บทที่ 43: มีแขกมาหรือ?
มู่จวินฝานวางมือบนหน้าผากของมู่ไป๋ไป่ครู่หนึ่ง แล้วรู้สึกขบขันปนเอ็นดูกับคำสารภาพของนาง
เขารู้สึกขบขันที่เด็กหญิงไม่ระมัดระวังตัวกับเขา แต่มันก็ทำให้เขามีความสุขที่อีกฝ่ายเชื่อใจเขามาก
ในวังหลวงแห่งนี้ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใจคนยากแท้หยั่งถึง การได้พบสถานที่ที่สงบใจจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก
“ไป๋ไป่ไม่อยากให้เสด็จพ่อไปหาลี่เฟยอย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มถามพลางช่วยคนตัวเล็กจัดกระโปรงที่ยับยู่ยี่ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจอุ้มนางขึ้นมา
องครักษ์และนางกำนัลที่ตามมาข้างหลังรู้ว่าการสนทนาต่อไปของเจ้านายทั้ง 2 ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรฟัง ดังนั้นพวกเขาจึงชะลอฝีเท้าของตัวเองลง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เหลือเพียงมู่จวินฝานและมู่ไป๋ไป่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้า
“ใช่” ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กหญิงบึ้งตึงเมื่อเอ่ยถึงลี่เฟย
ทันใดนั้นคนตัวเล็กก็ทำเหมือนคิดอะไรออก เธอยิ้มสดใสให้มู่จวินฝานในขณะที่พูดว่า “ท่านพี่รัชทายาท ท่านมีความคิดดี ๆ จะแนะนำข้าบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่ถามกลับว่า “ไป๋ไป่บอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมถึงไม่อยากให้เสด็จพ่อไปหาลี่เฟย หว่านผินพูดอะไรกับเจ้าหรือ?”
“ท่านแม่ไม่ได้พูดอะไร” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวโดยไม่ต้องคิด “ท่านแม่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ นางใช้เวลาทั้งวันไปกับต้นไม้ใบหญ้า และปักผ้าอยู่ในสวนหลังตำหนัก เป็นไป๋ไป่ที่ไม่ชอบลี่เฟยต่างหาก!”
จู่ ๆ เด็กหญิงก็นึกเสียใจขึ้นมา ถ้าเธอรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เธอน่าจะลากมู่จวินฝานไปดูเรื่องสนุกด้วยกันเมื่อวานนี้
“ข้าเข้าใจแล้ว…” องค์รัชทายาทพยักหน้าก่อนจะครุ่นคิด “ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าก็พอจะมีวิธีอยู่บ้าง แต่ข้าไม่รู้ว่าหว่านผินจะยินยอมทำตามหรือไม่?”
เหตุผลที่เขาถามมู่ไป๋ไป่เมื่อครู่นี้ก็เพื่อยืนยันว่าหว่านผินไม่สนใจที่จะแย่งชิงความโปรดปรานจากฝ่าบาทดังที่นางแสดงออกจริง ๆ
“จริงหรือเพคะ?” ดวงตาของเด็กน้อยเป็นประกาย และเธอก็เร่งเร้าให้อีกฝ่ายรีบบอกเธอว่าความคิดของเขาคืออะไร
“เสด็จพ่อจะเสด็จไปประทับที่ตำหนักชิงเหอในวันที่ 15 ของทุกเดือน” เมื่อมู่จวินฝานเห็นดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของน้องสาวที่มองมา เขาก็กระแอมในลำคอแก้เก้อ
เขาแอบเสียใจที่ต้องพูดเช่นนี้ต่อหน้าเด็ก แต่เขาไม่รู้ว่าในสายตาของมู่ไป๋ไป่ เขาเป็นเพียงเจ้าหนูน้อยเท่านั้น
“หากครั้งต่อไปเสด็จพ่อพลิกชื่อของพระสนมคนอื่น ครั้งนั้น พระองค์ก็จะไม่ได้เสด็จไปที่ตำหนักชิงเหอ”
“นั่นสินะ! ทำไมข้าถึงคิดไม่ได้กัน” มู่ไป๋ไป่อดไม่ได้ที่จะทุบกำปั้นลงฝ่ามือตัวเอง “ท่านพี่รัชทายาท ท่านฉลาดมาก เพียงไม่นานก็คิดอะไรดี ๆ ออกมาได้แล้ว”
“แต่ทำไมท่านพี่ถึงบอกว่าท่านแม่ต้องยินยอมด้วยล่ะ?”
