ตอนที่ 28 สิ่งที่เจ้าพูดนั้นผิด
ตอนที่ 28 สิ่งที่เจ้าพูดนั้นผิด
ฉู่เสวียนพูดอย่างใจเย็น "ข้าจะยอมบอกชื่อแซ่จริงๆ ของข้าให้เจ้ารู้ก็ได้ เพราะถึงยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี..ข้าชื่อสวีหมิง "
โอวหยางห่าวยิ้มเล็กน้อย " สวีหมิงอย่างนั้นหรือ? ดี เจ้าจะกลายเป็นวิญญาณที่ตายแล้วยี่สิบห้ารอบภายใต้ดาบของข้า!"
สวีหมิง?
เฉินเกอและเว่ยหัวมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ สวีหมิงยังคงฝึกฝนอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลอู๋ไม่ใช่หรือ
เขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ เพียงแต่เขาไม่ได้บอกชื่อจริง แต่อ้างชื่อสวีหมิง
“รีบออกไปสิ พวกเจ้ายังอยากจะอยู่ดูอีกหรือ” ฉู่เสวียนเหลือบมองพวกเขา
เฉินเกอและเว่ยหัวมองมาที่เขาอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็พอจะเข้าใจ และรีบจากไปทันที
โอวหยางห่าวเลียริมฝีปากของเขา "เจ้าปล่อยเหยื่อของข้าสองตัวหลบหนีไป เจ้าก็ต้องรับโทษแทนสองคนนั้นอย่างสาสม ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้ชีวิตของเจ้าเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย"
หลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็ยกดาบขึ้นและฟาดฟันออกมาทันที !
ฉู่เสวียนยิ้มเบา ๆ "เจ้าพูดผิดไปไหม"
พูดจบเขาก็โบกมือ จู่ๆ เสี่ยวหลงและเสี่ยวเป้าก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆตัวเขา
ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าไปประกบข้างโอวหยางห่าวทั้งด้านซ้ายและด้านขวา!
ในตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเส้นเลือดแหลมคมปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของฉู่เสวียน และมันก็พุ่งออกไปทันที!
ซึ่งมันก็คือแมลงกู่เส้นลวดโลหิต ที่เข้าเป็นดักแด้มาแล้วสองครั้ง!
ดวงตาของโอวหยางห่าวเป็นประกายด้วยความดูถูก
สาวกในช่วงกลั่นลมปราณจากนิกายเสินกังนั้นเชี่ยวชาญเรื่องดาบเป็นอย่างมาก พวกเขาจะฝึกฝนทักษะดาบเทียนกัง ซึ่งทักษะนี้จะทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า!
แมลงกู่เพียงตัวเดียวจะสามารถสกัดกั้นพลังดาบอันรุนแรงของเขาได้อย่างไร?
“ข้าได้ฆ่าคนเช่นเจ้าที่พยายามต้านทานพลังดาบของข้าด้วยแมลงกู่ไปแล้วสามคน”
พลังดาบของโอวหยางห่าวเร็วขึ้นราวกับว่าเขาสามารถตัดเส้นลวดโลหิตออกเป็นสองส่วนได้ในทันที
สำหรับศพหยินสองตัวที่ล้อมรอบเขาทั้งซ้ายซ้ายและขวา เขาไม่ได้สนใจเลย
เพราะเขานั้นสามารถฆ่าผู้บำเพ็ญสายมารที่ประเมินตนเองว่าเก่งกาจมาแล้วด้วยดาบเพียงเล่มเดียว
ส่วนศพหยินทั้งสองนี้ก็จะตายด้วยน้ำมือของเขาโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
แต่ช่วงเวลาถัดมา...เขากลับรู้สึกว่าพลังดาบของเขาได้ไปกระทบกับเหล็กกล้า
เกิดอะไรขึ้น!
เขาตกใจเมื่อพบว่าพลังดาบที่แข็งแกร่งของเขาถูกขัดขวางอย่างง่ายดายด้วยแมลงกู่ตัวนี้
ฉู่เสวียนยิ้มเบา ๆ
หลังจากที่มันเข้าสู้ระยะดักแด้มาแล้วหนึ่งครั้ง เล้นลวดโลหิตก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าโลหะทั่วไปอยู่แล้ว
แต่ทว่าเส้นลวดโลหิตของเขาในตอนนี้มันได้เข้าสู่ระยะดักแด้มาแล้วสองครั้ง ความแข็งแกร่งของมันสามารถทนต่อกระสุนที่ยิงออกจากปืนพกได้
และความเร็วของกระสุน ก็เร็วกว่าพลังงานดาบของโอวหยางห่าวเป็นอย่างมาก
มันยังมีพลังมากกว่าพลังงานดาบอีกด้วย ดังนั้นการปิดกั้นพลังดาบของโอวหยางห่าวจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ซึ่งไม่เพียงแต่เส้นลวดโลหิตจะปิดกั้นพลังจากดาบเท่านั้น แต่มันยังพุ่งออกไปมัดมือและเท้าของโอวหยางห่าวอีกด้วย
ใช่แล้ว มันกำลังใช้เทคนิคโลหิตผูกมัด!
