ตอนที่ 36 มหาวิชาฟาดฟ้าทลายพสุธา
ตอนที่ 36 มหาวิชาฟาดฟ้าทลายพสุธา
เรื่องไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หานเยว่อธิบายต่อว่า “พลังแห่งโลกแตกต่างจากพลังอื่นใดในโลกใบนี้ มันเป็นพลังต้นกำเนิด พลังที่อยู่เหนือกว่าทุกสิ่งในโลก”
“นั่นหมายความว่าในระดับชั้นพลังแห่งโลกของเจ้าถือเป็นพลังสูงสุดในยุคนี้ ไม่มีพลังใดเทียบเท่า”
“แต่… แต่เจ้าลูกกลมนี้ในตอนนี้เป็นเพียงแค่ต้นแบบของโลกเท่านั้น พลังแห่งโลกที่บรรจุอยู่ภายในเทียบเท่ากับไม่มีอะไรเลย”
หลิงอวิ๋นลองใช้จิตสำนึกเพื่อเรียกใช้พลังจากโลกเล็กๆ นี้ทันที ก็พบว่ามีเพียงไอหมอกเล็กๆ บางๆ เท่ากับเส้นผมหนึ่งเส้นแผ่กระจายออกมา
“นี่คือพลังแห่งโลกหรือ?”
หลิงอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ เขาสังเกตว่าหมอกแห่งความโกลาหลนี้เมื่อเข้าสู่ตันเถียน ทำให้พลังลมปราณของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าในสิบส่วน
“หานเยว่ พลังแห่งโลกนี้มีประโยชน์จริงๆ! ไม่ได้ไร้ค่าเลย!”
หลิงอวิ๋นรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก การที่พลังลมปราณของเขาเพิ่มขึ้นถึงห้าในสิบส่วน นั้นไม่ถือว่าไร้ค่าอย่างแน่นอน!
หานเยว่มองเขาด้วยสายตาขุ่นเคืองและเบะปาก “เจ้าอย่าได้คิดว่ามหาพฤกษาแห่งสรรพสิ่งที่สามารถสร้างโลกต้นแบบได้ในตอนนี้คือเรื่องดี”
“นี่หมายความว่าจากนี้ไปเจ้าต้องคอยหล่อเลี้ยงมันอยู่เสมอ เพื่อให้โลกเล็กๆ นี้พัฒนาและกำเนิดจิตวิญญาณแห่งโลก กลายเป็นโลกที่แท้จริง”
“ถ้าไม่อย่างนั้น ลูกกลมเล็กๆ นี้ก็จะคงเป็นเพียงต้นแบบของโลกต่อไป จะเป็นเพียงไข่ที่ไม่มีวันฟักออกมา เข้าใจหรือไม่?”
หลิงอวิ๋นเข้าใจแล้ว โลกที่เขากำลังสร้างขึ้นนั้นจำเป็นต้องได้รับการหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มันพัฒนาและกลายเป็นโลกที่แท้จริง
“ต้องหล่อเลี้ยง! ข้าต้องหล่อเลี้ยงมัน!”
แค่พลังจากโลกต้นแบบนี้ก็ทำให้พลังลมปราณของเขาเพิ่มขึ้นถึงห้าในสิบส่วนแล้ว
ถ้าเป็นโลกที่แท้จริง จะเพิ่มพลังให้เขามากแค่ไหนกัน?
ขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ เสียงของผู้ตัดสินก็ดึงเขากลับมาสู่ความเป็นจริง
“หลิงอวิ๋นชนะ! ว่านฮวายวี่แพ้!”
“อ้าว? ว่านฮวายวี่อยู่ที่ไหน?” หลิงอวิ๋นมองไปรอบๆ แต่ไม่พบเงาของว่านฮวายวี่เลย
“สาวน้อยคนนี้ คงรู้สึกอายสินะ?”
หลิงอวิ๋นอดหัวเราะไม่ได้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ใครใช้ให้ว่านฮวายวี่พยายามใช้วิชามายาหลอกเขาเองล่ะ? เขาแค่ลองนึกภาพในหัวเล่นๆ แล้วดันกลายเป็นจริงซะงั้น
เมื่อเขากระโดดลงจากเวที ว่านอวี้ซูก็พุ่งเข้ามาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“หลิงอวิ๋น เจ้าทำอะไรกับพี่สาวข้า!”