คราวนี้มู่จวินฝานทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ ไม่ได้ตอบออกไป ราวกับว่าเขาปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเก็บเอาไปคิดเอง
ในวังหลวงแห่งนี้ เขาหวังว่ามู่ไป๋ไป่จะใสซื่อบริสุทธิ์และมีความสุขเช่นนี้ตลอดไป แต่เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ในรั้ววังหลวงเป็นสถานที่กินคนโดยไม่คายกระดูก แทนที่จะปล่อยให้องค์หญิงหกกลายเป็นดอกไม้ที่บอบบางอยู่ในตำหนัก เขาหวังว่านางจะแข็งแกร่งและปลอดภัยแม้ว่าต่อจากนี้จะไม่มีใครคอยปกป้องนางก็ตาม
ขณะที่ 2 พี่น้องกำลังพูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงศาลาหมิงหลี่โดยไม่รู้ตัว
เจียงจื่อซิวมาถึงเร็วกว่าพวกเขา เขากำลังอ่านตำราพลางส่ายหัวอยู่ในที่นั่งของตนเอง เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็วางตำราลงก่อนจะยืนขึ้นเพื่อทำความเคารพทั้ง 2
พอมู่ไป๋ไป่เห็นเจียงจื่อซิว เธอก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอพาสหายร่วมเรียนของตัวเองมาด้วย
“ท่านพี่รัชทายาท ต่อจากนี้ไปไป๋ไป่จะนั่งข้างท่านไม่ได้อีกแล้ว ในการเรียนวันแรกหลัวเซียวเซียวคงจะยังไม่คุ้นชินกับอะไรหลาย ๆ อย่างในศาลาหมิงหลี่ ดังนั้นไป๋ไป่จึงจะต้องคอยอยู่ใกล้ ๆ นาง”
มู่จวินฝานรู้สึกขัดใจเล็กน้อย เขาจึงใช้หลังนิ้วแตะจมูกคนตัวเล็กเบา ๆ แสร้งทำทีเป็นโกรธแล้วถามว่า “พอเจ้ามีสหายแล้ว พี่ชายคนนี้ก็ไม่จำเป็นอีกแล้วหรือ?”
“ไม่หรอกเพคะ!” มู่ไป๋ไป่กอดขาของคนตัวสูงกว่าและเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตากลมโต
“หลัวเซียวเซียวได้รับการช่วยเหลือจากท่านพี่และไป๋ไป่ ดังคำที่กล่าวเอาไว้ว่า หากจะช่วยเหลือคนก็ควรช่วยเขาไปจนตลอดรอดฝั่ง ในเมื่อเราช่วยนางเอาไว้ เราจึงจำเป็นต้องรับผิดชอบนาง”
“ในเวลาแบบนี้ เจ้าก็คิดหาคำพูดน่าฟังได้เสมอ” มู่จวินฝานคิดว่าน้องสาวของตนนั้นน่ารักมาก
เขาอยากจะหยิกแก้มนางคลายความมันเขี้ยว แต่แล้วเขาก็นึกถึงรอยแดงที่ลี่เฟยทิ้งเอาไว้บนแก้มของนาง ดังนั้นเขาจึงต้องชักมือกลับมา
หลังจากมู่ไป๋ไป่ทำให้ผู้เป็นพี่ชายพึงพอใจแล้ว เธอก็เรียกหลัวเซียวเซียวเข้ามา
ก่อนอื่นคนตัวเล็กได้พาอีกฝ่ายไปกราบอาจารย์เสิ่น จากนั้นก็บอกให้นางนั่งลงที่โต๊ะข้าง ๆ เธอ
หลัวเซียวเซียวเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดตามนิสัยปกติ
แต่นางก็เป็นคนที่มีน้ำใจและเอาใจใส่มาก ทุกครั้งที่มู่ไป๋ไป่ต้องการบางสิ่ง ก่อนที่เธอจะทันได้เอ่ยปาก นางก็จะหยิบของสิ่งนั้นมามอบให้เธอล่วงหน้า
หลังจากที่ทั้งคู่ได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งวัน ความรู้สึกที่เด็กหญิงมีต่อหลัวเซียวเซียวก็เพิ่มขึ้น 2 เท่า
วันนี้มู่จวินฝานถูกมู่เทียนฉงเรียกตัวไปเข้าเฝ้าที่ตำหนัก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่กับมู่ไป๋ไป่
คนตัวเล็กที่รู้ดังนั้นก็มีความสุขมาก เธอดึงหลัวเซียวเซียวให้ไปด้วยกันจนกระทั่งมาถึงตำหนักอิ๋งชุน และทั้ง 2 ก็เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน
เธอรู้สึกมีความสุขมากจนไม่สังเกตเห็นว่ามีใครแอบย่องเข้ามาข้างหลังด้วยซ้ำ
“ฮึ่ม นังสุนัขหลัวเซียวเซียวกำลังยิ้มอย่างมีความสุขเสียจริง”