แกร็บบ!
โอวหยางห่าวไม่ทันได้ระวัง จึงทำให้มือและเท้าของเขาถูกเส้นลวดโลหิตพันไว้อย่างรวดเร็วจนดิ้นไปไหนไม่ได้
เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดฝันของเขามาก ที่แมลงกู่ตัวนี้จะมีวิชาโดยกำเนิดติดตัวมาจริงๆ!
ในเวลานี้ เสี่ยวหลงและเสี่ยวเป้าก็ได้เข้าโจมตีโอวหยางห่าวจากทางด้านซ้ายและขวา
เสี่ยวหลงอ้าปากกว้าง แล้วปล่อยเสียงคำรามกระชากวิญญาณออกมา
นี่คือเทคนิคคำรามกระชากวิญญาณ!
ทันใดนั้นโอวหยางห่าวก็รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของเขากำลังถูกกระชากออกไปอย่างแรง
เขารู้สึกสับสนจนไม่มีสมาธิจะทำอะไรต่อไป
ทันใดนั้นเสี่ยวเป้าที่ถูกกระตุ้นจากเสียงคำรามกระชากวิญญาณ ก็ได้คำรามออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะเริ่มใช้เทคนิคกระหายเลือดออกมา
กรงเล็บทั้งสองได้พุ่งเข้ามาโจมตีโอวหยางห่าวอย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วพริบตา บนร่างกายของโอวหยางห่าวก็มีบาดแผลเกิดขึ้นเต็มไปหมด จนเลือดของเขาไหลออกมาเป็นจำนวนมาก และชิ้นเนื้อก็ปลิวไปทุกที่
เสี่ยวหลงที่กำดาบกระดูกไว้ในมือขวา ก็ได้แทงเข้าไปที่ร่างของโอวหยางห่าวอย่างจัง
ฉึก..แทงเข้าไปตรงที่หัวใจ
ดวงตาของโอวหยางห่าวเบิกกว้าง..ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก
เขาไม่คาดคิดว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างกะทันหันขนาดนี้
เขาตกอยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรง เพียงเพราะเขาประเมินความแข็งแกร่งของแมลงกู่ของคู่ต่อสู้ต่ำไปจนประมาท ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ต่อสู้ ก็ต้องตายไปเสียแล้ว!
โอวหยางห่าวไม่มีโอกาสที่จะทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้แม้แต่คำเดียว
ความมั่นใจทั้งหมดที่มีได้ไหลออกไปราวกับสายน้ำไหล
ความมืดและความหนาวเย็นได้เข้ามากลืนกินเขาอย่างรวดเร็ว
ฉู่เสวียนยื่นมือออกมา ก่อนจะเก็บเสี่ยวหลงและเสี่ยวเป้ากลับเข้าไปในหอเลี้ยงศพ
เขามองลงไปที่ร่างของโอวหยางห่าว และส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความสมเพช
ชายผู้นี้ค่อนข้างแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ยโสโอหังเกินไป
ทั้งที่ยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ เขาก็ไม่คิดที่เตรียมรับการโจมตีจากศพหยินที่โจมตีมาทั้งด้านซ้ายและด้านขวา แต่กลับพยายามที่จะฆ่าเขาโดยตรงด้วยพลังดาบที่มี
“นี่เป็นอัจฉริยะจริงๆหรือเปล่า” ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ แล้วเอาร่างของโอวหยางห่าวใส่ลงไปในถุงเก็บของ
ศพของผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณระดับแปดนั้นถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่า ไม่ว่าจะเอาเลือดมากลั่นเป็นลูกปัดโลหิตหรือเอามาเป็นอาหารของศพหยิน ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีทั้งนั้น
หลังจากนั้นเขาก็ออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
...
คฤหาสน์ตระกูลอู๋
เฉินเกอและเว่ยหัวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อพวกเขากลับมาถึงลานเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่
ในตอนนั้นหลิวเจิ้งสงซึ่งกำลังอธิบายปัญหาที่พบในระหว่างการฝึกฝนให้สวีหมิง, ไป่เฟิงและศิษย์คนอื่นๆ ในลานบ้านฟัง เมื่อเห็นสีหน้าของพวกเขาทั้งสอง หลิวเจิ้งสงก็พอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เขาจึงถามออกมาทันที
ซึ่งเฉินเกอและเว่ยหัวก็ไม่กล้าที่จะปิดบัง จึงได้บอกทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขาให้หลิวเจิ้งสงฟังทันที
หลิวเจิ้งสงขมวดคิ้ว ส่วนสวีหมิงเองก็ตกตะลึง และกล่าวออกมาว่า “ชายผู้นั้นอ้างตนว่าเป็นข้า เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาเองก็เป็นศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ของเราเหมือนกัน?”