ท่าทางที่ว่านฮวายวี่แสดงออกบนเวทีนั้นว่านอวี้ซูเห็นได้อย่างชัดเจนจากด้านล่าง เขามั่นใจว่าหลิงอวิ๋นต้องทำอะไรบางอย่างกับพี่สาวของเขาแน่ๆ
“เอ่อ... เรื่องนั้นน่ะ” หลิงอวิ๋นลูบจมูกอย่างกระอักกระอ่วน เขาจะบอกว่าเขาได้เล่นงานพี่สาวของอีกฝ่ายในภาพมายาได้อย่างไร
“เฮอะ! ว่านอวี้ซู เจ้าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องระหว่างข้ากับพี่สาวเจ้าจะดีกว่า!”
หลิงอวิ๋นไม่อยากพูดอะไรมาก เขาจึงเดินไปที่ขอบสนามทันที
“เจ้าหนุ่ม ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีพลังวิญญาณที่เหนือกว่าว่านฮวายวี่ ผิดคาดจริงๆ ผิดคาดมาก!”
อู๋เต๋อถอนหายใจอย่างเจ็บปวด พลางหยิบม้วนคัมภีร์สีดำออกมาด้วยท่าทีหนักแน่น “หินวิญญาณหนึ่งล้านก้อน ห้ามขาดแม้แต่ก้อนเดียว”
“แค่ก...”
หลิงอวิ๋นไอเบาๆ ก่อนจะยิ้มและโอบไหล่อู๋เต๋อ “เฮ้ ท่านเจ้าของร้าน พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ พรุ่งนี้เราก็ต้องไปแดนลับโบราณด้วยกันใช่หรือไม่?”
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” อู๋เต๋อมองเขาอย่างระมัดระวัง “จะพยายามหลบเลี่ยงการจ่ายงั้นหรือ?”
“แค่ก! ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน”
หลิงอวิ๋นทำหน้าตาซื่อสัตย์สุดๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย “ข้าหมายถึง...ข้าขอค้างชำระก่อนได้หรือไม่?”
“นั่นก็หมายความว่าเจ้าไม่มีปัญญาจ่าย!” อู๋เต๋อดึงม้วนคัมภีร์กลับเข้าไปทันที
“ท่านเจ้าของร้าน! การค้าแบบนี้มันไม่ค่อยเป็นธรรมเลยนะ”
[หลิงอวิ๋นยึดแขนอู๋เต๋อเอาไว้ และกัดฟันพูดว่า “ข้าจะจ่ายก่อนห้าแสนก้อน ที่เหลือข้าขอค้างไว้และชำระให้ครบภายในหนึ่งเดือน!”
“พี่อวิ๋น ข้าให้ยืมหนึ่งแสนก้อนได้หรือไม่?” หนิงเสี่ยวตงยื่นถุงเก็บของใบหนึ่งให้หลิงอวิ๋นซึ่งเป็นเงินที่เขาได้จากการขายบ้านบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้
“ขอบคุณมากแล้ว พี่น้อง!”
หลิงอวิ๋นยื่นถุงเก็บของทั้งสองให้กับอู๋เต๋อ “หกแสน!”
อู๋เต๋อทำหน้าเหมือนถูกบังคับก่อนจะพูดว่า “ก็ได้ เห็นว่าเราเป็นสหายกัน ข้าจะให้เจ้าค้างชำระ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยนะ”
หลิงอวิ๋นกัดฟันตอบรับข้อเสนอนั้น
อู๋เต๋อแทบไม่รอช้า พลางหยิบใบแจ้งหนี้ที่เขียนเงื่อนไขต่างๆ ไว้ล่วงหน้าแล้วออกมาหลิงอวิ๋นเพียงแค่กรอกจำนวนเงินและลงลายมือชื่อก็เป็นอันเสร็จ
“แบบนี้ก็ได้เหรอ?” หลิงอวิ๋นตรวจสอบรายละเอียดของใบแจ้งหนี้อย่างรอบคอบ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็ลงชื่อและประทับตรา
“อย่าทำหน้าแบบนั้นเลยเจ้าเด็กน้อย หนึ่งล้านกับดอกเบี้ยแล้ว ก็แค่หนึ่งล้านสามเอง นี่ข้าช่วยเจ้าแล้วนะ” อู๋เต๋อโยนม้วนคัมภีร์สีดำให้หลิงอวิ๋น “หยดเลือดบนมันก็ใช้ได้เลย”
หลิงอวิ๋นรีบเดินไปยังที่ลับตาคนเพื่อเปิดคัมภีร์
“มหาวิชาฟาดฟ้าทลายพสุธา”
วิชานี้ใช้พลังวิญญาณควบคู่กับลมปราณที่เป็นทองคำดั่งดาบ เพื่อส่งศัตรูเข้าสู่วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเพียงปลายนิ้ว
หลิงอวิ๋นบีบหยดเลือดหนึ่งหยดลงบนม้วนคัมภีร์สีดำ ทันทีที่หยดเลือดสัมผัสกับคัมภีร์ ตัวอักษรบนมันก็เลือนลางกลายเป็นแสง ก่อนจะพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของหลิงอวิ๋น
เพียงแค่จิตสำนึกเดียว เขาก็สามารถกระตุ้นวิชาลับนี้ได้ทันที
“ไม่เลวเลยจริงๆ สมกับเป็นวิชาลับโบราณ เรียนรู้ได้ง่ายดายเหมือนเก้ามารแปลงสวรรค์”
หลิงอวิ๋นรู้สึกมั่นใจมากขึ้น ก่อนจะหันไปมองเวทีประลอง
ตอนนี้การต่อสู้ของกลุ่มสีดำจบลงแล้ว และการต่อสู้รอบถัดไปของกลุ่มสีดำก็กำลังจะเริ่มขึ้น
การต่อสู้รอบ 8 คนสุดท้าย
คู่แรก
หลิงอวิ๋นปะทะหวงเหยียน!