ขณะนี้นายน้อยหลัวกำลังซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ไม่ไกลจากเด็กหญิงทั้ง 2
ปัจจุบันรอยบวมแดงบนใบหน้าของเขายังไม่หายดี ทำให้ใบหน้าครึ่งหนึ่งยังคงบวมช้ำมาก ดังนั้นเขาจึงต้องซ่อนตัวอยู่ในตำหนักชิงเหอเพื่อพักฟื้นรักษาบาดแผลของตัวเอง
วันนี้เขารู้สึกเบื่อมาก จึงให้ใครสักคนพามาเดินเล่นในอุทยานหลวง แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะมาพบมู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวที่เล่นกันอยู่ไม่ไกล
เมื่อเห็นว่ามีนางกำนัลและขันทีอยู่ข้างกายทั้งคู่ไม่กี่คน เขาจึงตัดสินใจตามพวกนางไปโดยหวังว่าจะล้างแค้นให้สำเร็จในวันนี้
พอนายน้อยหลัวเห็นว่าเด็กหญิงทั้ง 2 เดินไปยังทะเลสาบไป่ฮวา เขาก็บังเกิดแผนการในใจ
เขาหยิบหนังสติ๊กออกมาแล้วเล็งไปที่ขาของมู่ไป๋ไป่ ขณะที่เขากำลังจะปล่อยลูกหิน ทันใดนั้นก็มีเงามืดตกลงมาจากท้องฟ้าและกระแทกเข้าที่หน้าเขาจัง ๆ
“โอ๊ย! หนัก! ใครมันบังอาจมาลอบโจมตีข้า!”
“หายใจไม่ออกโว้ย ใครก็ได้ ช่วยข้าด้วย!”
เวลานี้เจ้าส้มนั่งทำหน้าเรียบเฉยอยู่บนใบหน้าของนายน้อยหลัว และเลียอุ้งเท้าของมันอย่างสบายอารมณ์
เมื่อมันเห็นคนในวังบางคนพยายามจะเข้ามาช่วย มันก็กางกรงเล็บแหลมคมขึ้นมาข่มขู่คนพวกนั้น
เนื่องจากทุกคนในวังต่างก็รู้ว่าเจ้าส้มเป็นแมวทรงเลี้ยง พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไรมัน ดังนั้นสถานการณ์ตอนนี้จึงตกอยู่ในทางตัน
สุดท้ายแล้ว นายน้อยแห่งตระกูลหลัวก็ถูกแมวอ้วนนั่งทับจนหายใจไม่ออกและเป็นลมล้มพับไป
“ฮึ มู่ไป๋ไป่ ข้าได้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้แล้ว”
เจ้าส้มพูดพลางส่ายหางอย่างภาคภูมิใจ ก่อนที่มันจะทิ้งคนในวังที่ตกตะลึงไว้เบื้องหลัง แล้ววิ่งหนีไปในทิศทางที่องค์หญิงหกเดินออกไป
ในยามที่มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวกลับไปที่ตำหนักอิ๋งชุนก็เป็นเวลาที่มืดค่ำกว่าปกติ แต่ในตำหนักยังไม่มีการจัดเตรียมสำรับ เธอไม่เห็นแม้แต่นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ในตำหนักด้วยซ้ำ
“แปลกมาก ทุกคนหายไปไหนกันหมด” เด็กหญิงเดินไปรอบ ๆ ตำหนักด้วยขาป้อมสั้น แต่ก็ยังไม่พบแม่ของเธอ
ขณะที่เธอกำลังจะเดินไปที่ห้องโถงด้านหน้า เจ้าก้อนขนสีส้มก็กระโดดเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ
“ตอนนี้ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้า” เจ้าส้มขยับตัวหาตำแหน่งที่สบายและนอนลงในอ้อมแขนของคนตัวเล็ก
“ข้าเพิ่งเดินผ่านห้องนั้นมาก็เห็นกลุ่มผู้หญิงที่สวมชุดหลากสีนั่งอยู่ข้างใน เฮ้อ กลิ่นเครื่องประทินผิวของพวกนางโชยไปไกลหลายพันลี้เลยกระมัง”
มันแสบจมูกแทบตาย!
“หืม? วันนี้มีแขกมาหรือ?”
มู่ไป๋ไป่รู้สึกแปลกประหลาด
ซูหว่านไม่ได้รับความโปรดปรานมาหลายปีแล้ว และนางก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กับใครในวังเลย อีกทั้งหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ในตำหนักอิ๋งชุนก็ไม่เคยมีใครมาหาสักคนเดียว
แต่จากสิ่งที่เจ้าส้มพูด ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีพระสนมหลายคนมาเยือน
มู่ไป๋ไป่กลอกตา กระชับกอดแมวตัวโต ก่อนจะดึงหลัวเซียวเซียวไปที่ห้องโถงด้านหน้า โดยความคิดว่าจะไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง