไปด้วยความสนุกและความรู้สึกที่จริงใจ
แน่นอนว่าฮันอินโฮ...
"ปล่อยมันไปเถอะ เดี๋ยวก็หายเองแหละ"
ยังไม่รู้ตัวว่าความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้คืออะไร ความรู้สึกแปลกใหม่แบบนี้เต็มไปหมดในใจของฮันอินโฮ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้กับคนที่ได้พบเห็น ชวนให้ใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
สิ่งที่พิสูจน์ได้ดีที่สุดก็คือ ปฏิกิริยาของทีมงานเบื้องหลังที่กำลังดูภาพที่ถ่ายทำกันอยู่นี่แหละ
"คังวูจิน...โคตรน่ารักเลยว่ะ"
"จริงป่ะล่ะ? เมื่อกี้ตอนยิ้มนี่แบบ โคตรหวงเลย"
“เหมือนจะมีความซึนเดเระของรุ่นน้องกับอารมณ์ของรุ่นพี่ผสมกันอยู่นะคะเนี่ย เฮ้อ เห็นแล้วแทบบ้าตาย”
“รุ่นน้องแบบนั้นมามองตรงๆแบบนั้น ใครจะไปทนไหว”
ส่วนใหญ่จะเป็นเสียงของผู้หญิง
เช้าวันต่อมาในยามสาย อันยาง
ทีมถ่ายทำ ‘เพื่อนชาย’ ที่เพิ่งผ่านการถ่ายทำวันแรกไปได้ด้วยดี ได้มาปักหลักกันที่สวนสาธารณะกว้างใหญ่แห่งหนึ่งของอันยาง สถานที่ที่พวกเขาเลือก คือ ที่ที่เรียกกันว่า ‘ถนนดอกซากุระ’ ซึ่งอยู่ภายในสวนสาธารณะ ต้นซากุระเรียงรายเป็นแถวอยู่สองข้างทางที่ทอดยาวเป็นเส้นตรง
ถนนดอกซากุระแห่งนี้ได้รับเลือกขึ้นมา หลังจากที่ทีมงานได้เสาะหาสถานที่ถ่ายทำที่มีชื่อเสียงเรื่องดอกซากุระมากมายทั่วประเทศ
เหตุผลที่เลือกก็เรียบง่าย นั่นก็คือ ที่นี่คล้ายคลึงกับภาพในบทภาพยนตร์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของทีมถ่ายทำในสวนสาธารณะ ทำให้มีผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาพากันมามุงดู
“โอ๊ยๆ ที่นี่เขากำลังถ่ายอะไรกันน่ะ!”
“อะไรนะ? ละคร? หนัง?”
“มีดาราคนไหนมาบ้าง มองเห็นไหม?”
ทว่า การควบคุมผู้ชมเริ่มต้นตั้งแต่ระยะไกลจากจุดถ่ายทำพอสมควร จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายในได้ชัดเจน แล้วทำไมทีม ‘เพื่อนชาย’ ถึงได้มาถ่ายทำกันที่กลางแจ้งแบบนี้ แทนที่จะเป็นโรงเรียนมัธยมปลายล่ะ? คำตอบนั้นเรียบง่าย
เพื่อถ่ายทำฉากแรกในบท ‘เพื่อนชาย’ นั่นเอง
กล่าวคือ เป็นฉากปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต ฉากที่ฮันอินโฮและอีโบมินในปัจจุบันได้เผยความรู้สึกที่แท้จริงต่อกันเป็นครั้งแรก
และเป็นฉากจูบที่จะยิ่งทำให้ความรู้สึกที่ส่งถึงกันนั้นทวีคูณ
ถ้ามองภาพรวมแล้ว นี่เป็นฉากที่สำคัญอย่างยิ่ง หรืออาจจะเรียกได้ว่า เป็นฉากที่จะกำหนดความรุ่งเรืองหรือล่มสลายของ ‘เพื่อนชาย’ เลยทีเดียว
“กลีบดอกซากุระพร้อมแล้วครับ!”
“ไหน?! เฮ้ย ไม่ได้! เอาไปเพิ่มอีกสักสองสามกล่อง! อย่าให้ต้องทำงานซ้ำซ้อนกลางกองถ่ายนะ!”