ฟึบ!
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่แต่มีใบหน้าอ้วนกลมเหมือนเด็กทารก โดดขึ้นเวทีอย่างรวดเร็ว
ในมือของเขากำท่อนไม้เหล็กทองคำยาวกว่า 2 เมตร และหนาเท่ากับแขนเด็กเอาไว้
“นี่คือผู้เข้าแข่งขันตัวเต็ง!”
ในหัวของหลิงอวิ๋นข้อมูลจากหม่าหมิงหยางผุดขึ้นมาทันที โดยเฉพาะข้อมูลที่สำคัญที่สุดก็คืออาวุธของหวงเหยียนอย่างท่อนไม้เหล็กทองคำที่ทำมาจากเหล็กกล้าลึกจากใต้ทะเล มีน้ำหนักมากกว่า 1,000 จิน
“หลิงอวิ๋น!”
หวงเหยียนหมุนท่อนไม้ในมือเล่นเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความคล่องแคล่ว จากนั้นเขาปล่อยพลังขอบเขตกงล้อสมุทรขั้นห้าออกมา แล้วชี้ไปที่หลิงอวิ๋นพร้อมพูดขึ้นว่า “อาจารย์ของข้าบอกว่าจิตวิญญาณของเจ้ามีความแปลกประหลาด หากเจ้าจะใช้พลังโจมตีจิตวิญญาณ ข้าในตอนนี้ไม่มีทางป้องกันได้ เพราะฉะนั้น ข้าขึ้นมาบนเวทีนี้เพียงเพื่อขอให้เจ้ารับการโจมตีจากข้าด้วยไม้เพียงครั้งเดียว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ข้าจะยอมแพ้ทันที”
“เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” หลิงอวิ๋นยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะก้าวขึ้นสู่เวทีประลอง จากนั้นก็ชักดาบสายฟ้าพิโรธออกมา
“ในเมื่อเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าก็พร้อมรับคำท้า!”
พูดจบหลิงอวิ๋นกระทืบเท้าอย่างแรง พลังจากเส้นปราณทั้ง 108 เส้นในร่างกายของเขาสั่นสะเทือน ร่างปล่อยพลังของขอบเขตทะลวงปราณขั้นสิบออกมา
“อะไรนะ?! ขอบเขตทะลวงปราณขั้นสิบ!”
ผู้คนในฝูงชนถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
พวกเขาจำได้ว่าตอนที่หลิงอวิ๋นผ่านเข้ามาในรอบที่สองของการประลองเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาอยู่เพียงแค่ขอบเขตทะลวงปราณขั้นสี่เท่านั้น
เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงสามวันหลิงอวิ๋นกลับสามารถเปิดเส้นปราณทั้ง 108 เส้นในร่างกายจนบรรลุถึงขอบเขตทะลวงปราณขั้น 10 ได้!
ความเร็วในการพัฒนาพลังระดับนี้มันเร็วเกินไป!
ที่ทำให้ทุกคนทึ่งมากขึ้นคือ พลังของหลิงอวิ๋นดูมั่นคงและแข็งแกร่ง ไม่เหมือนกับผู้ที่ฝืนเพิ่มพลังขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
“เจ้าเด็กคนนี้ทำได้อย่างไรกัน?”
จ้าวอู๋จีหรี่ตาด้วยความสงสัย
ตามที่เขารู้รากวิญญาณของหลิงอวิ๋นนั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่ควรจะพัฒนาพลังได้รวดเร็วขนาดนี้
แม้แต่เยี่ยเมิ่งเยียนที่เขาทุ่มเทสนับสนุนเต็มที่ ก็เพิ่งจะเพิ่มพลังได้ถึงแค่ขอบเขตทะลวงปราณขั้นเก้าเท่านั้นเอง!