เว่ยหัวพยักหน้า “เป็นไปได้มาก และดูเหมือนว่าเขาเองก็มีความแข็งแกร่ง ดูไม่มีท่าทีว่าหวาดกลัวโอวหยางห่าวแม้แต่น้อย”
ทว่าสวีหมิงก็ส่ายหัวโดยไม่รู้ตัว "แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะสาวกสิบอันดับแรกฝ่ายในของนิกายเราได้ตายและยอมจำนนไปหมดแล้ว ซึ่งที่เหลือก็ไม่มีใครที่จะต่อกรกับโอวหยางห่าวได้เลย"
"แต่มันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ ที่ชายผู้นั้นกล้ามาช่วยพวกเจ้า" ใบหน้าของหลิวเจิ้งสงแสดงความสนใจออกมา จากนั้นเขาก็กล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ข้าเชื่อว่าคนๆ นั้นจะต้องเป็นศิษย์ของนิกายอู๋จี๋อย่างแน่นอน ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะยังมีศิษย์เช่นนี้ถูกทิ้งไว้ข้างนอก เขาจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ”
พูดจบ หลิวเจิ้นสงก็เดินออกไปอย่างมีความสุข
สวีหมิงอิจฉาเล็กน้อย "ใครจะรู้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่อาการกระตุกในสมอง และเกิดอาการบ้าคลั่งก็เป็นได้"
เว่ยฮัวหัวเราะเยาะออกมา "ถ้าเป็นเจ้า เจ้าจะมีอาการกระตุกในสมองและบ้าคลั่งขึ้นมาถึงกับมาช่วยคนที่ไม่รู้จักและยังไปต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งอย่างนั้นหรือ?"
"ข้าไม่คิดอย่างนั้น และข้าก็เกรงว่าเจ้าเองก็จะวิ่งหนีหางจุกตูดเช่นกัน "
จู่ๆ สวีหมิงก็หน้าแดง แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
หลิวเจิ้งสงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "จุดที่พวกเจ้าถูกโอวหยางห่าวไล่ล่าอยู่ที่ไหน? พาข้าไปที่นั่นที ข้าจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์คนนั้นเป็นอันขาด"
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสามคนก็มาปรากฏตัวขึ้นที่กลางป่า แต่สถานที่นั้นกลับว่างเปล่า และเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไปนานแล้ว
“พวกเขาต่อสู้กันจบแล้วอย่างนั้นหรือ?” เฉินเกอเกาหัว
หลิวเจิ้งสงส่ายหัว พลางชี้ไปที่กองเลือดและเศษชิ้นเนื้อที่ตกอยู่บนพื้น
“การต่อสู้จบลงแล้ว และนี่คือเสื้อคลุมของสาวกในช่วงหลั่นลมปราณของนิกายเสินกัง มันยากที่จะบอกได้ว่านี่คือเศษชิ้นเนื้อของโอวหยางห่าวหรือไม่ ส่วนพลังหยินที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศก็น่าจะมาจากการอัญเชิญศพหยินออกมาเพื่อต่อสู้กับศัตรู” หลิวเจิ้งสงคิดอยู่นาน “คาดว่าโอวหยางห่าวน่าจะหลบหนีไปได้และได้รับบาดเจ็บสาหัส”
เฉินเกอและเว่ยหัวมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ผู้บ่มเพาะหน้าขาวคนนั้นสามารถทำร้ายโอวหยางห่าวจนได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ เขาต้องมีความแข็งแกร่งขนาดไหนกัน!
“และอาการบาดเจ็บสาหัสของโอวหยางห่าวในครั้งนี้ จะต้องนำไปสู่การสอบสวนสืบสวนรอบสถานที่นี้อีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกเจ้าอย่าออกไปข้างนอกในช่วงนี้ ให้อยู่แต่ในคฤหาสน์” หลิวเจิ้งสงกล่าวเตือนศิษย์ทั้งสองออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“ขอรับ ข้าจะปฏิบัติตามคำสั่งอาจารย์อาหลิว” เฉินเกอและเว่ยหัวพยักหน้า
“อาจารย์อาหลิว แล้วท่านจะไปที่ไหนหรือขอรับ” เว่ยหัวอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
หลิวเจิ้งสงพูดอย่างจริงจังว่า "ศิษย์คนนั้นน่าจะยังอยู่แถวๆตรอกไท่ผิง เขาต้องตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพัง ข้าอยากออกไปตามหาเขา"
เฉินเกอและเว่ยหัวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย ที่พวกเขาเลือกตามหลิวเจิ้งสงไปทุกที่ เพราะหลิวเจิ้งสงนั้นหวังดีกับลูกศิษย์ทุกคน
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าแม้แต่ลูกศิษย์ที่เขาไม่รู้ชื่อด้วยซ้ำ หลิวเจิ้งสงก็ยังเต็มใจที่จะออกไปตามหาเขาอยู่