“ครับ!”
“นั่นใครที่อยู่ข้างหลังน่ะ ทีมงานเรารึเปล่า?!”
“เหมือนจะเป็นคนที่ผ่านไปผ่านมานะครับ!”
“ทำไมล่ะ?? จะยืนดูกันอีกนานไหม?! กล้องจะจับแล้ว ช่วยหลบไปหน่อยได้ไหมขอร้องเถอะนะ กราบล่ะ!”
เหล่าทีมงานหลายสิบชีวิตต่างก็ทุ่มเทให้กับการเตรียมถ่ายทำอย่างขะมักเขม้น แน่นอนว่ารวมถึงผู้กำกับชินดงชุน ผู้ควบคุมการถ่ายทำทั้งหมดด้วย
-“เอาล่ะ ลองเปิดพัดลมตัวนั้นดูหน่อย! 2 ตัวเลย!”
ตอนนี้ ผู้กำกับชินดงชุน กำลังตรวจสอบพัดลมที่ติดตั้งเอาไว้ มันเป็นอุปกรณ์ที่จะทำให้กลีบดอกซากุระปลิวไสวอย่างงดงาม
“แรงกว่านี้ได้ไหม??เออโอเค! ลองเป่ากลีบซากุระดูหน่อย!”
อีกไม่นานจะเริ่มซ้อมและโปรยกลีบดอกซากุระ ทว่ากลีบดอกซากุระที่เตรียมไว้ในกล่องล้วนแต่เป็นของปลอมทั้งหมด มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะตอนนี้เป็นช่วงกลางเดือนกรกฎาคม อากาศร้อนแบบนี้จะมีดอกซากุระได้ยังไง แต่ฤดูของ ‘เพื่อนชาย’ คือฤดูใบไม้ผลิทีมงานจึงต้องสร้างบรรยากาศที่ใกล้เคียงออกมาให้ได้
“ผู้กำกับ เป็นยังไงบ้างครับ?!”
“อืม…ใช้ได้อยู่นะลองถ่ายทำดูก่อนแล้วค่อยมาดูภาพกันอีกที”
“จะให้ติดกลีบดอกซากุระที่ต้นไม้ด้านหลังเพิ่มไหมครับ??”
“ถ้าจะติดก็ต้องติดให้หมดนั่นแหละสิ?? แบบนั้นกว่าจะถ่ายเสร็จก็คงเช้ายังต้องทำความสะอาดอีกเอาเป็นว่าใช้ CGใส่ฉากหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกัน”
“ครับผม!”
โชคดีที่ Netflixทุ่มงบประมาณให้ค่อนข้างเยอะทำให้สามารถใช้งบประมาณไปกับเทคนิคพิเศษได้มากจึงไม่มีปัญหาอะไร
ขณะที่ทีมงานกำลังทุ่มเทกับการจัดเตรียมฉากหลัง…
“...”
คังวูจินนั่งอยู่เงียบๆใต้ร่มไม้ในจุดถ่ายทำ เขากำลังก้มมองบทในมือใบหน้าเรียบเฉยไขว่ห้างอย่างสบายๆ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนส์ซึ่งเป็นชุดที่เหมาะกับฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ผลิ แถมยังเซ็ตผมมาอย่างดีอีกด้วย บรรยากาศรอบตัวดูสงบนิ่งและผ่อนคลาย
เหล่าทีมงานที่เดินผ่านไปมาต่างก็พากันชื่นชมในความหล่อเหลาของเขา
“วูจิน ทั้งที่เขาเล่นซีรีส์โรแมนติกครั้งแรกว่าไหม? ทำไมดูเฉยจัง”
“ฉันได้ยินมาจากผู้กำกับ วูจินเขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ค่อยตื่นเต้นกับอะไรสักเท่าไหร่”
“แต่ว่า... ก็อีกเดี๋ยวก็จะมีฉากจูบแล้วไม่ใช่เหรอ? แถมยังปรับบทให้ดูอินเลิฟกว่าเดิมอีก”
“ก็นะ คงจะต่างกันมากอยู่เหมือนกัน ถ้าเป็นฉัน ฉันคงทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้แน่”
ที่จริง…ไม่เลยสักนิด
‘ไม่สิ เดี๋ยวก่อน’
ความจริงแล้วตอนนี้คังวูจินกำลังพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อรักษาคอนเซปต์หน้านิ่งเอาไว้ต่างหาก
‘จะบ้าตาย ใจเต้นจะแย่แล้ว’
หัวใจเต้นโครมครามจนแทบอาเจียน ความรู้สึกคลื่นไส้ถาโถมเข้ามา เพราะในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง ช่างมันกับความสำเร็จของผลงานไปก่อน แต่ที่เลือกรับเล่น ‘เพื่อนชาย’ ก็เพราะฉากจูบนี่แหละ ฮวาลิน ไอดอลสาวสวยระดับท็อปของวงที่ฮอตที่สุด ดาราดังที่จู่ๆก็มาร่วมแสดงด้วย
อีกไม่นานก็จะถึงคิวถ่ายทำฉากจูบกับเธอแล้ว
‘เอาจริงดิ? จะถึงแล้วเหรอ? ว้าว โอ้โห นี่มันไม่จริงใช่ไหม?’
คังวูจินพยายามทำสีหน้าเรียบเฉย แม้ภายในใจจะรู้สึกเหมือนกำลังฝัน แต่ภาพตรงหน้ากลับชัดเจนขึ้นทุกที บรรยากาศโดยรอบค่อยๆถูกจัดเตรียมเพื่อเข้าฉากจูบ ทั้งการติดตั้งกล้อง เซ็ตไฟ ทดสอบพัดลม ตรวจสอบการโปรยกลีบดอกซากุระ เช็กระบบเสียง และผู้คนที่มามุงดูอยู่ไกลๆ
จะอธิบายความรู้สึกนี้ยังไงดีนะ
‘บ้าไปแล้ว’
ปลายนิ้วของวูจินสั่นเทา รยูจองมินกับฮงฮเยยอนจะนิ่งได้แบบนี้ไหมนะ? ฮ่า ไม่รู้สิ จะว่าไปแค่ไม่กี่เดือนก่อนยังเป็นแค่ดาราสาวที่เห็นแต่ในทีวี เป็นผู้หญิงที่ปรากฏอยู่ในจินตนาการเท่านั้น แต่นี่อะไร? จะต้องมาถ่ายฉากจูบกับเธอเนี่ยนะ? รู้ทั้งรู้อยู่แล้วตอนที่เลือกรับเล่น แต่ลึกๆในใจเขากลับแอบหวังลมๆ แล้งๆ ว่าวันนี้จะมาถึง
‘ฉันนี่โคตรสุดยอดไปเลย’
ถึงมันจะเพียงแค่การแสดงเท่านั้น แต่สำหรับคังวูจิน มันคือช่วงเวลาที่น่าจดจำไปชั่วชีวิต และในตอนนั้นเอง…
ตุบ
ใครบางคนมาตบบ่าคังวูจินที่กำลังนั่งอยู่ วูจินสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองก็พบว่าเป็นชเวซองกุนที่มัดผมหางม้ายืนอยู่ ด้านหลัง มีทีมงานของคังวูจินรวมถึงคิมแดยองร่างยักษ์ ที่มาช่วยงานในวันนี้ด้วย
ชเวซองกุนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เอ่ยถามวูจิน
“จะถามว่าเป็นไงบ้าง แต่ดูจากสีหน้าแล้ว คงเฉยๆ ใช่ไหมล่ะ?”
ไม่เลย ผมอยากจะอ้วกมาก แต่ในเมื่อไม่สามารถพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ วูจินจึงตอบกลับอย่างเคร่งขรึม
“ก็มันแค่การแสดงนี่ครับ”
“ฮ่าๆ ใช่ๆ แค่การแสดง อีก 10 นาทีเริ่มถ่ายทำนะ”
“ครับ ท่านประธาน”
เมื่อพูดจบ ชเวซองกุนก็เดินจากไป ฮันเยจองกับจางซูฮวานก็เช่นกัน มีเพียงคิมแดยองร่างยักษ์ที่มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ วูจิน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา
“นี่ คังวูจิน”
เป็นคำพูดที่แสนจริงใจ
‘แม่งโคตรอิจฉาเลยว่ะ’
คังวูจินแสร้งทำเป็นอ่านบท ก่อนจะตอบกลับไป
“หุบปากไปเลย ใจฉันจะวายอยู่แล้ว”
‘อิจฉา อิจฉาฉิบหาย’
คิมแดยองถอนหายใจยาวอย่างคนเพิ่งรู้ตัว ก่อนจะยื่นบางอย่างให้วูจินอย่างลับๆ พร้อมกับขวดน้ำ เป็นน้ำยาบ้วนปากขวดเล็ก
“เห็นตอนไปซื้อขนม เลยซื้อมาให้ บ้วนปากเยอะๆ แล้วค่อยเข้าฉากละกัน”
“······โอเค”
หลังจากทิ้งท้ายด้วยคำว่า ‘อิจฉา’ เป็นครั้งสุดท้าย คิมแดยองก็เดินจากไป วูจินเปิดฝาน้ำยาบ้วนปากอย่างเงียบๆ แล้วบ้วนปากอย่างพอประมาณ เขาทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ในขณะเดียวกัน…
“ฮวาลิน ต้นไม้นี้โอเคไหมครับ? ถ่ายทำตรงนี้เสร็จก็ไปหาฮันอินโฮต่อ”
“ค่ะ ผู้กำกับ”
ฮวาลินในชุดเสื้อแจ็กเก็ตสีเขียวกำลังซ้อมบทกับผู้กำกับชินดงชุนอย่างผ่อนคลาย เมคอัพของเธอเข้มขึ้นเล็กน้อยต่างจากตอนสมัยมัธยม ปล่อยผมยาวสลวย ผู้กำกับชินดงชุนถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“······โอเคไหมครับ? ผมโลภอยากได้ฉากที่ดูลึกซึ้ง เลยปรับบทนิดหน่อย ถ้ารู้สึกกดดันที่ต้องเล่นแบบถึงพริกถึงขิงแบบนี้ บอกตอนนี้ยังทันนะ เดี๋ยวผมปรับบทให้ซอฟต์ลง”
จริงๆ แล้วฉากนี้ไม่ใช่แค่คังวูจิน แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ฮวาลิน การระเบิดอารมณ์ของเธอคือสิ่งสำคัญ ผู้กำกับชินดงชุนจึงใส่ใจความรู้สึกของฮวาลินเป็นพิเศษ
แต่ฮวาลินกลับดูมั่นคง
“ไม่เป็นไรค่ะผู้กำกับ ฉันไม่กดดันหรอกค่ะ แค่แสดงก็เท่านั้น”
เธอยิ้มออกมา ทำให้ผู้กำกับชินดงชุนเบาใจ
“โล่งอกไปที ถ้ารู้สึกไม่ไหวบอกได้เลยนะครับ”
“ค่ะ ได้เลยค่ะ”
ตอนนี้ฮวาลินตั้งใจแน่วแน่แล้ว หรือจะพูดให้ถูกคือตั้งแต่ตอนอ่านบทต่างหาก แม้หัวใจจะเต้นแทบระเบิดเมื่อได้เจอคังวูจิน ผู้ชายที่เธอรักที่สุด
‘ดูเหมือนจะดีขึ้นนะ ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าตอนนั้นแล้ว อื้ม ฉันทำได้ เล่นบทแบบถึงเนื้อถึงตัวได้ ฉันต้องถ่ายทำออกมาให้ดี มันก็แค่การแสดง ใช่แล้ว การแสดง’
เพื่อที่จะเป็นติ่งตัวแม่ที่แท้จริง เธอต้องแสดงฉากนี้ออกมาให้ดีที่สุด ดังนั้นตอนนี้ฮวาลินจึงมุ่งมั่นยิ่งกว่าก้อนหิน
ไม่นานนัก
“เอาล่ะ! อีก 5 นาทีเริ่มถ่ายทำครับ!”
เสียงตะโกนของผู้กำกับชินดงชุนดังขึ้น ทำให้สตาฟทั้งหลายและคังวูจินต่างก็เร่งมือกันอย่างรวดเร็ว ฮวาลินที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วก็ร่วมวงบ้วนปากด้วยเช่นกัน จากนั้นจึงทาลิปบาล์มกลิ่นสตรอว์เบอร์รีและฉีดน้ำหอมเพิ่มความมั่นใจ
เท่านี้ล่ะนะ
“นักแสดงสมทบเข้าประจำที่ด้วยครับ!”
นักแสดงสมทบที่คอยเติมเต็มฉากหลังก็ทยอยกันเข้าประจำตำแหน่ง
สวบ
คังวูจินและฮวาลินยืนเผชิญหน้ากันเบื้องหน้ากล้อง บรรยากาศดูอึดอัดเล็กน้อย คังวูจินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“···ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
ฮวาลินกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะเสยผมยาวของเธอไปด้านหลัง พลางส่งยิ้มแปลกๆ
“ค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ คุณวูจิน”
ขนลุกชะมัด วูจินรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ กับประโยคสั้นๆ ของฮวาลิน โอ้ย บ้าจริง ทำไมต้องเขินขนาดนี้ด้วยเนี่ย แต่ตอนนี้ถอยหลังไม่ได้แล้ว เอาล่ะ ช่างมันแล้วกัน ตอนนี้ต้องลุยอย่างเดียว วูจินสูดหายใจเข้าปอด
“ฮึบ-”
ราวกับปลุกฮันอินโฮที่หลับใหลขึ้นมาอีกครั้ง วูจินปลดปล่อยความรู้สึกนั้นออกมาทั่วทั้งร่างกาย ความรู้สึกบริสุทธิ์สดใสไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ราวกับฮันอินโฮที่ถูกสลักไว้ในใจได้ปรากฏขึ้น
ในเวลาเดียวกันนั้น
“พัดลม!”
“ครับ!”
“กลีบดอกซากุระ!”
“ได้เลย!”
สตาฟที่อยู่หน้ากล้องตีสเลทดัง ป๊อก!
“เทค แอคชั่น!!”
ฮวาลิน หรือก็คืออีโบมินในตอนนี้ ยิ้มจนตาหยี ก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปยังต้นไม้ด้านหลัง เธอวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานใต้สายลม ท่ามกลางกลีบดอกซากุระที่โปรยปรายลงมา ฮันอินโฮมองดูภาพนั้นอย่างเงียบๆ
กล้องจับภาพใบหน้าด้านข้างของฮันอินโฮเอาไว้
ใบหน้าหล่อเหลาเผยความคิดมากมายปะปนกันไปหมด 'ที่นี่ที่ไหนกันนะ? ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้? แต่ก็น่าดูดีนี่นา น่ารำคาญชะมัด ยัยนั่นจะเล่นอยู่คนเดียวรึไง? ถึงจะน่ารักก็นะ อยากกลับบ้านแล้ว' แม้ไม่มีบทพูด แต่แววตา การกะพริบตา สีหน้า และการเคลื่อนไหวที่ดูนิ่งเฉย กลับเผยความในใจของฮันอินโฮออกมาได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้นเอง
“เฮ้! ฮันอินโฮ!”
อีโบมินวิ่งเข้ามาหาฮันอินโฮอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรอยยิ้มสดใสราวกับจะส่งต่อความสดชื่นให้เขา มือทั้งสองข้างของเธอประคองกลีบดอกซากุระเอาไว้ ก่อนจะหยุดลงตรงหน้าฮันอินโฮที่ยืนนิ่งงัน เธอยิ้มกว้าง
“ดูสิ”
เธอยื่นมือทั้งสองข้างที่ประคองกลีบดอกซากุระเอาไว้ตรงหน้าฮันอินโฮ ฮันอินโฮถอนหายใจเบาๆ
“จะให้ทำยังไง?”
“ก็! ดมสิ ดมกลิ่นหอมๆ ไง!”
ฮันอินโฮขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางพูดพึมพำ
“ไม่มีกลิ่นสักหน่อย”
อีโบมินขมวดคิ้ว เอาจมูกของตัวเองไปใกล้ๆ กับกลีบดอกซากุระ
“เข้าไปใกล้ๆ สิ! แบบนี้!”
“ไปไกลๆ เลย ยัยบ้า กลิ่นตัวเธอเหม็นจะตาย”
“อยากตายรึไง?”
อีโบมินพูดเสียงแข็งพร้อมกับคำขู่ 'ถ้าไม่ทำแบบนี้ มีหวังงอนฉันไปทั้งวันแน่' ฮันอินโฮไม่มีทางเลือกจึงค่อยๆ เอาจมูกเข้าไปใกล้กลีบดอกซากุระอย่างช้าๆ ทำให้ใบหน้าของเขากับอีโบมินอยู่ใกล้กันมาก ห่างกันเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส
ในชั่วขณะนั้นเอง
“...”
ฮันอินโฮได้กลิ่นหอมลอยมาแตะจมูก มันไม่ใช่กลิ่นของดอกซากุระ แต่เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของอีโบมินที่อยู่ใกล้ๆ หัวใจของฮันอินโฮเต้นแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือว่าจะเป็นหัวใจของคังวูจินกันนะ? ไม่รู้ทำไมเส้นแบ่งระหว่างตัวตนที่แท้จริงอย่างคังวูจินกับฮันอินโฮที่เขาสวมบทบาทอยู่ถึงได้เลือนลางขนาดนี้
ไม่ว่าจะเป็นหัวใจของใครก็ตาม แต่มันกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
ในวินาทีนี้ ทั้งฮันอินโฮและคังวูจินไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มีเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัว จนรู้สึกได้ถึงขมับที่เต้นตุบๆ
ฮันอินโฮในตอนนี้
กึก
ได้สบตากับอีโบมินที่อยู่ตรงหน้าจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ กล้องสองตัวจับภาพด้านข้างของทั้งคู่เอาไว้ ภาพบนมอนิเตอร์ฉายภาพความรู้สึกที่ชัดเจนของนักแสดงทั้งสอง ผู้กำกับชินดงชุนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
‘ตายละ ไอ้การแสดงออกที่ลึกซึ้งแบบนี้ พวกเขาทำออกมาได้ยังไงโดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย’
ทีมงานรอบๆ ต่างตื่นเต้นกันเล็กน้อย
อื้อหือ หหวานจนจะเป็นเบาหวานแล้ว
เขินจังเลย ภาพสวยมากจริงๆ
นี่มันการแสดงหรืออะไร ทำไมถึงรู้สึกว่าพวกเขารักกันจริงๆ
ในขณะที่ฮันอินโฮและอีโบมินที่สบตากันอยู่
“······”
“······”
ทั้งคู่ต่างเงียบ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยคำพูด สายตาจ้องมองกันและกัน แต่ความรู้สึกที่ส่งออกมาช่างแตกต่าง ความรู้สึกของฮันอินโฮนั้นดูลึกซึ้งกว่า ทั้งคู่สบตากันอยู่แบบนั้นประมาณ 5 วินาที สุดท้ายฮันอินโฮก็ไม่อาจต้านทานกระแสความรู้สึกในใจได้อีกต่อไป
สายตาที่ฮันอินโฮมองอีโบมินนั้นเต็มไปด้วยความรัก
จากนั้น
ฟึบ
ฮันอินโฮค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าหาอีโบมิน ผ่านซากุระที่ร่วงหล่นลงมาทับถมกันอยู่บนมือของเธอ กลีบดอกซากุระสัมผัสกับแก้มของฮันอินโฮ ทำให้ความรู้สึกลึกซึ้งนั้นยิ่งทวีคูณ
ไม่นานนักเขาก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากสีแดงสดของอีโบมิน
ริมฝีปากของฮันอินโฮแตะลงบนริมฝีปากของอีโบมินอย่างแผ่วเบา โลกทั้งใบหยุดหมุน ฮันอินโฮและคังวูจินต่างหยุดนิ่ง สิ่งที่ฮันอินโฮรู้สึกได้มีเพียงสัมผัสนุ่มละมุนที่ริมฝีปาก กลิ่นหอมหวานของสตรอว์เบอร์รี่ลอยโชยมาเตะจมูก
นั่นคือตอนนั้นเอง อีโบมิน ไม่สิ ฮวาลินเกิดอาการบางอย่างขึ้นกะทันหัน
“อึก!”
เธอสะดุ้งพร้อมกับสะอึก เสียงดังมาก ชั่วขณะนั้นคังวูจินที่ริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปากของฮวาลินก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
‘อะไร อะไรกันนะ? ด้นสดรึเปล่า?’
จบ